การจัดเวทีการเรียนรู้ 2 เวทีล่าสุด ผมและทีมงานนำกระบวนการ “จดหมายน้อย” และ “กระดานความรู้สึก” หรือแม้แต่ที่ “ชาวค่าย” ชอบเรียกว่า “สมุดบันทึก” (สมุดกระจก) มาใช้กับผู้เข้าร่วมการเรียนรู้
เวทีแรกคือการสัมมนาพัฒนาศักยภาพคณะกรรมการบริหารองค์การนิสิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ปีการศึกษา 2564 เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2564 ณ จังหวัดสุรินทร์
ส่วนอีกหนึ่งเวทีคือกิจกรรมเตรียมความพร้อมนักเรียนใหม่ (มัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4) ของโรงเรียนเทศบาล 2 อีสาณธีรวิทยา ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 8-10 พฤษภาคม 2565 ณ จังหวัดบุรีรัมย์
ทั้งสองเวทีมีความแตกต่างกันพอสมควร เวทีแรกเป็นผู้นำนิสิตในระดับอุดมศึกษา อีกเวทีเป็นนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษา แต่ในความต่างก็มีลักษณะร่วมกัน คือ ทั้งสองเวที มีไม่น้อยที่ผู้เข้าร่วมการเรียนรู้ยังรู้สึกเขินอายต่อกัน บ้างรู้จักกันลึกซึ้ง บ้างรู้จักกันผิวเผิน หรือแม้แต่ไม่รู้จักกันเลย
โจทย์ของการละลายพฤติกรรมภายใต้เวลาอันจำกัด ผมวิเคราะห์ว่าคงไม่ต้องเสียเวลาจัดกิจกรรม “สันทนาการทั้งวัน” เพราะนั่นไม่ใช่วิธีคิดแบบ “บันเทิงเริงปัญญา” ในแบบฉบับของผม
ผมมีความเชื่อว่า มนุษย์ทุกคนเปลี่ยนแปลงอย่างสร้างสรรค์ได้ การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเปิดใจและใส่ใจต่อปรากฏการณ์รอบตัว หรือการมีฐานคิดอันสำคัญดังเช่นวาทกรรมที่ผมพร่ำพูดมายาวนานว่า
และนั่นจริงๆ ก็หมายถึง ผมมองว่า การจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องสร้างพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมการเรียนรู้มีพื้นที่ หรือช่องทางของการปรับตัวเข้าหากันอย่างหลากหลาย ทั้งโดยวิธีการของวิทยากร และปล่อยให้พวกเขาได้เสาะแสวงหาพื้นที่แห่งการเรียนรู้กันและกันตามวิธีการที่เขาชื่นชอบและถนัด
ด้วยวิธีคิดเช่นนั้นครับ ผมและทีมงานจึงไม่ลังเลที่จะใช้กระบวนการ “จดหมายน้อย-กระดานความรู้สึก-สมุดบันทึก” มาเป็นระบบและกลไกในการเชื่อมโยง หรือละลายพฤติกรรมของคนที่เข้าร่วมเวที –
ทั้งสองเวที (ทั้งสองค่าย) ทีมงานแจกสมุดบันทึกฉบับ “ทำมือ” (มือทำ) ให้กับนิสิตและนักเรียนทุกคน โดยย้ำให้พวกเขาตกแต่งสมุดบันทึกด้วยตนเอง บริหารจัดการทรัพยากรบนฐานคิดของการพอเพียงและแบ่งปันต่อกัน พร้อมๆ กับการเน้นย้ำว่า การตกแต่งสมุดนั้น “ควรให้สมุดบ่งบอกความเป็นตัวตนของเราให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะพึงตกแต่งได้”
แน่นอนครับ การตกแต่งสมุดบันทึกให้บ่งบอกความเป็นตัวตนของเจ้าของสมุด คือการฝึกให้เจ้าตัววิเคราะก์ตัวเอง ถ่ายทอดความเป็นตัวเองลงในสมุด และนั่นยังหมายถึงการเป็นโจทย์ให้คนอื่นได้คิดวิเคราะห์ตามไปด้วยว่า “สมุดเล่มนี้ของใครกันนะ – สมุดเล่มนี้เหมือนหรือไม่เหมือนตัวตนของเจ้าของ”
และนั่นก็มีกลิ่นอายของการสร้างทักษะ หรือเครื่องมือการเรียนรู้ผ่านการ “สังเกตการณ์” ไปในตัวอย่างง่ายๆ
ตกแต่งเสร็จ ก็สร้างกระบวนการให้แต่ละคนบอกเล่าเรื่องราวให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มได้รับรู้ ฝึกการถ่ายทอด-สื่อสารสร้างสรรค์ ฝึกการรับฟังกันและกันไปในตัว มีบางจังหวะที่ทดสอบการสื่อสารและรับสารดังกล่าวด้วยการถามบางคนในทำนอง “ชอบสมุดบันทึกของใคร เรื่องราวเป็นอย่างไร ทำไมถึงชอบ”
สองเวทีล่าสุดนั้น “จดหมายน้อย” ดูเหมือนจะเป็นกระบวนการที่ประสบความสำเร็จมากกว่า “สมุดบันทึก” เพราะไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก แถมยังสมารถสื่อสารได้ตามความถนัดของแต่ละคน ใครใคร่เขียนก็เขียน ใครใคร่วาดก็วาด บางคนจ่ายหน้าซองถึงใครสักคนชัดเจน ขณะที่บางคนสื่อสารในแบบไม่เปิดเผย แต่ชวนให้คิดเองว่ากำลังสื่อสารถึงใคร
กระบวนการนี้ผู้เข้าร่วมเวทีสามารถเขียนได้ตลอดเวลา คำว่าตลอดเวลาหมายถึง “ใช้เวลาว่าง” มาขีดเขียน ครั้นเขียนเสร็จก็หย่อนลงในกล่องจดหมาย หรือถ้ากล้าหาญพอก็นำไปส่งให้เจ้าตัวด้วยตนเองก็ยิ่งดี
ผมให้ทีมงานนำจดหมายน้อยมาอ่านสร้างบรรยากาศเป็นระยะๆ เช่น ก่อนแยกย้ายไปพักรับประทานอาหาร อ่านก่อนกลับบ้าน รวมถึงใช้เป็นกระบวนการของการนำเข้าสู่การเรียนรู้ในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ากระบวนการนี้สร้างสรรค์บรรยากาศได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
จดหมายบางฉบับที่จ่ายหน้าซองถึงใครชัดเจน ผมย้ำให้ทีมงานเชิญเจ้าตัวออกมารับไปเก็บไว้เป็นความทรงจำของเขาเอง หรือแม้แต่ท้าทายให้เจ้าตัวตามหาคนที่ส่งสารมายังเขา –
ผมยืนยันว่ากระบวนการนี้ประสบความสำเร็จสูงมาก “จดหมายน้อย” ฉายชัดถึงความสุข ความสนุกอย่างไม่ต้องสงสัย และดูเหมือนจะเป็นเครื่องมือในการละลายพฤติกรรมเชื่อมโยงผู้คนให้ขยับเข้าหากันได้ไม่แพ้การ “ตี กลอง ร้องเต้น”
ต้องยอมรับว่าเวทีล่าสุดที่จังหวัดบุรีรัมย์ กระดานความรู้เป็นอีกหนึ่งกระบวนการที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการใช้เป็นเครื่องมือของการละลายพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมการเรียนรู้
เพราะความที่ไม่รู้จัก หรือรู้จักแต่ยังไม่คุ้นเคยกันมาก กระดานความรู้สึกก็กลายมาเป็นชานชลาให้ผู้คนพบปะกัน – ฝากข้อความ – ฝากเบอร์ – ฝากเฟซบุ๊ก – ฝากไอจี ฯลฯ ให้แก่กัน ซึ่งมีฝากถึงวิทยากรด้วยก็เยอะ
บางคนสื่อสารด้วยข้อความ บ้างสื่อสารด้วยภาพ บ้างเน้นสนุก บ้างเน้นสาระ บางคนแนะนำสถานที่สำคัญๆ ของจังหวัดตัวเอง เช่นเดียวกับบางคนก็ถามวิทยากรถึงเรื่องราวของ “มหาสารคาม” หรือ “มหาวิทยาลัยมหาสารคาม” แต่ทั้งปวงนั้นก็ไม่มีถูกไม่มีผิด เรียกได้ว่า “คิดอย่างไรก็ร่ำระบายออกมาได้อย่างเต็มที่”
เอาจริงๆ เลยนะ ผมรู้ว่าบางคนอาจมองว่ากระบวนการเหล่านี้ดู “ไร้สาระ” แต่สำหรับผมแล้วมันคือกระบวนการเรียนรู้แบบ “บันเทิงเริงปัญญา” ที่ผมถนัด
แน่นอนครับ ผมยืนยันว่ากระบวนการเหล่านี้ช่วยละลายพฤติกรรมของผู้คนในเวทีเข้าหากันได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็เป็นพลังบวกหนุนเสริมกระบวนการเรียนรู้กันและกันได้มหาศาลเลยทีเดียว โดยไม่จำเป็นต้องไปเบียดเบียนเวลาของกระบวนการอื่นๆ
และที่สำคัญ ถ้าเราใส่ใจต่อข้อความ หรือสารที่พวกเขาส่งมา เราจะเห็นกระทั่งมุมมองที่เขามีต่อกิจกรรมที่กำลังเรียนรู้ประหนึ่งประเมินการเรียนรู้ไปในตัวเลยก็ว่าได้
รวมถึง การมองเห็นทัศนคติการใช้ชีวิตของเขา เห็นถึงการรู้เท่าทันสื่อของพวกเขา ฯลฯ
ลองดูครับ – ลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับกลุ่มวัยที่อยู่ในเวที แล้วคุณจะรู้ว่า “บันเทิงเริงปัญญา” แบบนี้ ไม่เหนื่อยเปล่าอย่างแน่นอน
เขียน : อังคารที่ 24 พฤษภาคม 2565
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา / สุริยะ สอนสุระ
ดีมากครับ…ขอบคุณหลายครับ
สวัสดีครับ พี่แก้ว
ผมมองว่ากระบวนการนี้ ง่ายงาม เป็นกันเอง เป็นธรรมชาติ และเข้ากับ “วันวัย” ของผู้เข้าร่วมเรียนรู้ในเวที ครับ
แถมยังชวนให้พวกเขารำลึกวิธีสื่อสารผ่านการเขียน ที่มิใช่ การส่งข้อความสื่อสารผ่าน “มือถือ”
สวัสดีครับ คุณครูสามัญชน
เห็นปฏิกริยาตอบสนองที่ดีของนักเรียนต่อกระบวนการเหล่านี้ก็ชื่นใจครับ และหวังว่าทางโรงเรียนจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ หรือให้แกนนำสภานักเรียนนำไปประยุกต์ใช้ นะครับ