ตัวอย่างการต่อต้านข่าวลวงข่าวปลอมโควิด


ตัวอย่างการต่อต้านข่าวลวงข่าวปลอมโควิด

29 ตุลาคม 2564

ข่าวโควิด-19 หรือชื่อเต็มทางการไทยว่า “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(COVID-19)” น่าสนใจ โดยเฉพาะข่าวแปลกๆ ที่ท้าทายสังคม จึงมีแนวคิดจะรวบรวมข่าวนี้ในประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจ แต่ติดขัดที่หลายๆ ข่าวโควิดมักเป็น “ข่าวปลอม” (Fake News) ตามกระแสโลกโซเชียลออนไลน์ที่ไร้ขีดจำกัดที่เป็นภาระของผู้เสพข่าว ที่ต้องตรวจสอบเอง แม้ว่าจะมีองค์กร หน่วยงานภาครัฐช่วยตรวจสอบด้วย ก็ไม่เพียงพอ ดังเช่น องค์กร cofact หรือ ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (antifakecenter) กระทรวง DE 

การต่อต้านข่าวลวงข่าวปลอมโควิด จึงสำคัญ โดยเฉพาะข่าวที่น่าสนใจ มาดูตัวอย่างข่าวในรอบสามสี่เดือนที่ผ่านมา มีน่าสนใจ หลายข่าว ขอยกตัวอย่างเพียง 3 ข่าว

ข่าวเรื่องที่ 1 ใบกระท่อม : ข่าวจดสิทธิบัตรสมุนไพรกระท่อม

เริ่มจากเมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวเจ้าของ บริษัทเครื่องมือแพทย์ ร้านขายยา จะหาผู้ปลูกกระท่อม 10 ล้านต้น ในสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะความโด่งดังในสรรพคุณยาของใบกระท่อม ที่มีมาพร้อมกับสมุนไพรตัวอื่นๆ ในกระแสที่เป็นยาสมุนไพรจากธรรมชาติ (Herbs) เพื่อการป้องกันรักษาโรคโควิด ไม่ว่าจะเป็น กัญชา (Canabis) ฟ้าทะลายโจร กระชายขาว ขิง กระเพรา ใบดีหมี โกฐจุฬาลัมพา เป็นต้น

ข่าวปี 2559 บริษัทญี่ปุ่นยื่นเสนอจดสิทธิบัตรกระท่อมเพิ่มทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยแล้ว หลังจากได้จดสิทธิบัตรสารสกัดจากกระท่อมในญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาจำนวน 3 สิทธิบัตรก่อนหน้านี้ การละเลยของรัฐบาลไทยและการปล่อยปละเลยของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะทำให้ความฝันสร้างประเทศไทย 4.0 จากการได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมกลายเป็นความฝันที่ว่างเปล่า ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ (Dr. Suvit Maesincee)

เมื่อสองปีที่แล้วเอ็ดเวิร์ด แฮมมอนด์ ได้เผยแพร่บทความเปิดเผยกรณีบริษัทของมหาวิทยาลัยญี่ปุ่น 2 แห่งคือ มหาวิทยาลัยชิบะ (National University Corporation Chiba University) และมหาวิทยาลัยโจไซ (Josai University Corporation) จดสิทธิบัตรสารและอนุพันธ์ซึ่งได้จากใบกระท่อมพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เผยแพร่ใน TWN Info Service on Intellectual Property Issues การจดสิทธิบัตรดังกล่าวเป็นข่าวเล็กๆ ในสื่อมวลชนบางฉบับในประเทศไทยเมื่อเดือนเมษายน 2559 ที่ผ่านมา และข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวได้เงียบหายไปโดยปราศจากความใส่ใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

สถานะของสิทธิบัตร

ไบโอไทยพบว่านอกจากญี่ปุ่นได้รับสิทธิบัตรจำนวน 3 สิทธิบัตร คือ สิทธิบัตรสหรัฐ US patent 8247428 เมื่อปี 2012 สิทธิบัตรญี่ปุ่น patent 5308352 เมื่อปี 2013 และสิทธิบัตรสหรัฐ US patent 8648090 เมื่อปี 2014 แล้ว ขณะนี้มหาวิทยาลัยชิบะยังได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรผ่านสนธิสัญญาความร่วมมือด้านสิทธิบัตร หรือ PCT เพื่อให้มีผลในประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นภาคีในสนธิสัญญาดังกล่าว 117 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย คำขอสิทธิบัตรดังกล่าวได้ยื่นต่อ WIPO (องค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก) เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2014 ซึ่งภายใน 2 ปีครึ่งหรือ เมษายน 2017 คำขอสิทธิบัตรซึ่งองค์กรตรวจสอบระหว่างประเทศได้ตรวจสอบแล้วจะถูกจัดส่งมายังกรมทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเข้าสู่การพิจารณาอนุมัติสิทธิบัตรของไทยต่อไป 

เบื้องหลังการวิจัยสมุนไพรกระท่อมร่วมกับนักวิจัยไทย

เบื้องหลังการจดสิทธิบัตรของญี่ปุ่นเกิดขึ้นจากงานศึกษาวิจัยของคณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิบะ และมหาวิทยาลัยโจไซของญี่ปุ่นซึ่งร่วมทำโครงการวิจัยสารกลุ่มอัลคาลอยด์ในพืชกระท่อมของไทยร่วมกับ คณะเภสัชศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังในประเทศไทย ตัวอย่างเช่น

- งานวิจัยเรื่อง Studies on the synthesis and opioid agonistic activities of mitragynine-related indole alkaloids: discovery of opioid agonists structurally different from other opioid ligands. ตีพิมพ์ในวารสาร J. Med. Chem. ปี 2002  

- งานวิจัยเรื่อง Involvement of mu-opioid receptors in antinociception and inhibition of gastrointestinal transit induced by 7-hydroxymitragynine, isolated from Thai herbal medicine Mitragyna speciosa. ตีพิมพ์ในวารสาร  Eur. J. Pharmacol เมื่อปี 2006  

- งานวิจัยเรื่อง MGM-9 [(E)-methyl 2-(3-ethyl-7a,12a-(epoxyethanoxy)-9-fluoro-1,2,3,4,6,7,12,12b-octahydro-8-methoxyindolo[2,3-a]quinolizin-2-yl)-3-methoxyacrylate], a derivative of the indole alkaloid mitragynine: a novel dual-acting mu- and kappa-opioid agonist with potent antinociceptive and weak rewarding effects in mice. ตีพิมพ์ในวารสาร Neuropharmacology เมื่อปี 2008   

ที่น่าเป็นห่วงมากไปกว่านี้คือ คณะวิจัยจากต่างประเทศกลุ่มนี้ยังคงมี “ความร่วมมือทางวิชาการ” ร่วมกับนักวิจัยในประเทศไทยในมหาวิทยาลัยดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในการวิจัยสมุนไพรไทยจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยอื่นอีก 10 สถาบัน รวมเป็น 11 สถาบัน โดยนอกเหนือจากกระท่อมแล้ว ยังมีพืชสมุนไพรอีกหลายชนิดที่อยู่ในความร่วมมือทางวิชาการดังกล่าวด้วย 

การละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายไทย

การจดสิทธิบัตรดังกล่าวข้างต้นโดยกลุ่มนักวิจัยญี่ปุ่นโดยปราศจากการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและยุติธรรมกับประเทศไทย ไม่เป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ที่กำหนดให้พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏในดินแดนประเทศไทยอยู่ภายใต้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย การเข้ามาทำวิจัยโดยมีหลักฐานความร่วมมืออย่างแจ้งชัดดังกรณีนี้แล้วนำผลจากการวิจัยไปจดสิทธิบัตรจึงเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ

ในขณะเดียวกัน การวิจัยของนักวิจัยต่างชาติและนักวิจัยไทยซึ่งเกิดขึ้นหลัง พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา เกี่ยวกับพันธุ์พืชป่าหรือพันธุ์พืชทั่วไปของไทย ต้องแจ้งและขออนุญาตตามกฎหมาย และในกรณีที่มีการจดสิทธิบัตรซึ่งนำไปสู่ผลประโยชน์ทางการค้าจะต้องขออนุญาตและแบ่งปันผลประโยชน์กับคณะกรรมการคุ้มครองพันธุ์พืช

รัฐบาลไทย โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นหน่วยงานที่ได้รับการมอบหมายให้ประสานงานและดูแลเกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งดูแล พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งมีภารกิจในการคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาสมุนไพรไทย และรวมทั้งกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ต้องหยิบยกกรณีการจดสิทธิบัตรดังกล่าว ขึ้นมาหารือกับรัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อหาทางออกในกรณีนี้ร่วมกัน

ประเทศไทย 4.0 ล้มเหลวเพราะเพิกเฉยต่อการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น

ประเทศไทยประกาศเดินหน้าวิสัยทัศน์ “ประเทศไทย 4.0” โดยอาศัยความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบจากการมีฐานความหลากหลายทางชีวภาพและฐานความหลากหลายทางวัฒนธรรม พัฒนาประเทศจากนวัตกรรม โดยอาศัยบทบาทของมหาวิทยาลัยในประเทศและสถาบันต่างประเทศเป็นตัวขับเคลื่อน แต่วิสัยทัศน์ที่ว่าอาจเป็นเพียงความฝันที่ว่างเปล่าเมื่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ มิได้ปรับปรุงกฎหมายสิทธิบัตรของไทยให้แสดงที่มาของทรัพยากรชีวภาพแต่ประการใด ทั้งๆ ที่ขณะนี้แม้แต่ประเทศที่มีความก้าวหน้าในการวิจัยและมิได้เป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพเช่น นอร์เวย์ สวิสเซอร์แลนด์ รวมทั้งประเทศในสมาชิกอียูหลายประเทศกลับปรับปรุงแก้ไขกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาของตนเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ

นอกเหนือจากต้องรับมือกับสิทธิบัตรกระท่อมซึ่งได้รับการอนุมัติแล้ว และถูกยื่นจดสิทธิบัตรเพิ่มดังที่ได้กล่าวแล้ว รัฐมนตรีช่วยการกระทรวงพาณิชย์ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเทศไทย 4.0 ควรรีบดำเนินการเสนอให้มีการปรับปรุงกฎหมายสิทธิบัตรไทยโดยเร็ว โดยอาจดูตัวอย่างกฎหมายของประเทศนอรเวย์ (Patent Act of Norway, Act No. 9 of1967 on patents, as amended in 2015) หรือกฎหมายสิทธิบัตรของสวิตเซอร์แลนด์ (Patent Act of Switzerland, as amended in 2012) โดยอาจขอปรึกษารายละเอียดและแนวทางการปรับปรุงกฎหมายได้จาก รศ.ดร.จักรกฤษณ์ ควรพจน์ ผู้อำนวยการวิจัยฝ่ายกฎหมายเศรษฐกิจ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ผศ.ดร.สมชาย รัตนชื่อสกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ ม.ธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งมีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับมาตรการทางกฎหมายในการการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทรัพย์สินทางปัญญามาอย่างยาวนาน 

บทสรุปจดทะเบียนภูมิปัญญาท้องถิ่นกระท่อม

นอกจากความล้าหลังเกี่ยวกับการคุ้มครองทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นแล้ว กฎหมายของประเทศนี้ยังล้าหลังที่ประกาศให้สมุนไพรไทยกระท่อมเป็นพืชเสพติดที่ผู้ครอบครองมีโทษทางอาญา ทั้งๆ ที่ควรส่งเสริมให้มีการวิจัย การใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ซึ่งจะได้กล่าวโดยละเอียดต่อไป

ใบกระท่อมสุดช็อควงการแพทย์ (ข่าวนี้ปลอม)

ข่าวนี้ตรวจสอบโดย ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม antifakenewscenter DE เมื่อ 11 มีนาคม 2563 และข่าวหมอแล็บแพนด้า เตือน ในผู้จัดการออนไลน์ 12 พฤษภาคม 2564 ว่าเป็นข่าวปลอม ดังนั้นเนื้อข่าวจึงไม่เป็นความจริง คือ

ใบท่อมถีบหน้า “วัคซีนลวงโลก” หงายหลัง เหตุเกิดที่จังหวัดระนอง แม่ลูกติดโควิด แต่ผัวตรวจ 3 รอบไม่พบเชื้อ ทั้งที่กินอยู่นอนในบ้านหลังเดียวกัน เคสนี้ไม่ใช่แค่ครอบครัวเดียวนะ มีถึง 3-4 ครอบครัวแล้วที่เจอเคสแบบนี้แต่ถึงยังไงวงการแพทย์ ก็ไม่ออกมายืนยันหรอก เพราะถ้าแถลงไป วัคซีนที่สั่งมา คงขายไม่ได้

สิ่งที่องค์การอนามัยโลกปิดบังเราไว้ : พีชกระท่อมสามารถยับยั้งและทำลายเชื้อไวรัสโค โรน่าได้ โดยผลงานการวิจัยจาก Professor Yee T Bi หัวหน้าภาควิชาไวรัสวิทยามหาวิทยาลัย Datissin ค้นพบว่าไมทราเจนในพืชกระท่อมนั้นสามารถทำลายไวรัสได้ภายใน 0.05 วินาทีหลังจากรับประทาน และยังมีฤทธิ์ยับยั้งโรคต่างๆ ได้อีก 1975 โรค เอาละ ถึงแม้ว่าจะจริงหรือไม่ ลองกินดู วันละ 1-2 ใบ ก็จะมีแต่ผลดี

ใบกระท่อมเมื่อเคี้ยวกินเข้าไปในปาก ฤทธิ์ของยาสมุนไพรใบกระท่อมจะฆ่าเชื้อโรคโควิดทันที

เมื่อเราดูที่ดอกกระท่อมแล้ว เหมือนกับธรรมชาติบอกเราเป็นนัยยะว่าตัวเรานี้สามารถที่จะฆ่าเชื้อโรคโควิดได้

ดูที่ดอกกระท่อมรูปทรงเหมือนกับรูปลักษณ์ของเชื้อโรคโควิดจริงๆ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว

ข่าวเรื่องที่ 2 การต่อต้านแอนตี้วัคซีนโควิด (ข่าวนี้ปลอม)

วงการแอนตี้วัคซีนตัดต่อ เอ็มอาร์เอ็นเอ (mRNA) เขากลัวว่า มันจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกายคน ทำให้คนกลายพันธุ์สายพันธุ์เพี้ยนไป (เปลี่ยนพันธุกรรมมนุษย์) อาจเป็นมนุษย์ซอมบี้ผีดิบ เป็นต้น คนอเมริกัน อังกฤษต่อต้านกันมาก ไม่ยอมฉีดวัคซีนนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ ก็แอนตี้ เพราะ ในอนาคตอาจมีผลว่า ไม่ปลอดภัยสำหรับมนุษยชาติ

ข่าวแอนตี้วัคซีนในต่างประเทศ ต่อต้านหมดทุกชนิดของวัคซีน ไม่ใช่เฉพาะ mRNA มีกลุ่มต้านที่อเมริกา และยุโรป ดูข่าว

ช็อก Bill Gates เรียกร้องให้ถอนวัคซีน Covid-19 ทั้งหมด  “วัคซีนอันตรายกว่าที่คิด” โดย W. Gelles (ข่าวนี้ปลอม) 

ข่าวนี้เป็นข่าวเชิงเสียดสี (Satire) จากเวบ เดลิเอกซ์โพส (Daily Expose) เป็นทฤษฎีสมคบคิด ที่มีข่าวมาตั้งแต่ ปลายปี 2563 ตามข่าว Thaipublica เมื่อ 6 กันยายน 2564

วอชิงตัน- (MaraviPost) - ในการประกาศที่น่าตกใจ Bill Gates มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft และกำลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังวัคซีน COVID-19เรียกร้องให้มีการนำวัคซีนจากพันธุกรรม COVID-19 ทั้งหมดออกจากตลาดทันที

ในการกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ที่เจ็บปวดรวดร้าวบ่อยครั้ง 19 นาที เกตส์กล่าวว่า “เราทำผิดพลาดอย่างมหันต์ เราต้องการปกป้องผู้คนจากไวรัสอันตราย แต่กลับกลายเป็นว่าไวรัสมีอันตรายน้อยกว่าที่เราคิดไว้มาก และวัคซีนก็อันตรายเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการได้”

“วัคซีนเหล่านี้ ไฟเซอร์, โมเดอร์นา, จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน, แอสตร้าเซเนก้า พวกมันกำลังฆ่าคนทั้งซ้ายและขวา และพวกเขากำลังทำร้ายคนบางคนอย่างเลวร้ายมาก” เกตส์กล่าวต่อ โดยโบกมือขึ้นไปในอากาศเป็นครั้งคราวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง 

“ข้อมูลของรัฐบาลเองแสดงให้เราเห็นว่านี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ระบบการรายงานของ CDC กำลังแสดงอะไร…ประมาณ 13,000 ผู้เสียชีวิตในสหรัฐอเมริกาและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์กว่าครึ่งล้าน เราทุกคนรู้ดีว่าระบบการรายงานเป็นเรื่องหลอกลวง

“เราทราบดีว่า VAERS [ระบบการรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากวัคซีนของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค] รวบรวมได้เพียงร้อยละหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้น เรากำลังพูดถึงผู้เสียชีวิตจากวัคซีนโควิดมากกว่าล้านราย และผู้คนกว่า 60 ล้านคนที่มีผลข้างเคียงที่ไม่ดี” "นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ สิ่งนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ” นายเกตส์ยืนยัน

หุ้นในวอลล์สตรีทของบริษัทวัคซีนโควิดรายใหญ่ทั้งหมดร่วงลง 20% ถึง 30% เนื่องจากนายเกตส์ประกาศว่าเขาเข้าร่วมในคำร้องเร่งด่วนของพลเมืองที่ยื่นโดยองค์กรป้องกันสุขภาพเด็กของโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี จูเนียร์ ที่เรียกร้องให้มีอาหารสหรัฐฯ และ สธ. ถอนวัคซีนโควิดทั้งหมดออกจากตลาดทันที

Gates กล่าวต่อว่า “ผู้คนจำนวนมากที่รับวัคซีนเหล่านี้เสียชีวิต… หนึ่งวัน สองวัน ห้าวันหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน คนอื่นๆ มีอาการอัมพาต ตาบอด ชัก หัวใจวาย ระบบภูมิคุ้มกันล้มเหลว ลิ่มเลือดอุดตัน สมองอักเสบ ปอดหรือไตถูกทำลาย การแท้งบุตร โรคภูมิต้านตนเอง ความล้มเหลวของระบบอวัยวะหลายส่วน ความเหนื่อยล้าถาวรอย่างถาวร และปัญหาร้ายแรงอื่นๆ อีกมากมาย

“แน่นอน Media Mouthpieces ของเรา ฉันหมายถึงสื่อกระแสหลัก ละเลยโศกนาฏกรรมเหล่านี้ทั้งหมดว่าเป็น 'แค่เรื่องบังเอิญ'“ 

“เหตุผลที่พวกเขาพูดอย่างนั้น” เกตส์อธิบาย “เป็นเพราะสิ่งที่ฉันทำที่งาน 201 ซึ่งเป็นการจำลองสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าที่นิวยอร์กในเดือนตุลาคม 2019 เพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เราจะประกาศการแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นจริง ฉันได้รับหนังสือพิมพ์ ช่องทีวี และสถานีวิทยุรายใหญ่ทั้งหมดเพื่อตกลงที่จะปฏิบัติตามคำบรรยายอย่างเป็นทางการ 'วัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ' และเพื่อเซ็นเซอร์ใครก็ตามที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับ BS นี้

“ดังนั้น สาธารณชนจึงไม่เคยได้ยินหลักฐานจากแพทย์และนักวิจัยทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงหลายร้อยคนที่เตือนว่าวัคซีนมีอันตรายและมักเป็นอันตรายถึงชีวิต” 

“นั่นเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของฉัน” เกตส์กล่าว ดูเหนื่อยและบางครั้งก็มีน้ำตา “เราไม่ควรทำอย่างนั้น ประชาชนมีสิทธิทุกอย่างที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารที่ดี เพื่อรับข้อเท็จจริงทั้งหมดเพื่อที่พวกเขาจะได้ตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล” 

เปลี่ยนหัวข้อราวกับว่าต้องการแสดงความเห็นอกเห็นใจ มิสเตอร์เกตส์วางใจว่า: “ฉันผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากและค้นหาจิตวิญญาณมากมายตั้งแต่เมลินดาทิ้งฉัน การหย่าร้างครั้งนี้ทำให้ฉันต้องมองตัวเองให้ดี ฉันไม่ต้องการที่จะถูกจดจำในฐานะสัตว์ประหลาดที่ฆ่าคนนับล้านด้วยวัคซีนที่อันตรายถึงตาย ฉันไม่ใช่สัตว์ประหลาด ฉันไม่ใช่ฆาตกร ฉันไม่ต้องการให้ครอบครัว เพื่อน และบริษัทจำได้ว่าฉันเป็นนักฆ่าหมู่

“บางคนเรียกฉันว่าเป็นนักสังคมสงเคราะห์หรือแม้แต่โรคจิตเภทเพราะแผนการณ์ของฉันในการช่วยเหลือมนุษยชาติ - เช่นการลดภาวะโลกร้อนด้วยการพ่นฝุ่นสู่บรรยากาศชั้นบนหรือปล่อยยุงดัดแปลงพันธุกรรมหลายล้านตัวเพื่อต่อสู้กับไข้เลือดออกและไวรัสซิกา”

ข่าวเรื่องที่ 3 New Normal ภูมิปัญญาสู้โควิด (ข่าวนี้จริง)

เดิมเข้าใจว่าข่าวนี้เป็นข่าวปลอม แต่มีการตรวจสอบ และโพสต์ให้เครดิตโดย ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ในผู้จัดการออนไลน์ วันที่ 6 มกราคม 3564 ข่าวภูมิปัญญาของ ดร. บอนนี่ เฮนรี่​ (Bonnie Henry) ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขและเวชศาสตร์ป้องกัน มหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย แคนาดา เธอยังมาจาก PEI (เกาะปรินซ์เอ็ดเวิร์ด) 

1. เราอาจต้องอยู่กับ COVID-19 เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปี อย่าปฏิเสธหรือตื่นตระหนก อย่าทำให้ชีวิตของเราไร้ประโยชน์ มาเรียนรู้ที่จะอยู่กับข้อเท็จจริงนี้กันเถอะ

2. คุณไม่สามารถทำลายไวรัส COVID-19 ที่เจาะผนังเซลล์ได้ โดยการดื่มน้ำร้อนมากๆ อีกทั้งจะทำให้คุณเข้าห้องน้ำบ่อยขึ้นด้วย

3. การล้างมือและ รักษาระยะห่างทางกายภาพ สองเมตรเป็นวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการป้องกันของคุณ

4. หากคุณไม่มีผู้ป่วย COVID-19 ที่บ้าน ก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าเชื้อพื้นผิวที่บ้านของคุณ

5. ตู้สินค้า ปั๊มน้ำมัน รถเข็น และ ตู้เอทีเอ็ม ไม่ก่อให้เกิดการติดเชื้อ หากมีการล้างมือบ่อย จากใช้ชีวิตตามปกติ

6. โควิด -19 ไม่มีความเสี่ยง ที่แสดงให้เห็นว่า COVID-19 ติดต่อทางอาหารได้

7. คุณสามารถสูญเสียความรู้สึกในการดมกลิ่น ด้วยอาการแพ้ และการติดเชื้อไวรัสจำนวนมาก นี่เป็นเพียงอาการไม่เฉพาะเจาะจงของ COVID-19

8. เมื่ออยู่บ้าน คุณไม่จำเป็นต้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเร่งด่วน แล้วไปอาบน้ำไม่ควรถึงกับหวาดระแวง

9. ไวรัส COVID-19 ไม่ค้างอยู่ ในอากาศเป็นเวลานาน นี่คือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจที่ต้องสัมผัสใกล้ชิด

10. อากาศสะอาด คุณสามารถเดินผ่านสวนและ ผ่านสวนสาธารณะ (เพียงแค่รักษาระยะป้องกัน ทางกายภาพของคุณ)

11. ควรใช้สบู่ธรรมดาเพื่อป้องกันไวรัสโควิด -19 ไม่ใช่สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรีย เพราะนี่คือไวรัส ไม่ใช่ แบคทีเรีย

12. คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับ การสั่งอาหารของคุณ แต่คุณสามารถอุ่นทั้งหมดในไมโครเวฟได้หากต้องการ

13. โอกาสที่จะนำ COVID-19 กลับบ้านพร้อมกับรองเท้าก็เหมือนกับการถูกฟ้าผ่า 2 ครั้ง ในหนึ่งวัน ฉันทำงานกับไวรัสมา 20 ปี การติดเชื้อไม่แพร่กระจายแบบนั้น

14. คุณไม่สามารถป้องกันไวรัสได้ ด้วยน้ำส้มสายชู น้ำอ้อย และขิง สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อภูมิคุ้มกันไม่ใช่การรักษา

15. การสวมหน้ากากอนามัย เป็นเวลานาน อาจจะรบกวนการหายใจและระดับออกซิเจน ของคุณลดลง จงสวมใส่ในฝูงชนเท่านั้น

16. การสวมถุงมือ ก็เป็นความคิดที่ไม่ดีเช่นกัน ไวรัสสามารถสะสมเข้าไปในถุงมือ และแพร่เชื้อได้ง่าย หากคุณสัมผัสใบหน้า ดังนั้นจึงควรล้างมือเป็นประจำจะดีกว่า

 

อ้างอิง

ญี่ปุ่นยื่นจดสิทธิบัตรกระท่อมเพิ่มเติม : มูลนิธิชีววิถี, 2 กันยายน 2559, https://biothai.net/node/30500

ข่าวปลอม อย่าแชร์! พืชกระท่อมช่วยยับยั้งเชื้อไวรัส COVID-19 ได้, antifakenewscenter : ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม, 11 มีนาคม 2563, https://www.antifakenewscenter.com/ข่าวปลอม-อย่าแชร์-พืชกร/  

หมอแล็บฯ” เตือนครั้งที่ร้อย “ใบกระท่อม” ไม่มีฤทธิ์ต้านโควิด แถมส่งผลเสียในระยะยาว, ผู้จัดการออนไลน์, 12 พฤษภาคม 2564, https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000045496  

โควิด-19 : เอ็มอาร์เอ็นเอ กับข่าวลือวัคซีนก่อสารพิษ-เปลี่ยนพันธุกรรมมนุษย์ เชื่อถือได้หรือ, ข่าว BBC, 15 มิถุนายน 2564, https://www.bbc.com/thai/international-57481218 

เช็คก่อนแชร์ ข่าวปลอม “บิล เกตส์เรียกร้องให้ถอนวัคซีนโควิด”, ThaiPublica, 6 กันยายน 2564, https://thaipublica.org/2021/09/screenshot-bill-gates-covid-vaccines-withdralwal-goes-viral/ 

หมายเลขบันทึก: 693036เขียนเมื่อ 29 ตุลาคม 2021 21:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 ตุลาคม 2021 15:24 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

Thank you for this informative article.

I like to highlight “..การจดสิทธิบัตรดังกล่าวข้างต้นโดยกลุ่มนักวิจัยญี่ปุ่นโดยปราศจากการแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเท่าเทียมและยุติธรรมกับประเทศไทย ไม่เป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ที่กำหนดให้พืชสมุนไพรและภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ปรากฏในดินแดนประเทศไทยอยู่ภายใต้สิทธิอธิปไตยของประเทศไทย การเข้ามาทำวิจัยโดยมีหลักฐานความร่วมมืออย่างแจ้งชัดดังกรณีนี้แล้วนำผลจากการวิจัยไปจดสิทธิบัตรจึงเป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ..” and say that this is hardly a good example of (international) scientific collaboration.

Time for Thailand’s universities to stand-up for their ‘rights’ and ‘entitlements’ despite being in receipt of financial and technical aids from overseas.

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท