บันทึกชุด สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก นี้ เขียนเพื่อชี้แนวทางจัดการเรียนรู้แบบที่เรียกว่า active learning (ที่ในบันทึกชุดนี้ใช้คำว่า การเรียนรู้เชิงรุก) แนวทางหนึ่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกนักเรียนให้เรียนรู้จากการปฏิบัติตามด้วยการคิดที่เรียกว่า การใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ที่นำไปสู่การฝึกทักษะการเรียนรู้ที่นักเรียนกำกับการเรียนรู้ของตนเอง (self-directed learning) เป็น ผ่านกระบวนการ สานเสวนา (dialogue) ระหว่างนักเรียนกับครู และระหว่างนักเรียนกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่สนุกเร้าใจ (student engagement) กระตุ้นสมองให้เจริญงอกงาม และสร้างพัฒนาการรอบด้านตามแนวทางของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นบันทึกที่เขียนขี้นจากการตีความหนังสือและรายงานวิจัยของศาสตราจารย์ Robin Alexander นักวิจัยผู้ยิ่งใหญ่ด้านการศึกษาของอังกฤษ สังกัดมหาวิทยาลัย Warwick และมหาวิทยาลัย Cambridge คือหนังสือ A Dialogic Teaching Companion (2020) (๑) และรายงานวิจัย Developing dialogic teaching : genesis, process, trial (2018) (๒) บันทึกนี้ใช้คำไทยว่า “สอนเสวนา” ในความหมายของ dialogic teaching
บันทึกนี้ตีความจากหนังสือ A Dialogic Teaching Companion (2020) บทที่ ๘ Professional Development
เนื่องจากเนื้อหาเรื่องการพัฒนาครูค่อนข้างยาว ผมจึงแบ่งเป็น ๒ บันทึก โดยบันทึกที่ ๑๕ นี้ เป็นเรื่องกิจกรรมที่ครูร่วมกันพัฒนาตนเอง และพัฒนากันเอง โดยโรงเรียนจัดระบบสนับสนุน
หน่วยพัฒนา (Development units)
นี่คือกิจกรรมตัวจริง ของการร่วมกันพัฒนาตนเองของครู โดยโรงเรียนมีระบบสนับสนุน ในที่นี้มีทั้งหมด ๑๐ หน่วย คือกิจกรรมทบทวนใหญ่ตอนกลางเทอม ๑ ครั้ง กิจกรรมทบทวนใหญ่ตอนสิ้นเทอม ๑ ครั้ง และกิจกรรมเป็นวงรอบ ๘ วงรอบ ซึ่งอาจมองว่าเป็นการวิจัย R2R (routine to research) เล็กๆ ก็ได้
แต่ละวงรอบประกอบด้วย ๕ กิจกรรมคือ (๑) วางแผนและกำหนดเป้าหมาย โดยครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันกำหนด ว่าจะดำเนินการทดลองอะไร เมื่อสิ้นวงรอบจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรที่การพูดในห้องเรียน (๒) ดำเนินการ/ทดลอง โดยครูสอนบทเรียนที่วางแผนไว้ (๓) รวบรวมข้อมูล นำมาสังเกตร่วมกัน ทีมครูและครูพี่เลื้ยงร่วมกันดูวิดีทัศน์ตอนที่เลือก (๔) ทบทวนและตีความ ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันทบทวนจากการดูวิดีทัศน์ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในวงรอบ หรือในบางช่วงของการเรียน (๕) กำหนดจุดพัฒนาต่อเนื่อง ร่วมกันกำหนดว่าในรอบต่อไปจะเน้นพัฒนาอะไร
โปรดสังเกตว่า กิจกรรมนี้มีลักษณะพิเศษคือ ครูเป็นผู้นำการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง โดยจุดเน้นในที่นี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อหาสาระวิชา (เป็นเรื่องที่ครูแต่ละคนรับผิดชอบเอง) แต่อยู่ที่วิธีการพูดที่นำไปสู่การเรียนรู้สูง
วงรอบที่ ๑ พัฒนาวัฒนธรรมปฏิสัมพันธ์
อ้างอิงสาระเชิงหลักการในบันทึกที่ ๕ ของบันทึกชุด สนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก นี้ กิจกรรมของวงรอบเริ่มด้วยการที่ครูหรือครูพี่เลี้ยงบันทึกวิดีทัศน์การสอนตอนต้นเทอมที่มีการอภิปรายเข้มข้น ตอนเริ่มวงรอบครูจัดเวลาเรียนให้นักเรียนคุยกันเรื่องการพูดในชั้นเรียน และวิธีพูดให้เกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้สูงสุด ในขั้นดำเนินการครูชวนนักเรียนคุยว่าในช่วงเทอมนี้ (หรือปีนี้) จะหาทางส่งเสริมให้นักเรียนทุกคนได้พูดในชั้นเรียนอย่างเปิดใจและสบายใจได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่ขี้อาย หรือพูดไม่คล่อง รวมทั้งให้นักเรียนร่วมกันกำหนดกติกาการพูดและฟังในชั้นเรียน และให้ช่วยกันสังเกตและหาทางช่วยกันปรับปรุง ตอนปลายวงรอบครูหรือครูพี่เลี้ยงบันทึกวิดีทัศน์อีกครั้งหนึ่ง เลือกนำเฉพาะบางตอนมาเปิดดูและร่วมกันทบทวนและตีความประเมินความก้าวหน้า และร่วมกันใช้ประสบการณ์ของวงรอบแรกนี้ในการกำหนดแนวทางดำเนินการให้เกิดการพูดที่ดีในชั้นเรียน และนำไปปรึกษากับนักเรียนเพื่อปรับปรุงกติกาการพูดในชั้นเรียนที่กำหนดไว้ตอนต้นวงรอบ โดยอาจช่วยกันจัดหมวดหมู่ตามในบันทึกที่ ๕ ครูร่วมกันทบทวนว่านักเรียนคนไหนบ้างที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการพูดเป็นพิเศษ และจะช่วยเหลืออย่างไร
วงรอบที่ ๒ พัฒนาการจัดชั้นเรียน
อ้างอิงสาระเชิงหลักการในบันทึกที่ ๖ ของบันทึกชุด สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก นี้ เป้าหมายของวงรอบที่ ๒ คือ ทดลองจัดห้องเรียน และจัดกลุ่มนักเรียน เพื่อให้เอื้อต่อการเรียนด้วยสานเสวนา กิจกรรมของวงรอบเริ่มด้วยครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันอภิปรายว่า ในปัจจุบันพื้นที่ปฏิสัมพันธ์เพื่อการเรียนรู้แบบสอนเสวนา ๔ มิติ คือ (๑) ด้านปฏิสัมพันธ์ (relations) (๒) ด้านการจัดกลุ่ม (grouping) (๓) ด้านเทศะหรือพิ้นที่ (space) (๔) ด้านกาละหรือเวลา (time) มีลักษณะเป็นอย่างไร และน่าจะปรับปรุงเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้การพูดในห้องเรียนสะดวกขึ้น โดยอาจใช้วิดีทัศน์ที่ถ่ายช่วงหลังในวงรอบที่ ๑ เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา
ในช่วงดำเนินการ/ทดลอง ครูมีโอกาสทดลองได้สารพัดแบบ เช่นทดลองจัดเฟอร์นิเจอร์ในห้องเสียใหม่ ให้สนองการจัดกลุ่มนักเรียนที่เปลี่ยนแปลงได้หลายแบบ (ทั้งชั้น กลุ่มย่อย และคนเดียว) อย่างรวดเร็ว ทดลองเปลี่ยนขนาดกลุ่ม และองค์ประกอบของสมาชิกกลุ่ม เพื่อให้เหมาะต่อกิจกรรมในชั้นเรียน กระบวนการทดลองนี้อาจดำเนินต่อไปตลอดทั้งเทอมหรือทั้งปี
รวบรวมข้อมูลโดยครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวิดีทัศน์กิจกรรมในห้องเรียนที่มีการทดลองเปลี่ยนแปลง ทีมครูและครูพี่เลี้ยงนำบันทึกวิดีทัศน์ครั้งที่สองของวงรอบที่ ๑ กับที่บันทึกในวงรอบนี้ ร่วมกันพิจารณาว่าเกิดผลกระทบอะไรบ้าง ควรปรับปรุงอย่างไร หรือในบางกรณีอาจควรย้อนกลับไปทำแบบเดิม
วงรอบที่ ๓ พูดเพื่อเรียนรู้
อ้างอิงสาระเชิงหลักการในบันทึกที่ ๗, ๘, ๑๓ ของบันทึกชุด สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก นี้ วงรอบนี้มีเป้าหมายสำรวจหาและขยายเพิ่มการพูดของนักเรียนในรูปแบบที่ครูอยากได้ยิน ที่จะช่วยยกระดับการคิด เริ่มจากการที่ครูเลือกบางตอนจากวิดีทัศน์ในวงรอบที่ ๒ ที่แสดงการพูดของนักเรียนในรูปแบบต่างๆ นำมาร่วมกันแบ่งกลุ่มตามแนวทางในบันทึกที่ ๗ แล้วครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันตรวจสอบการแบ่งกลุ่มการพูด และหา (๑) ความถี่ของการพูดแต่ละแบบ (๒) รูปแบบการพูดที่สำคัญแต่ไม่มีในวิดีทัศน์ แล้วร่วมกันวางแผนส่งเสริมให้เกิดการพูดแบบที่สำคัญนั้น โดยทบทวนบันทึกที่ ๘ ว่าการพูดของครูแบบไหนที่จะส่งเสริมให้นักเรียนเสวนากันแบบนั้น
ครูดำเนินการสอนเพื่อกระตุ้นการพูดแบบที่กำหนดไว้ แล้วครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวิดีทัศน์ไว้
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันเปรียบเทียบวิดีทัศน์ในวงรอบที่ ๒ และวิดีทัศน์ของวงรอบที่ ๓ ว่ามีการพูดตามแบบที่ต้องการเพิ่มขึ้นหรือไม่ อย่างไร และอภิปรายวิธีที่ครูจะใช้ส่งเสริมการพูดของนักเรียนในแนวที่ต้องการสำหรับใช้ในการสอนตอนต่อๆ ไป
วงรอบที่ ๔ พูดเพื่อสอน
เป็นเสมือนภาพกลับหรือภาพในกระจกของวงรอบที่ ๓ โดยเสาะหาคำพูด และท่าทาง (อวัจนะภาษา) ของครู ที่เหมาะสมต่อเป้าหมายการเรียนรู้ของนักเรียน นำมาหาทางขยายต่อ เริ่มจากครูร่วมกันดูวิดีทัศน์ตอนท้ายของวงรอบที่ ๓ โดยดูตลอดทั้งคาบ เพื่อจัดกลุ่มการพูดเพื่อสอนที่เกิดขึ้น อ้างอิงหลักการตามในบันทึกที่ ๘ แล้วครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันตรวจสอบการจัดกลุ่มดังกล่าว โดยตรวจสอบ (๑) ความถี่ของการพูดแต่ละกลุ่มที่เกิดขึ้น (๒) ว่าการพูดแต่ละแบบเกิดขึ้นในช่วงการเรียนรู้ใด (๓) ว่ามีรูปแบบการพูดแบบใดที่สำคัญมากต่อการเรียนรู้ของนักเรียน แต่ครูพูดน้อยหรือไม่ได้พูดเลย
ตามด้วยครูกับครูพี่เลี้ยงร่วมกันวางแผนบทเรียนที่มุ่งใช้การพูดแบบที่เป็นเป้าหมาย โดยคำนึงถึงสาระในบันทึกที่ ๗ ว่าการพูดเพื่อสอนแบบใด ที่จะนำไปสู่การพูดแนวที่ต้องการ
หลังจากนั้นครูนำเอารูปแบบการพูดที่ต้องการไปทดลองใช้ในการสอนของตน
กิจกรรมทบทวนใหญ่ตอนกลางเทอม
มี ๒ เป้าหมายคือ (๑) ร่วมกันทบทวนกิจกรรมด้านการจัดการโครงการ (๒) ร่วมกันทบทวนข้อเรียนรู้ อันได้แก่วิธีการที่นำไปสู่ความสำเร็จ ความรู้ที่งอกเงยขึ้น และประเด็นที่จะต้องมีการปรับปรุง
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันตรวจสอบด้านการจัดการ ๒ ประเด็น และด้านการเรียนรู้ ๒ ประเด็น ได้แก่ (๑) บันทึกวิดีทัศน์ได้รับการจัดเก็บและติดป้ายชื่ออย่างถูกต้อง มีการทำดัชนีตอนที่สำคัญเอาไว้ใช้งานภายหลัง (๒) มีบันทึกข้อมูลการวางแผนและเป้าหมาย การตรวจสอบผล และข้อเสนอแนะให้ปรับปรุง ของวงรอบที่ ๑ - ๔ แต่ละวงรอบ และจัดเก็บไว้ในที่เก็บเอกสารของโครงการอย่างเป็นระบบ (๓) กำหนดวิธีปฏิบัติที่ดี ๑ - ๒ รายการ ในรูปของเรื่องเล่า หรือเป็นคลิปวิดีทัศน์ก็ได้ โดยอาจแนบปัญหาหรือคำถามเป็นข้อสังเกตด้วยก็ได้ (๔) ประเมินความก้าวหน้าและประเด็นที่จะต้องปรับปรุง โดยคำนึงถึงหลักการของการสอนแนวสานเสวนา
ครูทุกคนและครูพี่เลี้ยงประชุมร่วมกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความสำเร็จ (โดยอาจเสนอคลิป), ทบทวนความก้าวหน้า, และแนวทางแก้ปัญหาที่พบ เพื่อเตรียมดำเนินการวงรอบที่ ๕ - ๘ ต่อไป โดยที่ในวงรอบที่ ๕ - ๘ จะเป็นเรื่องของการพูดและการจัดห้องเรียนแบบที่จำเพาะ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนและการขับเคลื่อนในรูปแบบที่ต้องการ
วงรอบที่ ๕ การตั้งคำถาม
เป็นวงรอบเพื่อตรวจสอบการตั้งคำถามของครูและนักเรียน และหาทางส่งเสริมทักษะนี้ โดยอ้างอิงสาระเชิงทฤษฎีในบันทึกที่ ๙
เริ่มจากครูเลือกตอนสำคัญ ๒ ตอนจากวิดีทัศน์ที่ถ่ายตอนท้ายของวงรอบที่ ๔ โดยตอนหนึ่งเป็นการถามโดยครู อีกตอนหนึ่งนักเรียนเป็นผู้ถาม ตามด้วยครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันจัดกลุ่มคำถามในทั้งสองตอน ว่าเป็นคำถามแบบไหน และขับเคลื่อนการเสวนาอย่างไร ในส่วนของการถามโดยครู ตรวจสอบ (๑) การเว้นช่วงให้นักเรียนมีเวลาคิด (๒) สมดุลระหว่างการให้นักเรียนยกมือขอตอบ กับการที่ครูชี้ตัวคนตอบเอง (๓) สมดุลระหว่างคำถามปลายปิดกับคำถามปลายเปิด (๔) เป้าหมายต่างๆ ของการถาม ในส่วนของการถามโดยนักเรียน ตรวจสอบชนิดของคำถาม ตั้งข้อสังเกตว่า ทั้งในการถามโดยครู และโดยนักเรียน มีการถามคำถามแบบไหนบ่อยที่สุด
ครูและครูพี่เลี้ยง ร่วมกัน (๑) วางแผนบทเรียนที่กำหนดสัดส่วนของรูปแบบคำถามของครูไว้ล่วงหน้า (๒) มีบทฝึกหัดให้นักเรียนได้ระดมความคิดล่วงหน้า (และถ่ายวิดีทัศน์ไว้) ว่าในบทเรียนนั้นนักเรียนควรตั้งคำถามว่าอย่างไรบ้าง
แล้วครูนำแผนดังกล่าวไปสอนตามแนวคำถามของนักเรียน โดยหากจัดการเรียนรู้แบบกลุ่มย่อย ในตอนท้ายให้รวมนักเรียนทั้งชั้น เพื่อนำเอาคำถามที่นักเรียนระดมความคิดไว้ล่วงหน้ามาพิจารณา (เป็นคำถามที่ถูกต้องหรือไม่) และปรับปรุง และร่วมกันอภิปรายว่า มีความสำคัญอย่างไรที่นักเรียนจะต้องมีโอกาสตั้งคำถามด้วย
ในตอนท้ายของวงรอบครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวิดีทัศน์ โดยให้มีตอนที่ครูถามคำถาม และตอนที่นักเรียนอภิปราบ
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันทบทวนความก้าวหน้าภายในวงรอบ ว่าครูและนักเรียนพัฒนาขึ้นอย่างไรบ้างในการตั้งคำถามตามที่ระบุในบันทึกที่ ๙ และจะมีช่องทางอย่างไรบ้างที่จะปรับปรุงขึ้นไปอีก หากยึดหลักการพูดที่ดี ๖ ประการสำหรับการสอนแนวสานเสวนา ตามหัวข้อ หลักการ ในบันทึกที่ ๔ การตั้งคำถามของครูและนักเรียนมีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง
วงรอบที่ ๖ ขยายความ
เป็นวงจรที่เน้นการจับประเด็นคำพูดของนักเรียนมาดำเนินการต่อ ให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่มีการเสวนาเข้มข้น สร้าง “จังหวะที่สาม” ของ IRE/IRF ที่ไม่ใช่จังหวะจอด แต่เป็นจังหวะเชื่อมโยง คือแทนที่จะ “ป้อนกลับ” กลายเป็น “ป้อนไปข้างหน้า” ประเด็นเชิงทฤษฎีอยู่ในบันทึกที่ ๑๐
เริ่มจากครูเลือกหนึ่งหรือหลายตอนในวิดีทัศน์ที่ถ่ายตอนท้ายของวงรอบที่ ๕ ที่นักเรียนตอบคำถามครู หรือพูดใน IRE/IRF หรือนอก IRE/IRF ก็ได้ คือนักเรียนพูดตั้งคำถามก็ได้ หาตอนที่นักเรียนพูดต่างๆ กัน เพื่อนำมาตรวจสอบ ขยายความ และดำเนินการต่อ
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันอภิปรายวงรอบที่ ๖ ในส่วนที่ครูจัดการคำตอบหรือคำพูดของนักเรียน ว่ามีการขับเคลื่อนต่อ น้อยตอนหรือมากตอน มีตอนไหนที่เป็นการเคลื่อนต่อแบบอัตโนมัติหรือเป็นนิสัย ไม่ใช่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง แล้วร่วมกันเตรียมบทเรียนที่กระตุ้นการถาม และมีคำพูดเคลื่อนประเด็นหรือความคิด เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเสวนาต่อ
ครูนำบทเรียนที่ร่วมกันเตรียมไปสอน เน้นให้เกิดการขยายความตามกรอบปฏิบัติที่ ๖ ในบันทึกที่ ๑๐ โดยนักเรียน แชร์ ขยาย และทำความชัดเจน ต่อความคิดของตนเอง, ฟังซึ่งกันและกันอย่างตั้งใจ, ทำให้เหตุผลชัดเจนหรือลึกซึ้งขึ้น, และ คิดร่วมกันกับผู้อื่น ซึ่งหมายความว่าครูหาวิธีพูดเพื่อขับเคลื่อนให้นักเรียนฟัง พูด และคิด เมื่อนักเรียนตอบสนอง ก็มีการตรวจสอบ ท้าทาย และขยายต่อ ผ่านคำพูดและการสื่อสารเพื่อขับเคลื่อนต่อ
ครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวิดีทัศน์ในช่วงท้ายของวงรอบที่ ๖ แล้วครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันประเมินความก้าวหน้าของครูในการพูดขยายการเคลื่อนตัวของการสานเสวนา สังเกตว่าการพูดเพื่อเคลื่อนตัวแบบไหนมากที่สุด แบบไหนน้อยที่สุด เมื่อมองจากการพูดสนองของนักเรียน การพูดแบบไหนเหมาะสมที่สุด แบบไหนก่อผลมากที่สุด สำรวจหากรณีที่มีการเสวนาอย่างลื่นไหลสู่การพูดของนักเรียนที่เชื่อมโยงขยายประเด็น สภาพนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ร่วมกันหาคำตอบว่า ในตอนนี้การถามตรงตาม “หลักการพูดที่ดี ๖ ประการสำหรับการสอนแนวสานเสวนา” เพียงใด การพูดขยายความไม่เพียงนำไปสู่การแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น แต่มีการคิดเพิ่มขึ้นด้วยหรือไม่ แยกแยะระหว่างการขยายความเชื่อมโยงสาระวิชา กับการเชื่อมโยงความคิด
วงรอบที่ ๗ การอภิปราย
วงรอบนี้เป็นการทำความเข้าใจคุณภาพของการอภิปรายในห้องเรียน และหาทางยกระดับคุณภาพ กรอบแนวทางปฏิบัติด้านการอภิปรายครอบคลุมทั้งการอภิปรายของนักเรียนและของครู ในด้านการจัดระบบ ตั้งคำถาม และขยายความ โดยต้องเอาใจใส่วัฒนธรรมและแนวปฏิบัติทั่วไปของการพูด ที่พัฒนาโดยวงรอบที่ ๑ เป็นต้นมา
ประเด็นเชิงทฤษฎีอยู่ในบันทึกที่ ๑๑ การทบทวนและวางแผนเริ่มจากครูเลือก ๒ ช่วงในวิดีทัศน์ที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ ช่วงหนึ่งเป็นการอภิปรายทั้งชั้นหรือในกลุ่มย่อยนำโดยครู อีกช่วงหนึ่งเป็นการประชุมกลุ่มย่อยนำโดยนักเรียน
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันอภิปรายบันทึกที่ ๑๑ (กรอบปฏิบัติที่ ๗) เน้นที่ข้อพึงปฏิบัติที่ตกลงกัน เช่น ผลัดกันพูด ให้เกียรติต่อการพูดและข้อคิดเห็นของผู้อื่น (กรอบฯ ที่ ๑) การจัดที่นั่งและจัดกลุ่มนักเรียน (กรอบฯ ที่ ๒) รวมทั้งทบทวนรูปแบบการพูดและการขับเคลื่อนการเสวนา (กรอบฯ ที่ ๓ - ๖) รวมทั้งเอาใจใส่ปัญหาการแสดงความเห็นเชิงสิทธิทางสังคมและตัวตนของนักเรียน (student voice) หากกิจกรรมในวงรอบก่อนๆ ได้ผลดี จะเห็นสภาพที่นักเรียนรับฟังซึ่งกันและกัน และสนับสนุนกันให้หาคำพูดมาแสดงออกความคิดของตน รวมทั้งนักเรียนและครูมีการถามคำถาม (วงรอบที่ ๕) และดำเนินการพูดขยายความ (วงรอบที่ ๖)
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันทบทวนวิดีทัศน์ ๒ ช่วงที่เลือกไว้ และประเมินว่ามีความก้าวหน้าตามกรอบแนวปฏิบัติที่ ๗ เพียงไร และร่วมกันวางแผนพัฒนาการจัดการเรียนต่อเนื่องจากวงรอบที่ ๕ และ ๖ เพื่อยกระดับคุณภาพของการถามเพื่อขับเคลื่อนสู่การขยายความ ที่สำคัญคือ เน้นให้ครูมีความสามารถเปลี่ยนแนวการเสวนาจากปฏิสัมพันธ์ครู-นักเรียน ไปเป็นนักเรียน-นักเรียน ในการประเมินวิดีทัศน์ที่นักเรียนเป็นผู้นำการอภิปราย ให้ประเมินตาม เงื่อนไขสำหรับการอภิปรายที่นักเรียนเป็นผู้ดำเนินการ ในบันทึกที่ ๑๑ แล้ววางแผนบทเรียนที่ (๑) ครูดูแลให้เกิดการอภิปรายของนักเรียนทั้งชั้นอย่างมีคุณภาพสูง (๒) มีช่วงที่มีการอภิปรายกลุ่มย่อยที่นักเรียนเป็นผู้นำการอภิปราย
ครูนำแผนที่วางไว้ไปดำเนินการสอน
ครูหรือครูพี่เลี้ยงถ่ายวิดีทัศน์ของการอภิปรายทั้งชั้น และของการอภิปรายกลุ่ม ในการถ่ายวิดีทัศน์ของการอภิปรายกลุ่ม แนะนำให้วางเครื่องบันทึกเสียงไว้กลางวงเพื่อจะบันทึกเสียงนักเรียนชัดเจน วางกล้องวิดีทัศน์บนสามขาไว้ห่างๆ เพื่อบันทึกท่าทางของสมาชิกกลุ่ม เอาไว้ดูอวัจนะภาษา บันทึกการอภิปรายกลุ่มของกลุ่มอื่นไว้เปรียบเทียบด้วย
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันประเมินความก้าวหน้าของการอภิปรายตามหลักการ เปรียบเทียบคุณภาพของการอภิปรายกลุ่มย่อย ตรงไหนทำได้ดี ตรงไหนทำได้ไม่ดี ในส่วนที่ทำได้ไม่ดีสาเหตุมาจากอะไร เกิดจากครูวางแผนไม่ดี หรือมาจากปฏิสัมพันธ์กลุ่มของนักเรียนเอง หรือทั้งสองปัจจัย หรือจากปัจจัยอื่น
ประเมินว่า การอภิปรายก้าวหน้าไปแค่ไหนตามหลักการพูดในห้องเรียน ๖ แบบ ในบันทึกที่ ๔ คือ (๑) สะท้อนความเป็นทีมเดียวกัน (๒) สะท้อนความเกื้อหนุน (๓) ต่างตอบแทน (๔) อภิปรายตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน (๕) สั่งสม (๖) มีเป้าหมาย มีการพูดระดับ ๔ - ๖ หรือไม่
ครูและนักเรียนร่วมกันดูวิดีทัศน์ของการประชุมกลุ่มที่นักเรียนเป็นผู้นำการอภิปราย ให้นักเรียนช่วยกันบอกว่ามีตรงไหนบ้างที่ควรปรับปรุง
วงรอบที่ ๘ การโต้แย้ง
ประเด็นเชิงทฤษฎีอยู่ในบันทึกที่ ๑๒ วงรอบนี้เป็นการฝึกการพูดของนักเรียนก้าวหน้าไปจากตอนก่อนๆ อีกขั้นหนึ่ง คือสู่การโต้แย้งกัน
ครูดูวิดีทัศน์จากวงรอบที่ ๗ หรือวงรอบก่อนหน้านั้น เลือกตอนที่นักเรียนอภิปรายกันแบบตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกัน (deliberative) หรือนักเรียนเสนอข้อคิดเห็นและปกป้องข้อเสนอนั้น เก็บไว้ใช้
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันอภิปรายบันทึกที่ ๑๒ ร่วมกันทำความเข้าใจว่าการสอนการโต้แย้งเป็นการสร้างพลวัตในห้องเรียนแบบจำเพาะ การอภิปรายแบบจำเพาะ ไปพร้อมๆ กันกับฝึกนักเรียนให้คิดในรูปแบบที่จำเพาะ โดยพึงตระหนักว่า วงรอบนี้ไปไกลกว่าการโต้แย้งกันทางวาจา คือนักเรียนจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติของการโต้แย้ง ในทางทหษฎี จะได้เรียนรู้หลักการและความหมายของการโต้แย้ง
ครูสร้างรูปแบบกระบวนการในชั้นเรียน ให้นักเรียนคุ้นกับ “วัฒนธรรมโต้แย้ง” โดยไม่ต้องเอ่ยคำว่าโต้แย้งก็ได้ คือให้นักเรียนคุ้นเคยกับการใช้จนเคยชิน กระบวนการนั้นคือ การตั้งคำถาม (questioning) ตามด้วยการขยายความ (extension) และการอภิปราย (discussion) แต่ในนักเรียนชั้นโต ควรให้เข้าใจทฤษฎีและศัพท์ของการโต้แย้ง ๖ ระดับคือ (๑) ยื่นข้อเสนอ (๒) เสนอตัวอย่าง (๓) เล่าเรื่องราวสู่ข้อสรุปพร้อมเหตุผล (๔) โต้วาทีระหว่างสองฝ่ายที่มองประเด็นต่างกัน (๕) โต้แย้ง (dispute) (๖) ทะเลาะ (quarrel) ตามในบันทึกที่ ๒
ควรวางแผนการสอนโดยใช้การโต้แย้งในทุกรายวิชาหรือโมดุลในหลักสูตร โดยคิดไว้ล่วงหน้าว่าจะใช้อะไรเป็นตัวจุดชนวนการโต้แย้ง ใช้ เอกสาร/หนังสือ โจทย์ของครู หรือกิจกรรมภาคปฏิบัติ
ครูสอนบทเรียนตามแนวทางข้างบน โดยสอดใส่ขั้นตอนของการโต้แย้งอย่างเหมาะสม ตามในบันทึกที่ ๑๒ เช่น ขั้นเปิดฉาก - ขั้นโต้แย้ง – ขั้นปิดฉาก, ยื่นข้อเสนอ – ให้เหตุผล – ให้ข้อมูลหลักฐาน – พูดท้าทายข้อมูลหลักฐาน – พูดโต้คำท้าทาย
ครูหรือครูพี่เลี้ยงบันทึกวิดีทัศน์อย่างน้อย ๒ บทเรียน ที่แตกต่างกันในเนื้อหา หรือเป้าหมายการเรียนรู้ (attitude, skills, knowledge)
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันดูบางตอนในวิดีทัศน์จากการถ่ายทำ ๓ ครั้ง ในวงรอบที่ ๗ และ ๘ เพื่อดูความก้าวหน้าของการพูดโต้แย้งตามหลักการในบันทึกที่ ๑๒ และตามเป้าหมายการเรียนรู้ในหลักสูตร
ครูและนักเรียนร่วมกันดูคลิปวิดีทัศน์และอภิปรายกันเพื่อเรียนรู้การพูดโต้แย้ง
ในการร่วมกันสะท้อนคิดทั้งในระหว่างครูกับครูพี่เลี้ยง และระหว่งครูกับนักเรียน พึงเอาใจใส่ทั้งกระบวนการและสาระของการโต้แย้ง เกิดการพัฒนาทั้งด้านการพูด และด้านปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่จะมีส่วนทำให้การโต้แย้งก่อผลลัพธ์สูงหรือไม่ กระบวนการโต้แย้งพัฒนาขึ้นหรือไม่ นักเรียนและครูคล่องขึ้นในการเริ่มประเด็น ตรวจสอบคำถามที่ซับซ้อน และตรวจสอบข้อมูลหลักฐานในหลากหลายรูปแบบเก่งขึ้นหรือไม่
กิจกรรมทบทวนใหญ่ตอนสิ้นเทอม
ครูและครูพี่เลี้ยงร่วมกันตรวจสอบว่า (๑) บันทึกวิดีทัศน์ได้รับการจัดเก็นและติดป้ายชื่ออย่างถูกต้อง มีการทำดัชนีตอนที่สำคัญเอาไว้ใช้งานภายหลัง (๒) มีบันทึกข้อมูลการวางแผนและเป้าหมาย การตรวจสอบผล และข้อเสนอแนะให้ปรับปรุง ของวงรอบที่ ๑ – ๘ แต่ละวงรอบ และจัดเก็บไว้ในที่เก็บเอกสารของโครงการอย่างเป็นระบบ (๓) กำหนดวิธีปฏิบัติที่ดี ๑ - ๒ รายการ ในรูปของเรื่องเล่า หรือเป็นคลิปวิดีทัศน์ หรือคลิปเสียงก็ได้ โดยอาจแนบปัญหาหรือคำถามเป็นข้อสังเกตด้วยก็ได้
ในช่วงการทบทวนนี้ ให้เอาใจใส่ การพูดเชิงแสดงตัวตนหรือเชิงสังคม (voice), ความเท่าเทียม (equity), และการยอมรับซึ่งกันและกัน (inclusion) ของนักเรียน ตรวจสอบว่านักเรียนคนไหนพูดมากที่สุด และน้อยที่สุด เพราะอะไร นักเรียนจากครอบครัวที่ภาษาที่โรงเรียนกับภาษาที่บ้านไม่เหมือนกัน หรือนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษด้านการเรียนรู้ หรือนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษด้านภาษาและการพูด มีพัฒนาการด้านการพูดในห้องเรียนอย่างไร ความก้าวหน้าด้านการพูดในห้องเรียนมีความแตกต่างด้านเพศ และด้านเศรษฐฐานะของนักเรียนหรือไม่
ครูทุกคนและครูพี่เลี้ยงประชุมพร้อมกันเพื่อแลกเปลี่ยนความสำเร็จ โดยอาจเสนอคลิปประกอบ ร่วมกันทบทวนความสำเร็จและความก้าวหน้า รวมทั้งปัญหา และแนวทางแก้ปัญหา รวมทั้งช่วยกันคิดว่า ทำอย่างไรจึงจะทำให้การสอนแนวสานเสวนาจะกลายเป็นแนวปฏิบัติในชั้นเรียนทั่วไป รวมทั้งในการคิดในชีวิตประจำวัน ทำอย่างไรนักเรียนจึงจะพัฒนาตนเองได้ต่อเนื่องในเรื่องการพูดเพื่อเรียนรู้ แสดงเหตุผล และทำให้ชีวิตดีขึ้น
เป้าหมายสุดท้ายคือห้องเรียนที่การพูดมีลักษณะเป็นธรรม เท่าเทียม และให้ผลดีต่อการเรียนรู้
จะเห็นว่ากิจกรรมที่เสนอนี้ เน้นเฉพาะที่การพูด หรือการจัดชั้นเรียนแบบสานเสวนา หากโรงเรียนใดนำไปประยุกต์ โดยให้เป็นกิจกรรมผสม นำเอาเรื่องการเรียนรู้สาระวิชาเข้ามาบูรณาการด้วย ก็น่าจะเกิดความรู้ความเข้าใจวิธีเรียนสาระวิชาผ่านการสอนแนวสานเสวนา สามารถทำวิจัยโดยตั้งโจทย์ได้หลากหลายมาก
ขอย้ำว่าครูและโรงเรียนไทยที่นำแนวทางในบันทึกชุดนี้ไปใช้ สามารถปรับใช้ได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ไม่จำเป็นต้องมี ๘ วงรอบ จะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ได้ และเป้าหมายของแต่ละวงรอบก็สามารถปรับตามสภาพของนักเรียน และกระบวนการเหล่านี้ตั้งโจทย์วิจัยชั้นเรียนได้เป็นร้อยเป็นพันโจทย์
วิจารณ์ พานิช
๒๒ เมษายน ๒๕๖๔ ปรับปรุง ๒๔ เมษายน ๒๕๖๔
ไม่มีความเห็น