[review] รีวิว รูโรนิ เคนชิน 5 ซามูไรพเนจร: ปฐมบท Rurouni Kenshin 5: The Beginning (2021 Netflix)


[review] รีวิว รูโรนิ เคนชิน 5 ซามูไรพเนจร: ปฐมบท Rurouni Kenshin 5: The Beginning  (2021 Netflix) เขาปล่อยให้เรารอไม่นานเลยครับสำหรับภาพปฐมบทของ หนังซามูไรที่สร้างจากมังงะเรื่องนี้ netflix เข้าเอามาลงต่อจากภาคที่แล้วไม่ถึง 2 เดือนด้วยซ้ำ ดังนั้นถ้าใครดูในภาคปัจฉิมบท ก็ไม่ต้องรอนาน แถมอารมณ์ในการดูยังมีความต่อเนื่องกันด้วย ซึ่งโรนิเคนชินซามูไร พเนจรปฐมบท จะมีเรื่องราวและความน่าสนใจตรงจุดไหนบ้าง ขอเชิญติดตามรับชมรับฟังจากรีวิวนี้ได้เลยครับ

#เรื่อย่อ #สปอยล์แหลก
ดูคลิปรีวิวที่นี่

เนื่องจากเป็นภาคปฐมบท ภาพยนตร์เขาจึงเกริ่นนำเรื่องด้วยฉากหลังทำเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ในช่วงปฏิรูปประเทศ ทำให้เห็นว่า เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาบ้าง จนทำให้สังคมญี่ปุ่นเกิดความวุ่นวายและเกิดการฆ่าฟันกันจนผู้คนล้มตายกันเป็นใบไม้ ซึ่งเป็นปูทางที่ทำให้เห็นว่าฮิมูระ เคนชินตัวเอกของเรื่องนั้น มีความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ทางการเมืองเพียงใด

เมื่อหนังเปิดเรื่อง เขาก็แสดงให้เห็นความสามารถของฮิมูระ เคนชินว่าเพราะได้รับฉายาว่ามือพิฆาตบัตโตไซ เคนชินไล่ฆ่าผู้คนฝ่ายตรงข้ามอย่างดุดัน ไม่ว่าจะใครคนไหนก็ตามที่สนับสนุนฝ่ายโชกุนตระกูลโตกูกาวะ พี่เกก็จะไล่ฆ่าไม่เลี้ยง ไม่เหลือผู้คนในตระกูลเลย คิดดูเอาแล้วกันว่าพี่แกเก่งขนาดไหน ขณะถูกมัดมือไขว้หลัง ก็ยังสามารถฆ่าคนได้ด้วยการใช้ปากคาบดาบซามูไรไล่ฟันคน แล้วมื้อแล้วเมื่อมือหลุดจากเชือกได้ พอมือจับดาบถนัด ๆ คราวนี้ ก็เป็นการตายยกบ้าน

และอีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกลางถนนยามค่ำคืน เหล่าซามูไรหลายคน ถูกฮิมูระ เคนชินฆ่ากลางถนน แม้จะมาหลายคนก็ยังสู้เขาไม่ได้ แถมการฆ่านั้นก็ยังเป็นการฆ่าที่โหดเหี้ยมและรวดเร็วซะด้วย ยังไงก็ตามเหตุการณ์การฆ่า คนของฮิมูระเคนชิน ก็เป็นการฆ่าเพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง ทุกครั้งที่ฆ่าเสร็จเขาก็จะทิ้งจดหมายแจ้งเหตุความจำนงในการฆ่าเอาไว้ด้วย นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีความบาดหมางเป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด นับเป็นการฆ่าเพื่ออุดมการณ์ล้วน

อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ การฆ่าฝ่ายตรงข้ามบนถนนยามค่ำคืนนั้น เขาดันไปฆ่าชายคนหนึ่ง ที่แม่ว่าชายคนนั้นจะร้องขอชีวิตบอกกับฮิมูระว่าเขาจะตายไม่ได้เพราะมีคนรักรออยู่ แม้เขาจะสู้กับฮิมูระไม่ได้เลยก็ตาม แต่เขาก็ใช้แรงเฮือกสุดท้าย แกว่งดาบซามูไร เขียนแก้ฮิมูระจนกลายเป็นรอยแผลเป็น นั่นคือแผลเป็นแรกบนแก้มที่ฮิมูระ เคนชินได้รับ

ถ้าใครเป็นแฟนภาพยนตร์ เรื่องรูโรนิ เคนชิน ซามูไร พเนจรมาตลอด 4 ภาค ก็คงจะรู้ฮิมูระ เคนชินปฏิญาณตนไว้ว่าจะไม่ฆ่าใคร เวลาต่อสู้ทุกครั้งก็จะใช้ดาบสลับคม คู่ต่อสู้ของเขาแต่ละคนไม่มีใครตายสักคนนอกจากบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น มันเลยทำให้เรานึกมาตลอดว่าสมัยที่เคนชินยังไม่ตัดสินใจเลิกฆ่าคนหรือก่อนมาใช้ดาบสลับคนจะเป็นยังไง แล้วเราก็ได้เห็นเต็ม ๆ ในภาพปฐมบทนี้แหละ มันช่างดุดัน รุนแรง เฉียบคมและรวดเร็ว สมกับฉายามือพิฆาตบัตโตไซจริง ๆ

จากนั้นหนังเขาก็เล่าเรื่องราวที่เป็นเส้นเรื่องหลักก็คือ ฮิมูระเคนชินได้อาศัยอยู่ใน สำนักหนึ่งในแคว้นโจชู เป็นสำนักที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองต้องการจะโค่นล้มระบอบการปกครองแบบโชกุน และต้องการจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีการพัฒนาและเจริญก้าวหน้า คนในสำนักนี้ทุกคนล้วนแต่เป็นซามูไร ที่ปฏิบัติภารกิจในการกำจัดศัตรูที่อยู่ฝ่ายโชกุน ซึ่งตัวฮิมูระเองก็เป็นมือสังหารที่ไปปฏิบัติงาน แบบภารกิจพิเศษ ประมาณว่าลุยเดี่ยวไล่ฆ่าคนตามที่หัวหน้าสำนักสั่ง ทุกครั้งที่เขาฆ่าคนก็ไม่เคยเกิดคำถามขึ้นในใจ ไร้ความรู้สึก และมีความเย็นชา ซึ่งเอาเข้าจริงๆก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการปฏิรูปประเทศ ฮิมูระ เคนชินเป็นซามูไรที่ไม่เคยฆ่าใครเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อมาอยู่ที่สำนักโจชูเขาก็เริ่มฆ่าคน

ชอบประโยคหนึ่งมาก ๆ นั่นก็คือ หัวหน้าค่ายโจชู ได้ถามฮิมูระว่า เคยฆ่าคนหรือไม่ ฮิมูระก็ตอบว่าไม่เคย แล้วก็พูดต่อไปว่า

"หากต้องสละชีวิตและนำไปสู่ยุคใหม่ได้ หากยุคใหม่ที่จะมาถึงจะนำพาชีวิตของผู้คนให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายได้" เขาก็จะทำ

วันหนึ่งฮิมูระได้ออกไปกินเหล้าในโรงเหล้าแห่ง แล้วก็ได้เจอกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่าโทโมเอะ ในคืนวันนั้นหลังจากที่เขาออกมาจากโรงเหล้าก็ได้ถูกมืสังหารเข้าโจมตี แต่เขาก็สามารถฆ่ามือสังหารนั้นได้ภายในพริบตา โทโมเอะมาเจอเขาบนถนน และเห็นการฆ่านั้น โทโมเอะพูดกับฮิมูระว่า เขาฆ่าคนตายจนเลือดไหลมาดั่งสายฝน

ฮิมูระกับโทโมเอะก็สร้างความสนิทสนมคุ้นชินกัน โมโมเอะทำงานอยู่ในโรงแรม อันเป็นฉากหน้าของสำนักโจชู และก็ดูแลฮิมูระเป็นอย่างดี โทโมเอะตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลากับฮิมูระว่าการฆ่าคนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ตามนั้นเป็นทางออกที่ถูกต้องหรือไม่ แต่ฮิมูระก็บอกกับเธอว่า เขาไม่ได้ฆ่าคนแบบไม่เลือกหน้า เขาจะฆ่าแต่ศัตรูที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลโชกุนที่กำดาบในมือเท่านั้น เขาจะไม่ฆ่าชาวเมืองหรือศัตรูที่ไม่มีดาบในมือ แล้วโทโมเอะก็พูดคำถามที่แทงใจยิ่งนัก จนกลายเป็นสิ่งที่ฮิมูระเก็บมาคิดในใจตลอดมาก็คือ ต่อให้จะเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ในมือมีดาบ แล้วถ้าเป็นคนดีเขาก็ยังจะฆ่าอยู่ใช่หรือไม่

ในเทศกาลสำคัญหนึ่งของญี่ปุ่นในเมืองเอโดะ ฮิมูระกับโทโมเอะเดินเที่ยวในงานด้วยกัน แล้วครั้งนี้ก็ยืนยันถึงอุดมการณ์ทางการเมืองแรงกล้าของฮิมูระอีกครั้ง  หนังเปรียบเทียบถึงพิธีการอย่างหนึ่งของญี่ปุ่น ในเทศกาลหนึ่งเด็กจะทำท่ากวัดแกว่งดาบแล้วตัดเชือกที่แบ่งโลกนี้และโลกหน้าออก จากนั้นก็จะเริ่มขบวนแห่ในเทศกาล แล้วฮิมูระก็พูดว่า " เพื่อยุคใหม่ที่ก้าวหน้าจะต้องมีคนบางคนแกว่งดาบ แล้วบังเอิญว่าใครคนนั้นก็ต้องเป็นข้าเท่านั้นเอง" นั่นคืออุดมการณ์ที่ฮิมูระยึดมั่นถือมั่นไว้ แล้วเขาเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นคือการปกป้องผู้คนนั่นเอง

อย่างไรก็ตามสำนักโจชูก็ถือว่าเป็นเป้าสายตาของพวกตำรวจ ที่มองว่าเป็นกบฏ และซ้ำร้ายก็มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง สร้างข่าวหรือว่าสำนักโจชูจะทำการ ปฏิวัติ เผา พระราชวังในช่วงเทศกาล และจับตัวจักรพรรดิเข้าไปอยู่ในแคว้นโจชู ผู้นำกลุ่มตำรวจ ซึ่งในหนังเรียกตำรวจกลุ่มนี่ว่า "ชินเซ็นกุมิ" เวลานั้นก็คือ ฮาจิเมะ ซาโตะ ถ้าจำได้ก็คือนายตำรวจคนแรกที่ประมือกับฮิมูระเคนชินในภาคที่ 1 และต่อมาอีกในหลายภาคเขาก็เหมือนว่าจะเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกันนั่นแหละ ซาโตะ ก็ได้ตั้งนายตำรวจ 10 นายเป็นหัวหน้าหน่วยบัญชาการที่มีฝีมือดี และนายตำรวจชั้นผู้น้อยอีกหลายคน ออกไล่ล่าพวกโจชู ซึ่งเขาก็ได้รับเบาะแสมาว่าพวกนี้หลบซ่อนตัวอยู่ตามโรงแรมในเมืองคาราวามาจิ เกียวโต จับพวกโจชูทุกคนที่พบถ้าใครขัดขืนก็ฆ่าทิ้งได้ทันที ซึ่งการปฏิบัติการครั้งนี้ สำนักโจชู ที่ให้ฮิมูระอาศัยอยู่ก็กระเจิดกระเจิง แม้คัตสึระที่เป็นหัวหน้ากลุ่มก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุน

แต่ในระหว่างที่เกิดการต่อสู้และไล่ฆ่ากันนั้นเอง ฮิมูระเมื่อรู้ข่าวก็รีบวิ่งมาเพื่อจะช่วย แต่เขาก็ได้เจอกับนายตำรวจที่เป็นนักดาบฝีมือฉกาจฉกรรจ์ชื่อว่าโอคิตะ โซจู นี่คือการดวลดาบแบบเดี่ยวต่อเดี่ยว ที่ดูแรงและหนักแน่น และด้วยเสียงประกอบที่เขาทำเอาไว้ก็ทำให้เรารู้สึกว่าดาบมันมีความคมเหลือเกิน ฟันกันแต่ละทีเราก็รู้สึกเสียวตา และก็แน่นอนว่าในการดวลดาบในครั้งนี้ฮิมูระ ก็เอาชนะไปได้ไม่ยาก และเขาก็จะดีไม่ฆ่าโอคิตะ แล้วหลังจากนั้นฮาจิเมะ ซาโตะ กับลูกน้องอีกหลายคนวิ่งเข้ามา ก่อนที่จะเกิดการฆ่าฟันกันครั้งใหญ่ กลุ่มพวกโจซูก็เข้ามายับยังเอาไว้บอกให้ฮิมูระถอย น่าเสียดายมากเพราะว่า ซาโตะแม้จะโกนท้าฮิมูระสู้แล้ว แต่ฮิมูระก็ยอมถอย เอาเป็นว่าถ้าใครอยากดูการดวลกันระหว่างฮิมูระกับนายตำรวจซาโตะ ว่ามันจะมันดุเดือดมากแค่ไหน ก็ให้ไปดูในภาคที่ 1 เอาเองแล้วกันนะครับ

หัวหน้าคัตสึระ ได้จัดหาที่กบดานในชนบทของเมืองให้กับ ฮิมูระ เคนชิน และได้ขอร้องให้โทโมเอะไปอยู่กับฮิมูระด้วย เพราะการอยู่ในรูปแบบคู่ผัวตัวเมียนั้นจะมีประโยชน์ต่อการซ่อนตัวมากกว่า และเมื่อถึงเวลาที่พร้อม จะทำการต่อสู้เพื่อการปฏิวัติฮิมูระค่อยออกมา

ดังนั้นฮิมูระ เคนชิน กับโทโมเอะ ก็ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุขภายในบ้านชานเมืองชนบท เราจะได้เห็นทั้งสองคนนั้น ปลูกหัวไชเท้าปลูกมันกินกันเป็นอาหาร เข้าป่าเก็บสมุนไพรเป็นการอำพรางตัวว่าฮิมูระคือหมอสมุนไพร ส่วนโทโมเอะก็ทำหน้าที่เป็นแม่บ้านแม่เรือนดูแลบ้านทำกับข้าว จากที่ดูในหนังก็เห็นว่าทั้งสองคนนั้นมีความสุขดี โดยเฉพาะตัวฮิมูระเองนะมีความสงบมาก เขาวางดาบจับ จับจอบจับเสียมทำไร่ปลูกผักของเขาไป หากเราหนังเรื่องซามูไรพเนจรมาทุกภาค ก็คงจะมองออกว่าช่วงชีวิตในเวลานี้ของฮิมูระน่าจะเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขและดูมีความสุขที่สุดครั้งหนึ่งแล้ว

แต่อย่างไรก็ตามชะตาชีวิตของฮิมูระ เคนชินที่ได้รับฉายาว่าเป็นมือ พิฆาตบัตโตไซ ก็ไม่มีทางสงบได้ การเคลื่อนไหวของฮิมูระ แม้จะเป็นการซ่อนตัวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งติดตามความเคลื่อนไหวอยู่เสมอ แต่ที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นโศกนาฏกรรมก็คือ ตัวโทโมเอะนั่นเองที่คือไส้ศึก ซึ่งเรื่องราวต่อไปนี้ หนังเขาก็ได้เล่าทิ้งเอาไว้ตั้งแต่ในภาคที่ 4 ปัจฉิมบทแล้วว่า โทโมเอะคือไส้ศึกที่ต้องการเข้ามาสอดแนม กลุ่มปฏิวัติ และเข้ามาจับตาดูฮิมูระ เคนชินโดยเฉพาะ

จากนั้นเรื่องราวก็เป็นเป็นอย่างในหนังที่เราดูในภาค 4 อีกนั่นแหละ ที่ทำให้เห็นว่ามีฉากการดวลดาบในหิมะ ที่ฮิมูระเคนชินต่อสู้กับซามูไรคนนึงแล้วในจังหวะที่จะสังหารโทโมเอะก็วิ่งเข้ามา กันเอาไว้ ทำให้ดาบนั้นฟันกลางจนหลังเสียชีวิต และการที่โมเอะเสียชีวิตในครั้งนั้นก็ทำให้ ยูกิชิโระ เอนิชิ ชายของเธอเห็นพอดิบพอดี ทำให้เอนิชิเก็บความแค้นนั้นเอาไว้แล้วไปแก้แค้นในภาค 4 ปัจฉิมบทนั่นเอง

ซึ่งเรื่องราวจะดำเนินต่อไปยังไงนั้นก็ขออนุญาตเล่าไว้เพียงเท่านี้ และขอให้ทุกคนไปติดตามรับชมต่อได้ทาง Netflix เลยนะครับ

#การทบทวนและความรู้สึกหลังชม

เมื่อดูจบแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าใครเป็นแฟนภาพยนตร์ซามูไรพเนจรเรื่องนี้ ก็คงจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะใน โรนิ เคนชิน 5 ซามูไรพเนจร: ปฐมบท เขาได้ให้เราเห็นฝีมือเพลงดาบล่องนภาของฮิมูระ เคนชินว่ามีความหนักหน่วงรุนแรงและแม่นยำขนาดไหน เราจะได้เห็นอะไรที่มันโหดๆ และดิบ ๆ การต่อสู้กันแบบเลือดสาด การทีืฮิมูระชักดาบออกมาแต่ละครั้งก็ฟาดฟันผู้คน จนบาดเจ็บล้มตายเป็นระนาว แบบว่าเลือดสาดกระจาย อวัยวะขาดกระเด็น มันคืออะไรที่เราไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ 4 ภาคแรก เพราะใน 4 ภาคแรกนั้นเขาใช้ดาบสลับคมและปฏิญาณตนว่าจะไม่ฆ่าใครนั่นเอง ซึ่งในภาคที่ 5 ปฐมบทนี้มันยังไม่เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น เราจึงได้เห็นฝีมือของฮิมูระแบบจัดเต็มแบบหายอยากไปเลย

ฉากต่อสู้หรือฉากการดวลดาบกันในภาคปฐมบทนี้เป็นภาคที่นำเสนอออกมาน้อยที่สุด แถมแต่ละฉากนั้นก็ยังใช้เวลาในการนำเสนอน้อยกว่าทุกภาคอีกด้วย ดังนั้นสาย Action แบบจัดเต็ม อย่างที่เราเคยเห็นมาแล้วในสี่ภาคก็อาจจะผิดหวังลงไปไม่น้อยเลย เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นภาคที่เห็นการต่อสู้กันน้อยที่สุดนั่นแหละ บอกตามตรงว่าถ้าเอาวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้การต่อสู้แบบนี้มาฉายก่อนเป็นภาคแรกรับรองว่าหนังไม่น่าจะประสบความสำเร็จมากขนาดนี้ เพราะส่วนตัวผมเชื่อว่าการที่หนังชุดซามูไรพเนจรประสบความสำเร็จนั้นก็เพราะมาจากฉากการต่อสู้และการดวลดาบเป็นสำคัญมากกว่าตัวเนื้อหาของหนัง

และเสียดายตรงที่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายในช่วงท้ายนั้น ฮิมูระได้สู้กับเหล่าซามูไรที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองอยู่ฝ่ายโชกุน และไอ้ตัวร้ายแต่ละตัวนั้นดูเหมือนจะเก่งกาจ แต่พอถึงจังหวะการต่อสู้แล้วแต่ละตัวนะไม่มีอะไรเลย แถมแต่ละตัวดันระเบิดตัวเองตายไปง่าย ๆ เฉยเลย ส่วนตัวหัวหน้าใหญ่แม้ว่าจะได้เปรียบฮิมูระมาก แบบว่าฮิมูระแทบจะยืนไม่ไหว แถมยังตามองไม่เห็น แต่พอสุดท้ายแล้วไอ้ตัวหัวหน้าใหญ่ก็กลับตายด้วยดาบเพียงดาบเดียว ในจุดนี้ผมเสียดายมาก ไม่สมกับเป็นฉากต่อสู้ครั้งสุดท้ายของภาคเลย

ถ้าจะเปรียบเทียบการต่อสู้ครั้งสุดท้ายในแต่ละภาคแล้ว ภาพนี้ผิดหวังที่สุด ไม่ใช่เพราะมันไม่สนุกหรือมันไม่ดีนะ แต่เป็นเพราะเขาใช้ได้แต่ไม่คุ้มค่านั้น

แต่ไม่เป็นไรในตอนจบของเรื่อง เราจะได้เห็นฉากการต่อสู้ ครั้งยิ่งใหญ่จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองในเหตุการณ์การปฏิรูป แต่ก็อีกนั่นแหละเขาทำให้เราเห็นน้อยเกินไป ถ้าเขาทำให้เห็นสงครามครั้งสุดท้ายนี้ออกมาเป็นฉากแบบยาว ๆ ผมว่ามันจะเป็นการปิดเบญจภาศของซามูไรพเนจรได้อย่างดียิ่งเลยทีเดียว

และเมื่อหนังลดฉากการต่อสู้ลงไปเขาจึงไปใส่ฉากดราม่ามากยิ่งขึ้น ในภาพปฐมบทนี้เราจะได้เห็นความเป็นดราม่าตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีฉากไหนที่ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายอารมณ์ลงไปเลย สีหน้าแววตาและอารมณ์ของฮิมูระเคนชินนั้นเรียบนิ่งแต่ลงลึกมาก เรื่องต่างๆที่เขาเจอนั้นมันสร้างความเจ็บปวดให้เขาอย่างรุนแรง โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่เขาต้องเสียคนรักของเขาไปด้วยนะมึงของเขาเอง มันคือแผลเป็นที่สำคัญที่สุด ซึ่งมันสะท้อนออกมา บนรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขานั่นแหละ เรียกได้ว่าโรนิ เคนชิน 5 ซามูไรพเนจร: ปฐมบท เป็นภาคที่ดราม่ามากที่สุดเลย

โรนิ เคนชิน 5 ซามูไรพเนจร: ปฐมบท หากจะพูดถึงในแง่ Production การเซ็ตฉากการสร้างองค์ประกอบต่าง ๆ ของนางแล้ว ถือว่าทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นภาพของมึง ภาพของบ้านในชนบท ฉากป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ หรือไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหน้าผมและอาวุธต่างๆนะ เขาทำออกมาได้จนเรารู้สึกว่าเราเชื่อ ว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันอยู่ในยุคปี 1800 ตอนปลายจริง ๆ การจัดองค์ประกอบศิลป์ถือว่าสวยงามมาก มันเป็นการแสดงทักษะขั้นสูงสมแล้วกับการที่ญี่ปุ่นนั้นคือประเทศแห่งงานศิลปะ ซึ่งแม้แต่การจัดแจกันดอกไม้ที่เห็นในหนัง มันก็ยังสื่อถึงความเป็นศิลปะที่สวยงามมากๆ และยิ่งผสมกับเพลงประกอบด้วยแหละ โดยเฉพาะการใช้เครื่องดนตรีที่เป็นเครื่องสายในฉากสำคัญสำคัญ มันสามารถดึงอารมณ์คนดูให้เกิดความรู้สึกร่วมกับภาพยนตร์ได้ในแบบสุด ๆ และนี่มันแสดงถึงความประณีตในการสร้างของเขาจริง

องค์ประกอบบางประการในหนังนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นญี่ปุ่นจ๋ามาก ๆ เช่นการทำให้ตัวละครหลายตัวมีความเรียบนิ่ง เคลื่อนไหวน้อย ทำอะไรดูเหมือนจะเชื่องช้า การทิ้งภาพแช่ไว้ในบางฉากนาน ๆ การเคลื่อนไหวกล้องแบบช้า ๆ แต่พอถึงจังหวะที่ต้องการจะให้ตัวละครเคลื่อนไหวเร็วอย่างเช่นการต่อสู้การฟันดาบหรืออะไรก็ตามเขาก็ทำออกมาได้ดี

ฉากหนึ่งที่ชอบมากของเรื่องก็คือ ชาที่ฮิมูระเคนชิน อ่านสมุดบันทึกของโทโมเอะ เขาได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของโทโมเอะทั้งหมด และได้รับรู้ความรักจากโทโมเอะด้วย เขากล่าวอำลาเธอ แล้วก็เผาบ้านหลังนั้นไปพร้อมกับศพของเธอ แล้วหนังก็ทำให้เห็นว่าฮิมูระกำลังเดินช้า ๆ แบบสโลโมชั่นออกมาโดยมีฉากหลังของบ้านกำลังถูกลุกไหม้ เช้านี้เท่ห์มาก ๆ เหมาะกับการเป็นหนึ่งในฉากที่เป็นเรื่องที่ดีมากด้วยเช่นกัน มีความเป็นเอกลักษณ์ญี่ปุ่นสูงสุด ๆ ไปเลย

ทั้งหมดทั้งมวลมันแสดงถึงความเป็นภาพยนตร์ของญี่ปุ่นได้ดีมาก ใครชอบภาพยนตร์ญี่ปุ่นแนวอาร์ต ๆ เช่นนี้ เชื่อเถอะว่า โรนิ เคนชิน 5 ซามูไรพเนจร: ปฐมบท จะไม่ผิดหวัง

#ตีความหมายกับสัญลักษณ์บางประการ
นอกจากนี้เขาก็ยังสื่อสัญลักษณ์บางประการออกมาได้อย่างแนบเนียนและคมคาย ที่เห็นชัดก็คือประเด็น ที่ฮิมูระเคนชินในตอนท้ายของเรื่องนั้น โดนผงบางอย่างที่เกิดจากระเบิด จนทำให้เขาไม่สามารถลืมตาได้ แล้วก็สู้กับหัวหน้าใหญ่แบบที่ตาไม่เห็นอย่างนั้นแหละ และพอในจังหวัดท้ายที่สุดก็มองเห็นได้ลาง ๆ เขาจริงฟันดาบออกไปเพียงดาบเดียวโตหัวหน้าใหญ่ก็ตาย แต่นั่นก็เป็นการฟันดาบเดียวที่ดันไปถูกโทโมเอะตายตามไปด้วย

ซึ่งหากจะตีความก็สามารถตีความออกมาได้ว่า การที่พระเอกมองไม่เห็นนั้นมัน ก็เหมือนว่าเป็นภาพสะท้อนของอุดมการณ์และวิธีการของเขาเอง ต่อการจัดการกับศัตรูทางการเมืองโดยเฉพาะการฆ่าคนแบบไม่ยั้ง แม้แต่โทโมเอะพูดกับฮิมุระในประเด็นนี้ที่ฮิมูระก็ยังยึดมั่นว่าการฆ่าโดยทางการเมืองคือทางออกที่ดีที่สุดที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งไม่ต่างกับคนตาบอดนั่นเอง แต่เมื่อฮิมูระได้ใช้ชีวิตอยู่กับโทโมเอะ เขาก็รู้ว่าวิธีการช่วยเหลือผู้คนและวิธีการแสดงออกทางการเมืองไม่จำเป็นจะต้องฆ่าคนเสมอไป และเมื่อเขาเข้าใจสิ่งนี้มันก็เปรียบกับว่าเขาเริ่มมองเห็นหัวหน้าใหญ่แบบลาง และเมื่อเขาฟันดาบออกไป แล้วมันไปโดนโทโมเอะจนเสียชีวิต นั่นแหละมันก็เป็นการบอกอยู่เป็นนัยว่า สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นในอุดมการณ์ทางการเมืองและวิธีการของฮิมูระนั้น ทั้งหมดนั้นอาจเป็นสิ่งที่ผิด แต่กว่าเขาจะตาสว่างก็เกิดการสูญเสียมาเยอะแล้ว

#สัญลักษณ์แผลเป็นรูปกากบาทที่แก้มซ้ายของฮิมูระเคนชินกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคปฎิรูป

ส่วนเรื่องสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับแผลเป็นรูปกากบาทนะ ผมก็จะขออธิบายในเชิงประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นดังนี้เลยครับ

แผลเป็นแก้มซ้ายของรูโรนิ เคนชิน แผลเป็นทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่มิอาจลบเลือน

ถ้าเราเป็นแฟนภาพยนตร์แนวซามูไรเรื่องรูโรนิ เคนชิน: ซามูไรพเนจร ที่สร้างมาแล้วถึง 5 ภาค ที่ใช้เวลารวมกันนับ 10 ปี เราจะเห็นว่าฮิมูระ เคนชินพระเอกของเรานอกจากมีความเก่งกาจดาบสลับคมกับเพลงดาบล่องนภาของเขาแล้ว ยังมีแผลเป็นบนแก้มซ้ายที่เป็นรูปกากบาทด้วย ซึ่งแผลเป็นนั้นไม่ว่าในภาพยนตร์จะอธิบายว่าจะเกิดจากคนที่เขารักหรือใครก็ตาม แต่ในเชิงสัญลักษณ์แล้ว แผลเป็นบนแก้มซ้ายของเคนชินมีความหมายถึงบาดแผลทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นนั้นเอง

รูโรนิ เคนชิน ซามูไรพเนจร: ปฐมบท (2021) เกริ่นเรื่องในปี 1864 ในสมัยเอโดะตอนปลาย เป็น 11 ปีให้หลัง (1853) จากที่พลเรือจัตวาแมทธิว ซี. เพร์รี นำเรือรบของสหรัฐอเมริกาจำนวน 4 ลำ ที่ชาวญี่ปุ่นเรียกว่า เรือดำ เข้ามาจอดปิดอ่าวอูรางะใกล้กับนครเอโดะ โดยใช้วิธีการทางการทูตแบบเรือปืน (ซึ่งก็เหมือนกับอังกฤษที่เคยใช้ในจีน  ในพม่า ในสยาม และในหลาย ๆ ประเทศอดีตอาณานิคมนั่นแหละ) เรียกร้องให้รัฐบาลโชกุนเปิดประเทศทำการค้าขายกับสหรัฐอเมริกา หากญี่ปุ่นไม่ปฏิบัติตาม กองเรือติดอาวุธของสหรัฐอเมริกาจะเข้าโจมตีเมืองเอโดะซึ่งเป็นเมืองหลวงในด้านการปกครองของญี่ปุ่นในสมัยนั้น รัฐบาลโชกุนจึงยอมเปิดเมืองท่าชิโมดะ และฮาโกดาเตะให้แก่เรือของสหรัฐอเมริกาในภาวะจำยอม และทำสัญญาทางการค้าระหว่างรัฐบาลญี่ปุ่นกับสหรัฐอเมริกา แต่ข้อสังเกตสำคัญก็คือ รัฐบาลโชกุนทำสัญญาทางการค้าโดยที่ไม่ผ่านความเห็นชอบจาก จักรพรรดิญี่ปุ่น ชุดนี้สร้างความไม่พอใจให้กับนักการเมืองและผู้คนที่สนับสนุนฝ่ายจักรพรรดิเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การเซ็นสัญญาทางการค้ากับอเมริกานับเป็นการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการหลังจากที่ญี่ปุ่นปิดประเทศมานานกว่าสองร้อยปีนับตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 17 ที่ตะกูลโตกูกาวะเข้ามาปกครองประเทศญี่ปุ่น และเนื่องจากการเปิดประเทศของญี่ปุ่นก็ทำให้ชาวต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในญี่ปุ่นจำนวนมาก และรวมถึงแนวคิดเสรีนิยม ปรัชญาการเมืองการปกครองแบบตะวันตก เทคโนโลยี องค์ความสมัยใหม่ หรือแม้แต่ศาสนาคริสต์ของชาวตะวันตกก็เข้าหลั่งไหลเข้ามาด้วยเช่นกัน หลายคนไม่อยากให้ประเทศญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วขนาดนั้น แต่หลายคนก็อยากให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้า ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับปัญหาความแตกแยกทางความคิดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และมันจะกลายเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของญี่ปุ่นไปตลอดกาล

ในขณะนั้นบ้านเมืองญี่ปุ่นเกิดความสับสนวุ่นวายอันเกิดมาจากความมักใหญ่ใฝ่สูง การแย่งชิงอำนาจ การหวงอำนาจ และความแตกแยกทางอุดมการณ์ทางการเมือง ทั้งที่มาจากฝ่ายเทิดทูนกษัตริย์ ผู้สนับสนุนการปฏิรูปประเทศ ที่ต้องการอยากให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าและมีการพัฒนา และมาจากฝ่ายที่สนับสนุนโชกุนโตกุกาวะซึ่งเป็นกลุ่มหัวเก่าอนุรักนิยม ดังนั้นประชาชน นักการเมือง หรือแม้แต่ซามูไรในประเทศญี่ปุ่นได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายเช่นกัน  ทั้งสองกลุ่มเกิดการต่อสู้ห้ำหั่นกันเอง

กลุ่มซามูไรในภาคตะวันตกของญี่ปุ่น โดยเฉพะซามูไรในแคว้นซัตสึมะ และแคว้นโจชู ทั้ง 2 กลุ่มมีส่วนสำคัญมากในการปฏิรูปญี่ปุ่น ซึ่งมีความเห็นว่าการทำสนธิสัญญาเปิดประเทศกับสหรัฐอเมริกาและการค้ากับชาติตะวันตกจะทำให้ญี่ปุ่นเสียประโยชน์เป็นอย่างมาก จึงใช้เหตุผลนี้โจมตีรัฐบาลโชกุนตระกูลโตกูกาวะที่เมืองโอโดะ และให้การสนับสนุนพระจักรพรรดิที่เมืองเกียวโต ต้องการถวายคืนพระราชอำนาจให้กลับคืนมาในการปกครองประเทศ

ข้อสังเกตประการหนึ่งในภาพยนตร์ก็คือในช่วงต้นรูโรนิ เคนชิน:ซามูไรพเนจร ปฐมบท ฮิมูระ เครชิน ได้ไปพำนักในบ้านซามูไรของกลุ่มโจชูด้วย  ก็เป็นการย้ำกับผู้ชมให้รับรู้ว่าเคนชินอยู่ฝ่ายการปฏิรูปประเทศและต่อต้านรัฐบาลโชกุนโตกุกาวะนั่นเอง

ซามูไรและผู้สนับสนุนฝ่ายองค์จักรพรรดิถือโอกาสเข้าโค่นล้มอำนาจของตระกูลโทกูงาวะ เหตุการณ์ความวุ่นวายไม่ต่างกับสงครามกลางเมือง และลุกลามออกไปเป็นวงกว้างแทบจะทั่วประเทศ จนกลายเป็นสงครามโบะชิง ในปี 1868 ตระกูลโทกูงาวะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และสิ้นอำนาจลง รัฐบาลเอโดะล่มสลาย การปกครองประเทศในระบอบโชกุนภายใต้ตระกูลโตกุกาวะที่ปกครองประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงครึ่งของคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นต้นมานับได้กว่าสามร้อยปีก็เป็นอันสิ้นสุดอำนาจลง ญี่ปุ่นสถาปนารัฐบาลโตเกียวภายใต้การนำของจักรพรรดิสืบต่อมา

นี่คือพื้นหลังของเรื่องทั้งหมดทางประวัติศาสตร์จากหนังชุดรูโรนิ เคนชิน ซามูไรพเนจร ที่ดำเนินเรื่องมาตั้งแต่ภาคที่ 1 มาถึงภาคที่ 5 นี้

ฮิมูระ เคนชินอยู่ฝ่ายต่อต้านอำนาจโชกุน เขามีแนวคิดในการปฏิรูปประเทศอยากให้ประเทศญี่ปุ่นมีการพัฒนา และเป็นการพัฒนาที่ควรจะเป็น ไม่ใช่การพัฒนาแบบอยู่ใต้อำนาจของชาติตะวันตก ในภาพยนตร์เคนชินมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากมี่เข้าร่วมสงครามช่วงชิงอำนาจจาดโชกุน

ถ้าหากสังเกตจากภาพยนตร์จะรู้ว่าการฆ่าคนของฮิมูระ เคนชินนั้นมันได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจและการดำเนินชีวิตของเขาเป็นอย่างมาก แนะนำทำให้เห็นว่าเขาแทบจะไม่มีความสงบเลย เคนชินเชื่อว่าการฆ่าฝ่ายตรงข้ามของเขานั้นมันคือสิ่งที่ถูกต้อง และการจะปฏิรูปประเทศให้เจริญก้าวหน้าได้นั้น ต้องฆ่าพวกหัวเก่าไปซะก่อน หนังทำให้เห็นว่าเคนชินต้องต่อสู้และฆ่าชีวิตผู้คนชาติเดียวกันฝ่ายสนับสนุนโชกุนไปมากมาย และด้วยฝีมือเพลงดาบที่มีความสะอาดสักอันรวดเร็ว หนักหน่วงและรุนแรงเฉียบขาดราวกับปีศาจ จนได้รับฉายาว่ามือพิฆาตรบัตโตไซ ในขณะเดียวรูโรนิเคนชินก็ตกเป็นเป้าที่ฝ่ายพวกสนับสนุนโชกุนต้องการล่าหัวมากที่สุด นี่คือสาเหตุว่าเพราะเหตุใดเคนชินถึงมีศัตรูมากมาย

ส่วนแผลเป็นบนแก้มซ้ายของฮิมูระ เคนชินที่ เป็นรูปกากบาท หากจะวิเคราะห์ในแบบฉบับของผมแล้วหละก็ ขออนุญาตตีความดังนี้ แผลเป็นที่หนึ่งก็เกิดจากการพูดถึงการปฎิรูปประเทศญี่ปุ่นที่ต้องแลกมากับการสูญเสียของคนในประเทศ และแผลที่สองนั้นเกิดจากการที่เคนชินสำนึกผิดต่อการฆ่าคนจำนวนมากซึ่งมันค้างคาใจเขาตลอดมา แล้วเนื่องจากการที่เป็นรูปกากบาทเครื่องหมายถึงจุดตัด หรือจะเชื่อมที่สำคัญที่ทำให้เกิดตัวละครรูโรนิ เคนชินขึ้นมา ทั้งสองแผลไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ไม่หายสักที

ดังนั้นแผลเป็นรูปกากบาทที่แก้มซ้ายของเคนชิน ก็เป็นสัญลักษณ์สำคัญทางด้านการเมืองการปกครองและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นที่แสดงว่า กว่าประเทศญี่ปุ่นจะมีความเจริญรุ่งเรืองมาถึงปัจจุบันนี้ เพราะได้ผ่านเหตุการณ์การเปลี่ยนทางการเมืองมาอย่างมากมาย ต้องเสียสูญเสียชีวิตจำนวนผู้คนและซามูไรไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนการปฏิรูปหรือฝ่ายอำนาจเก่าอย่างมหาศาล อาจพูดได้ว่าความเจริญของญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นบนกองซากศพของผู้คนภายในประเทศ มันคือความทรงจำที่ยังอยู่ในใจของญี่ปุ่นที่ไม่เคยจางหาย และนี่คือแผลเป็นของญี่ปุ่นบนใบหน้าของ รูโรนิเคนชินซามูไรพเนจร ที่ไม่เคยลบเลือน

ไม่ว่าจะเป็นการตีความหมายเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับการมองเห็นของฮิมูระ เคนชินในช่วงการดวลดาบครั้งสุดท้าย หรือแผลเป็นรูปกากบาทที่แก้มซ้าย มันก็เป็นการวิเคราะห์ของผมแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งอาจจะถูกหรือไม่ถูกเลยก็ได้ ซึ่งถ้าใครเห็นต่างหรือมีอะไรเสริม ก็ขอให้ช่วยกรุณา comment เอาไว้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ

#บทสรุป

ทางบริษัทผู้ผลิตเขาออกมาพูดว่า รูโรนิ เคนชิน 5 ซามูไรพเนจร: ปฐมบท จะกลายเป็นภาคสุดท้ายแล้ว โดยส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่าใจหายมาก เพราะเป็นแฟนภาพยนตร์เรื่องนี้ตามดูมาถึงเกือบ 10 ปี โดยส่วนตัวแล้วผมถือว่านี่คือภาพยนตร์ฉบับ Live Action ที่สร้างมาจากการ์ตูนได้ดีที่สุด ฉากการต่อสู้รุนแรง ตื่นเต้น สมจริงสมจังที่สุด ตัวละครที่ ฮิมูระ เคนชิน ก็มีมิติที่น่าสนใจมากที่สุด แถมยังเป็นหนังซามูไรที่ผมดูแล้วรู้สึกว่าชอบมากที่สุดของญี่ปุ่นอีกด้วย และเนื่องจากที่ผมไม่เคยอ่านมังงะหรือการ์ตูน ซามูไรพเนจรเลย ผมก็เลยรู้สึกว่าผมยังรู้จักฮิมูระ เคนชินน้อยเกินไป อยากรู้จักเขาให้มากกว่านี้ และอยากเห็นวีรกรรมของเขามากกว่านี้ไม่ว่าจะเป็นเวรกรรมด้านการต่อสู้ หรืออะไรก็ตามบนจอภาพยนตร์ต่อไป ดังนั้นรูโรนิเคนชินซามูไรพเนจรจึงขึ้นทำเนียบหนังภาคต่อ ที่ดีที่สุดในดวงใจของผมเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายเรื่องหลังจากที่กลุ่มต่อต้านโชกุนประกาศชัยชนะหลังจากเอาชนะสงครามโทบะฟุชิมิที่เกียวโต ในปี 1868 ในขณะที่ผู้คนกำลังตะโกนดีใจ ผู้กองฮาจิมะ ไซโตะ ก็ได้พูดกับฮิมูระว่า "อย่าคิดนะว่ามันจะจบแค่นี้" แต่ฮิมูระ เคนชินปักดาบลงกับพื้นแล้วก็เดินจากไป วิธีการสื่อสาร 2 นัยยะ นัยยะแรกคือเรื่องราวต่อไปนี้ให้ย้อนกลับไปดูในภาค 1 เคนชิน ซามูไร เอ็กซ์ ระยะที่สองก็คืออาจจะมีสร้างภาคต่ออีกก็เป็นได้

8/10
@วาทิน ศานติ์ สันติ


#SuperReviewChannel 
#รูโรนิเคนชิน5
#รูโรนิเคนชินปฐมบท
#ซามูไรพเนจร
#RurouniKenshinTheBeginning2021



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท