บทความ The Human Thirst : Water has been a driving force in our history ใน Scientific American ฉบับเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ บอกว่ามนุษย์ในวงศ์ Homo เก่งกว่ามนุษย์วงศ์ Australopithecus ในเรื่องการจัดการน้ำในร่างกาย เพราะร่างกายสูงเพรียวกว่า ผิวกายมากกว่า รวมทั้งมีต่อมเหงื่อมากกว่า จึงระบายความร้อนในร่างกายผ่านทางอากาศได้ดีกว่า จึงทนร้อนได้ดีกว่า นั่นคือปัจจัยหนึ่งของการวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน เมื่อ ๒ – ๓ ล้านปีมาแล้วที่สภาพอากาศในอัฟริกาแห้งแล้งลง
เพราะมีระบบระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดี มนุษย์ โฮโม จึงคล่องแคล่วว่องไวกว่า ทำกิจกรรมต่อเนื่องได้ดีกว่า จึงไล่ล่าสัตว์จนสัตว์หมดแรงก่อนได้
ซึ่งก็หมายความว่า ร่างกายมนุษย์โฮโม ต้องการน้ำมากกว่า สำหรับใช้ระบายความร้อนออกทางต่อมเหงื่อ หากเราสูญเสียน้ำร้อยละ ๑๐ ของน้ำหนักตัว เราจะตายหากไม่ได้รับการให้น้ำทางหลอดเลือด แต่สัตว์ในทะเลทรายมีกลไกทางสรีรวิทยาที่ทำให้ทนการขาดน้ำได้ถึงร้อยละ ๓๐ - ๔๐ ของปริมาณน้ำในร่างกาย
คนเราต้องการดื่มน้ำในแต่ละวันแตกต่างกันมาก เช่นในสหรัฐอเมริกา ผู้ชายดื่มน้ำวันละ ๑.๒ - ๖.๓ ลิตร ส่วนผู้หญิ่งดื่มวันละ ๑.๐ – ๕.๑ ลิตร คนญี่ปุ่นดื่มน้อยกว่ามาก เพราะอาหารญี่ปุ่นมีน้ำมากกว่าอาหารอเมริกัน คนอินเดียนแดงในอเมริกาใต้ได้รับน้ำผ่านอาหารและผลไม้มากกว่าจากน้ำดื่ม
เขาเล่าผลงานวิจัยในหนู ว่าหากให้แม่หนู และแม่แกะตั้งครรภ์ขาดน้ำ ลูกที่คลอดออกมาจะดื่มน้ำน้อย เพราะร่างกายปรับตัวให้ใช้น้ำน้อย โดยปัสสาวะจะข้น เขาสันนิษฐานว่า ลูกที่แม่ขาดน้ำตอนตั้งครรภ์มีการตั้งสัญญาณกระหายน้ำให้ส่งสัญญาณเมื่อขาดน้ำรุนแรงกว่าหนูและแกะทั่วๆ ไป
ผู้เขียนบทความนี้คือ Asher Y. Rosinger เป็นนักชีววิทยามนุษย์ ที่สนใจศึกษาความแตกต่างของการบริโภคน้ำในมนุษย์ เชื่อมโยงกับทรัพยากรในธรรมชาติ และความเสี่ยงต่อสุขภาพ ในบทความมีรายละเอียดมากกว่าที่ผมเล่ามากมาย มีรูปสวยๆ เกี่ยวกับคนป่าในอเมริกาใต้ที่ดื่มน้ำจากเถาวัลย์ในป่า
วิจารณ์ พานิช
๕ ก.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น