ภาพที่ท่านเจ้าคุณฯท่านเมตตาส่งมาให้นี้ครับ...ทำให้ผมคิดถึงวันที่ท่านเมตตาเล่าเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งท่านยังเป็นฆราวาสให้ผมฟัง
.
ท่านบอกกับผมว่า... ต้นข้าวในผืนนานี้ ท่านสัมผัสมาด้วยหนึ่งใจและสองมือของท่านเลยทีเดียวนะครับ...กว่าจะเกี่ยวเก็บได้รวงข้าวสักกำมือหนึ่ง...มันต้องอาศัย ความอดทน พากเพียร และ ความพยายาม อย่างมาก... แต่ท่านกลับไม่เคยท้อ เพียรเก็บ... เพียรเกี่ยวรวงข้าวทีละรวง ๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งรวงข้าวเต็มยุ้งเต็มฉาง ...นี่คือความอดทน ความเพียรที่เป็นเพียงเบื้องแรกเท่านั้น
.
กว่าเม็ดข้าวในรวง... ที่ท่านเกี่ยวเก็บและกำมันไว้ในมือของท่านนั้น จะกลายมาเป็นข้าวให้ท่าน...ได้หุง ได้เจือจาน จ่ายแจก ให้ผู้คนรอบกาย มันไม่ง่ายอย่างที่เรานึก เราคิดและได้มันมาเดี๋ยวนั้น...นะครับ
.
หากเราละความเพียร...เพียงแค่ได้รวงข้าวเต็มยุ้งฉางแล้ว นั่งดูมัน นอนดูมัน ไฉนเลยเราจะได้เอารวงข้าวที่เก็บเกี่ยวในผืนนานี้มากิน...นั่งนอนดูอยู่อย่างนั้น... มันก็ได้แค่นั้นแหละ!!...หิวจนไส้กิ่วก็ไม่ได้กินข้าวสักที
.
ท่านบอกผมว่า...ท่านยังต้องนำรวงข้าวไปตาก ไปขวัด ไปร่อน ให้ได้ออกมาเป็นข้าวเปลือก ได้มันมา ก็ยังต้องนำไปตำในครกกระเดื่อง ให้เปลือกข้าวแตก กลายเป็นเมล็ดข้าว...แล้วนำเมล็ดข้าวนี้...ไปหุง ให้พ่อให้แม่... ได้กิน
ผมรู้สึกได้ถึงความสุขทางใจครับที่ท่านทำสำเร็จ ผมได้เห็นแววตาของท่าน... ความสุขมันก็เรื้อนอยู่ในใจของผมเช่นกัน
.
ทำให้ผมคิดถึงวันนี้ครับ ...วันที่ท่านได้ผ่านร้อน... ผ่านฝน... ผ่านหนาว... มาตลอดทั้งชีวิตของท่าน
.
ท่านจึงได้เห็นความงามของชีวิต ความงามของธรรมชาติ...ที่มีความหมายและงดงามจับใจ
.
มันทำให้ผมคิดต่อครับ
เมื่อเรามีต้นทุนแล้ว… เราสะสมมาเต็มแล้ว… เราต้องก้าวเดินต่อครับ ด้วยปัญญาของเรา อย่านิ่งดูดาย ชะล่าใจ… ถ้าทำเช่นนั้น เมื่อไหร่เราจะหุงข้าวให้ได้กิน… ได้สักที!!
น้อมกราบสาธุครับ.. ที่ท่านเมตตาเล่าให้ผมฟังทิ้งไว้เป็น ปริศนาธรรม...กว่าที่ผมจะเข้าใจความหมาย..ความเป็นไปของความเป็นธรรมชาติ ความเป็นธรรมดาของชีวิตที่เราได้เกิดมาบนโลกใบนี้ครับ
.
ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง
กราบนมัสการด้วยความเคารพรักอย่างสูงยิ่งครับ
เราต้องก้าวเดินต่อครับ ด้วยปัญญาของเรา
”””
ขอบคุณถ้อยคำแห่งปัญญาและพลังชีวิต ครับ