บันทึกชุด สอนเสวนาสู่การเรียนรู้เชิงรุก นี้ เขียนเพื่อชี้แนวทางจัดการเรียนรู้แบบที่เรียกว่า active learning (ที่ในบันทึกชุดนี้ใช้คำว่า การเรียนรู้เชิงรุก) แนวทางหนึ่ง โดยมีเป้าหมายเพื่อฝึกนักเรียนให้เรียนรู้จากการปฏิบัติตามด้วยการคิดที่เรียกว่า การใคร่ครวญสะท้อนคิด (reflection) ที่นำไปสู่การฝึกทักษะการเรียนรู้ที่นักเรียนกำกับการเรียนรู้ของตนเอง (self-directed learning) เป็น ผ่านกระบวนการ สานเสวนา (dialogue) ระหว่างนักเรียนกับครู และระหว่างนักเรียนกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่สนุกเร้าใจ (student engagement) กระตุ้นสมองให้เจริญงอกงาม และสร้างพัฒนาการรอบด้านตามแนวทางของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ เป็นบันทึกที่เขียนขี้นจากการตีความหนังสือและรายงานวิจัยของศาสตราจารย์ Robin Alexander นักวิจัยผู้ยิ่งใหญ่ด้านการศึกษาของอังกฤษ สังกัดมหาวิทยาลัย Warwick และมหาวิทยาลัย Cambridge คือหนังสือ A Dialogic Teaching Companion (2020) (๑) และรายงานวิจัย Developing dialogic teaching : genesis, process, trial (2018) (๒) บันทึกนี้ใช้คำไทยว่า “สอนเสวนา” ในความหมายของ dialogic teaching
บันทึกนี้ตีความจากหนังสือ A Dialogic Teaching Companion (2020) บทที่ ๗ หัวข้อ Repertoitre 3 : Learning Talk และส่วนหนึ่งของ Appendix I
สำหรับเด็กเล็ก ภาษาพูดทำหน้าที่ ๗ อย่างคือ (๑) เป็นเครื่องมือบอกความต้องการ (๒) เพื่อควบคุมหรือกำกับ (๓) เพื่อสื่อสารและปฏิสัมพันธ์ (๔) เพื่อแสดงออกทางอารมณ์ของตนเอง (๕) เพื่อหาคำตอบ (๖) เพื่อสนองตอบต่อการรับรู้เรื่องราว (๗) เพื่อสื่อสารข้อมูล โดย ๔ ข้อแรกเป็นการบอกความต้องการทางกายหรืออารมณ์ ๓ ข้อหลังช่วยให้เด็กทำความเข้าใจโลกรอบตัว คือเพื่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ ภายนอกตัว
โปรดสังเกตว่า เด็กในฐานะมนุษย์ใช้การพูดเพื่อการเรียนรู้ทั้งเพื่อรู้จักตนเอง และเพื่อรู้จักโลก ผ่านการพูดหลากหลายแบบ แต่ในระบบการศึกษาแบบเดิม เมื่อเด็กเข้าโรงเรียน กลับถูกห้ามพูด ให้พูดได้เฉพาะเพื่อการตอบคำถามของครูเท่านั้น จึงเป็นการปิดกั้นการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติ การเรียนรู้แบบสานเสวนาจึงเป็นวิธีการแก้จุดอ่อนของการศึกษาในรูปแบบเดิม คือแทนที่จะห้ามพูด กลับส่งเสริมให้พูดเพื่การเรียนรู้ของตนและของเพื่อนๆ
ครูจึงต้องมีทักษะ พูดเพื่อเคลื่อนการเรียนรู้ (talk move) ของศิษย์ โดยจับเอาประเด็นที่ศิษย์พูดมาพูดต่อ เพื่อกระตุ้นให้ศิษย์พูดเพื่อการเรียนรู้ในระดับที่ลึกและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น ได้ผลดีทั้งต่อการพัฒนาสมอง และต่อความรู้ความเข้าใจเนื้อหาสาระในมิติที่ลึกและเชื่อมโยงยิ่งขึ้น
ในการเรียนแบบสอนเสวนา นักเรียนต้องไม่พูดเพื่อเรียนรู้เพียงพูดตอบคำถามเท่านั้น นักเรียนต้องรู้จักพูดเพื่อตั้งคำถาม รู้จักพูดเพื่ออธิบายความคิด ขยายความคิด และตรวจสอบความคิด ซึ่งหมายความว่าต้องฟังและทำความเข้าใจผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน การพูดเพื่อเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการเชิงปฏิสัมพันธ์
การพูดเพื่อเรียนรู้ของนักเรียนมี ๘ แบบ ที่มีส่วนซ้อนทับกัน คือ
ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า ในชีวิตจริงการพูดไม่ได้เกิดขึ้นโดดๆ แต่เกิดขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ที่สื่อสารกันหลายช่องทาง โดยการพูดเป็นเพียงช่องทางหนึ่งเท่านั้น ในการสื่อสาร มีการส่งสารและรับสารต่อเนื่องกันเกือบจะทันที ดังนั้นการพูดเพื่อเรียนรู้ จึงต้องคู่กับการฟังและรับสารจากช่องทางอื่นๆ นำมาตีความเพื่อส่งสารกลับ เกิดปฏิสัมพันธ์และการเรียนรู้
ครูต้องเข้าใจความหมายเชิงลึกของการพูดและการสื่อสารของศิษย์ เข้าใจไปถึงความรู้สึกนึกคิดของศิษย์ และใช้ความเข้าใจนั้นในการออกแบบกิจกรรมต่อไป (อย่างทันควัน) เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของศิษย์
วิจารณ์ พานิช
๑๗ เมษายน ๒๕๖๔
ไม่มีความเห็น