[review] รีวิว เด็กใหม่ ซีชั่น 2 (2564 Series Netflix) วิเคราะห์ความหมาน สาส์นสำคัญ และความรู้สึกหลังชม


[review] รีวิว เด็กใหม่ ซีชั่น 2 Girl from Nowhere Season 2  (2564 Series Netflix originsl) นับตั้งแต่ซีรีส์เรื่องเด็กใหม่ เด็กสาวปริศนาที่ย้ายเข้าไปอยู่ในโรงเรียนใหม่ ฉายซีซั่น 1 ปี 2561 ก็ได้รับกระแสการตอบรับเป็นอย่างดี

ดูคลิปได้ที่นี่

เพราะมีความแปลกแหวกแนว นำเสนอเนื้อหาที่ตรงไปตรงมา กับการวิเคราะห์วิจารณ์สังคม และตีแผ่สันดานดิบของความเป็นมนุษย์

รวมกับการสร้างตัวละครที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน แต่ก็มีความคลุมเครือในแง่ของตัวตน ซึ่งเมื่อแรกฉายก็ทำให้เกิดกระแส "แนนโน๊ะฟรีเวอร์" ไปทั่วประเทศ

ต่อมาในปี 2564 ซีรีส์เด็กใหม่ก็กลับมาพร้อมกับความโหดมากกว่าเดิม ตั้งประเด็นคำถามกับสังคมที่มีความคมคายมากกว่าเดิม ซึ่งเรื่องราวจะเป็นอย่างไร และความรู้สึกหลังดูของทางช่องเราจะเป็นแบบไหน เชิญติดตามรับชมรับฟังได้เลยครับ

#โครงเรื่อง

ซีรีส์เด็กใหม่ในซีซั่นที่ 2 นี้ ภาพโดยรวมยังคงเล่าเรื่องราวของวัยรุ่นหญิงคนหนึ่ง ที่ชื่อแนนโน๊ะ ที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่รู้ว่าเธอมาจากไหน มีบุคลิกประหลาด ไว้ผมหน้าม้า ใบหน้าฉาบไปด้วยรอยยิ้มที่มีเลห์กล มีลับลมคมในตลอดเวลา เธอจะย้ายโรงเรียนใหม่ในทุกตอน

แนนโน๊ะยังคงมีความสามารถพิเศษในด้านการมองเห็นิ หรือการหยั่งลึกเข้าไปในจิตใจของผู้คนที่มีความอ่อนแอ เปราะบาง หรือบางคนที่พยายามจะกดด้านมืดของตัวเองเอาไว้ แต่ก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ หรือคนที่มีความประพฤติ หรือความคิดไม่ถูกไม่ควร

เธอจะทำหน้าที่เข้าไปตัดสินบุคคลนั้น แล้วก็ลงโทษ ในแบบฉบับของเธอ เอาแค่เบาะ ๆ เพียงแค่ให้หลาบจำจะได้ไม่กลับไปทำอีก ไปจนถึงในระดับที่ทำให้เสียชีวิตไปเลย อันเป็นวิธีการเช่นเดิมกับซีซั่นที่ 1

#ประเด็นสำคัญ

แนนโน๊ะในซีซั่น 2 นี้ มีความโตขึ้นอย่างชัดเจน หากจะเปรียบเทียบก็คือ ในซีซั่นที่ 1 แม้เธอจะมีอำนาจ แต่เธอก็ใช้มันอย่างตรงไปตรงมา ตัดสินคนผิดอย่างเจ็บแสบ และลงโทษอย่างหนักหน่วง ดูแล้วแทบไม่มีความหวังกับชีวิตเลย

แต่ในซีซั่นที่ 2 นี้ เรารู้สึกว่าแนนโน๊ะ มีความใดตรอง มีความคิดทบทวนถึงความผิดของคนคนนั้นที่เธอจะลงโทษ และบ่อยครั้ง เธอทำให้เหยื่อของเธอแค่รู้สึกหลาบจำ แถมยังเปิดโอกาสให้แก้ตัวใหม่ปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นด้วย

ในขณะที่ดูก็มีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีความคิดลบอย่างไร มีด้านมืดที่เลวร้ายมากแค่ไหน ก็สามารถแก้ไขได้ มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าแนนโน๊ะมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอย่างชัดเจน

ภาพรวมของแต่ละตอนในซีรีส์ เราจะได้เห็นมนุษย์ที่ทำผิดบาปมากมาย แต่เมื่อแนนโน๊ะเข้าไปจัดการ เขาก็ทำให้เราเห็นภูมิหลังว่าแต่ละคนนั้นมีที่มาที่ไปยังไร มีอะไรที่เป็นแรงบันดาลใจ หรือแผลในใจ ที่ทำให้เป็นคนที่สมควรได้รับลงโทษจากแนนโน๊ะ

ในจุดนี้เขาสามารถเพิ่มความเป็นเหตุเป็นผลได้อย่างดี มันทำให้เห็นว่าแต่ละคนมีทางเลือกที่จะทำตัวเป็นคนดีหรือคนไม่ดี มันมีตรรกะมากขึ้นกว่าซีซั่นที่ 1 แล้วเราดูก็รู้สึกว่าเหยื่อทุกคนของแนนโน๊ะ สมควรได้รับการลงโทษและมีความชอบธรรมขึ้นกว่าซีซั่น 1

ในซีซั่นที่ 2 นี้ จะมีเรื่องราวของผู้คน ที่มีความผิดบาปอยู่ หรือหลงผิดอยู่ 8 ตอน แม้จะมีประเด็นที่มีความแตกต่างกันเช่น ประเด็นเกี่ยวกับนักเรียนชายล่าเซ็กส์นักเรียนหญิงแบบไม่รับผิดชอบ

ประเด็นเกี่ยวกับคุณครูที่ไม่สามารถไปตามกระแสสังคมได้ในปัจจุบัน ประเด็นเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นที่ทำให้ตัวเองอยู่ในกระแสสังคมตลอดเวลา

ประเด็นปัญหาของการรับน้องในสถาบันการศึกษา ประเด็นเด็กวัยรุ่นที่พ่อแม่ประคบประหงมจนทำให้เสียคน

ประเด็นของเด็กสาวที่มีฐานะยากจนและต้องทำทุกวิถีทางที่ทำให้ฐานะของตนเองและครอบครัวดีขึ้น

ประเด็นของความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในชนชั้นล่างตั้งคำถามกับชนชั้นบน คนจนตั้งคำถามถึงพฤติกรรมของคนรวย  รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม เป็นต้น

แต่หากเรามองให้ลึกลงไปแล้ว ผมรู้สึกว่าซีรีส์เด็กใหม่ใน ซีซั่น 2 นี้ เขาสามารถจับประเด็นทุกอย่างที่กล่าวไปให้มาอยู่ใน Theme เดียวกันได้ดีมาก หรือให้อยู่ในประเด็นคำถามเดียวกันได้อย่างคมคายที่สุดคือ ประเด็นการตั้งคำถึงความถูกต้องในการตัดสิน

โดยการนำเสนอออกมาในรูปแบบที่ว่า สิ่งที่แนนโน๊ะตัดสินและลงโทษผู้คนนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ นี่มันคือหัวใจหลักในซีซั่น 2 นี้เลย

และคนที่ตั้งคำถามนี้ก็คือ ตัวละครที่ชื่อว่า "ยูริ"

ยูริตั้งคำถามกับแนนโน๊ะในหลายประเด็น เช่น เพราะเหตุใดแนนโน๊ะจึงต้องเลือกเหยื่อคนนี้ เพราะทั้ง ๆ ที่หลายคนก็มีความผิดบาปได้เช่นกัน

การตั้งประเด็นคำถามถึงวิธีการลงโทษของแนนโน๊ะ ที่ยูริมองว่ามีความล่าช้า อ้อมค้อมและยืดยาด ประเด็นคำถามถึงบุคคลที่เห็นว่ามีความชั่วมาก ทำไมแนนโน๊ะจะต้องไปเสียเวลากับการทำให้คนนั้นเรียนรู้ แทนที่จะลงโทษให้ถึงชีวิตไปเลย

ซึ่งยิ่งใน Ep. 8 ตอนสุดท้ายของซีซั่น 2 เขาก็แสดงถึงประเด็นนี้ออกมาแบบเต็ม ๆ การตั้งคำถามของยูริที่มีต่อแนนโน๊ะมันชัดเจนมาก ตรงประเด็นมาก มันก็เป็นการตั้งคำถามถึงพฤติกรรมและวิธีการของแนนโน๊ะทั้งหมดย้อนกลับไปตั้งแต่ซีซั่น 1 เรื่อยมาทุกตอน ถึงตอนจบในซีซั่น 2 เลยทีเดียว

ส่วนตัวแล้วผมถือว่าตอนนี้มีความคมมากที่สุด แล้วมันก็สะท้อนกลับมา ตั้งคำถามถึงผู้คนในสังคมปัจจุบันมากที่สุดคือ เราใช้อะไรเป็นตัวชี้วัดที่บอกว่าคนหนึ่งเป็นไม่ดี เรามีสิทธิ์อะไรที่ไปตัดสินคนอื่นว่าดีหรือไม่ดี แล้วเรามีสิทธิ์อะไรที่ไปลงโทษคนเหล่านั้น

#แนนโน๊ะและยูริในเชิงสัญลักษณ์

แนนโนะเป็นใคร อาจเป็นสัญลักษณ์ อาจเป็นคนธรรมดา ผี ปีศาจ หรือซาตาน หรือจิตใต้สำนึกด้านมืดของมนุษย์ หรือด้านมืดของสังคม หรืออีโก้ เป็นกิเลส ตัณหา ราคะ ซึ่งเป็นได้ทั้งหมด เชื่อว่าทุกคนคงได้คำตอบตั้งแต่ในซีซั่นที่ 1  ภายในใจของตนเองแล้ว

ซึ่งนักแสดงที่รับป็นแนนโน๊ะ ก็มักจะตีความว่าตัวละครที่เธอเล่นนั้นคือลูกสาวของซาตาน

ซึ่งผมก็ตีความเพิ่มเติม ว่าหากแนนโน๊ะเป็นลูกสาวของซาตาน ก็เปรียบเสมือนกับว่าซาตาลได้ส่งลูกสาวของตัวเองไปเรียนหนังสือ แต่ลูกสาวซาตานก็มีนิสัยเหมือนกับพ่อนั่นแหละ

แทนที่จะเรียนหนังสือแต่กลับไปทดสอบมนุษย์ ลองใจมนุษย์ เล่นกับความไม่มั่นคงและความอ่อแอทางด้านจิตใจ ค้นหาด้านมืดและความเลวร้ายของมนุษย์ นำออกมาตีแผ่ แล้วก็ลงโทษอย่างสาสม

ซึ่งในซีซั่น 2 นี้ เหมือนทางทีมสร้างเข้าได้ตั้งใจเผยความเป็นตัวตนของแนนโน๊ะมากยิ่งขึ้น และตอบคำถามในหลายประเด็นเกี่ยวกับตัวแนนโน๊ะมากยิ่งขึ้น เช่นแนนโน๊ะ ทำไมถึงฆ่าไม่ตาย

แนนโน๊ะมีญาณวิเศษที่สามารถหยั่งรู้ถึงเบื้องลึกจิตใจอันดำมืดของมนุษย์จริงหรือไม่ และพลังความพิเศษของแนนโน๊ะ มันส่งผ่านไปถึงบุคคลที่ 3 ได้อย่างไร และทำไมแนนโน๊ะถึงมีสิทธิ์ตัดสินและลงโทษผู้คน

ผมเคยตีความในซีซั่นที่ 1 ว่าแนนโน๊ะคือซาตาน แต่พฤติกรรมหลายอย่างในซีซั่นที่ 1 ในตอนปลาย ๆ รวมมาถึงซีซั่นที่ 2 นี้ มันกลับทำให้ผมตีความว่าตัวละครแนนโน๊ะคือนางฟ้าซาตาน เป็นลูกครึ่งระหว่างความใจดีกับความใจร้าย

และท้าย ๆ ก็จะออกไปทางนางฟ้าซะมากกว่าอีกด้วย แนนโน๊ะไม่ได้มองคนเพียงแค่เป็นมดปลวกหรือผักปลาที่จะทำอะไรกับคนแต่ละคนก็ได้อีกต่อไป

ซึ่งบอกตามตรงว่า การที่ผมดูและตีความแนนโน๊ะในซีซั่นที่ 1 นั้นเห็นว่ามีความเป็นบุคคลาธิษฐานอย่างชัดเจน แต่ในซีซั่นที่ 2 นี้ กลับกลายเป็นว่าแนนโนะมีความเป็นตัวตนมากขึ้น

มันทำให้ผมเปลี่ยนแปลงความรู้สึกที่มีต่อตัวละครแนนโน๊ะไปด้วย ราวกับว่าเธอคือมนุษย์ที่มีความสามารถพิเศษหรือเป็น X-Men ยังไงยังงั้น

X-Men ที่ทำหน้าที่ตัดสิน ความผิดบาปของมนุษย์และลงโทษ

ส่วนวิธีการลงโทษผู้คนของแนนโนะในซีซั่นที่ 2 นี้ มันมีความน่าสนใจตรงที่ว่า เธอได้สร้างภาพจำลองขึ้นมาในหัวของผู้คนที่เธอจะลงโทษ ทำให้เห็นความดำมืดความโหดร้ายของชีวิต และผลจากการกระทำให้มากที่สุด แทนที่จะลงโทษไปเลยแบบเดิม

แต่อย่างไรก็ตาม ซีรี่ส์เข้าได้ตั้งคำถามว่าทำไมแนนโน๊ะจึงเป็นคนเดียวที่จะมีสิทธิ์ในการตัดสินความผิดและลงโทษคนอื่น หลายคนก็มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้นแนนโน๊ะได้ และหลายคนที่ว่านั้นมันก็สะท้อนออกมาในตัวละคร "ยูริ" นั่นเอง

ดังนั้นตัวละครของยูริที่ทางทีมตั้งเขาตั้งใจใส่ตัวละครนี้เข้ามา ก็เพิ่มสีสันและความเข้มข้นให้กับเนื้อเรื่อง และเอามาคานอำนาจกับแนนโน๊ะนั่นแหละครับ

ในซีรีส์เด็กใหม่ซีซั่นที่ 2 เธอคือตัวละครที่มีความสามารถเหมือนกับแนนโน๊ะทุกประการ และเธอก็ยังตัดสินความผิดบาปและลงโทษมนุษย์ด้วยเช่นกัน

แต่วิธีการลงโทษมนุษย์ของยูริแสดงถึงความไม่อะลุ่มอล่วย รุ่นแรง ขาดการไคร่ตรองในเชิงบวก และไม่ได้ตัดสินคนจากข้อมูลรอบด้าน เธอมองผู้คนยิ่งกว่ามดปลวกยิ่งกว่าผักปลาซะอีก และการลงโทษที่สาสมที่สุดของยูรินั้นก็คือการทำให้ตาย มันเร็ว

การสร้างตัวละครยูริ ให้มีวิธีการลงโทษมนุษย์ให้รุนแรงงถึงแก่ความตายนั้น ผมมองว่าทางทีมสร้างเขาสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความคิดบางอย่างของมนุษย์เรา ที่มองเห็นว่า บางครั้งการลงโทษคนที่ผิดหนักด้วยความตาย มันคือความสาสมแล้วที่เขาควรจะโดน

ยกตัวอย่างเช่นจำคุกเพียงไม่กี่ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต มันไม่ได้สาสมกับความผิดที่เขาได้กระทำมา มันควรจะเป็นการลงโทษแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ทั้งนี้อาจจะเป็นได้ว่า ทีมสร้างเขาต้องการสร้างตัวละครให้ตอบสนองความต้องการที่อยู่ในใจใครหลายคนก็เป็นได้

ดังนั้นในความรู้สึกของผม ตัวละครยูริก็เปรียบเสมือนกับความคิดของผู้คนในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความคิดของผู้คนในโซเซียลมีเดีย หรือผู้คนในสังคมทั่วไป ที่ไม่ว่าจะเสพข่าวหรืออะไรก็ตาม ก็ตัดสินไปแล้วว่าคน ๆ นั้นถูกหรือผิดดีหรือเลว โดยที่ไม่ดูเหตุผลสาเหตุหรือบริบทความเป็นมาเป็นไป ตัดสินโดยไม่ต้องรอให้กระบวนการยุติธรรม

ยูริ อาจเป็นตัวละครที่สะท้อนถึง ความดำมืดภายในจิตใจของแนนโน๊ะเองอีกต่อหนึ่ง มันเป็นการสะท้อนวิธีการกระบวนการและการลงโทษของแนนโน๊ะที่อยู่ในซีซั่น 1 ซึ่งหากใครได้ชมก็จะตั้งคำถามว่า ทำไมบางคนแนนโน๊ะจึงใช้วิธีการลงโทษกับคนนั้นที่รุนแรงมาก แนนโน๊ะไม่ให้โอกาสและความหวังกับเหยื่อของเธอเลย

ซึ่งเมื่อแนนโน๊ะมีความโตขึ้นในซีซั่นที่ 2 เธอมีความคิดไตร่ตรองในการลงโทษคนมากขึ้น ก็จึงมองเห็นด้านมืดของตัวเอง ที่สะท้อนออกมาในตัวละครยูรินั่นเอง

และตั้งแต่ในซีซั่นที่ 1 แล้ว เขาทำให้เห็นว่าแนนโน๊ะมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง แต่ตัวละครของยูริ เรามองไม่เห็นด้านสว่างภายในตัวของเธอเลย มันก็เหมือนกับการที่เราย้อนไปดูในหลาย ๆ ตอน ว่าทำไมแนนโน๊ะถึงไม่ยอมให้โอกาสบางคนเลย

ในแง่ของความเป็นตัวละคร ส่วนตัวแล้วผมยังชอบตัวละครแนนโน๊ะ เธอจะแสดงถึงความลังเล เดินทางคิดทบทวนอะไรบางอย่างมากขึ้น อาจเรียกได้ว่าเธอมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นก็ได้ แต่มันคือการชอบที่ค่อนข้างลดลงหากเทียบกับซีซั่นที่ 1 เพราะมันไม่สะใจ

และการสร้างตัวละครยูริขึ้นมาให้เป็นคู่ปรับของแนนโน๊ะ ทำให้ซีรีส์รู้สึกว่าลดเนื้อหาการลงโทษผู้คนในแต่ละคนออกไปเยอะ ทำให้เห็นการชิงไหวชิงพริบระหว่างแนนโน๊ะกับยูริมาก

เลยรู้สึกว่ามันลดทอนบรรยากาศของความเป็นแนนโน๊ะที่เราคุ้นเคยกับเธอไปมาก ๆ พูดง่าย ๆ ว่าส่วนตัวของผมแล้วรู้สึกว่าตั้งแต่ยูริเข้ามามีบทบาทควบคู่กับแนนโน๊ะ มันเหมือนดึงให้ซีรีส์เด็กใหม่มีความสนุกที่ลดลง

และอีกเหตุผลหนึ่งในการสร้างตัวละครยูริคือ หากมีการสร้างในซีซั่นต่อไป การสร้างตัวละครยูริขึ้นมาอาจเป็นการเพิ่มช่องทางไม่ให้เนื้อเรื่องถึงทางตัน หรือกลับไปอยู่ในวงวนที่ซ้ำซากจบการลงโทษในแบบของแนนโน๊ะก็เป็นได้

หากจะพูดถึงความสัมพันธ์ของตัวละครแนนโนะกับยูริแบบสั้น ๆ ก็คือ ในซีซั่นที่ 1 แนนโน๊ะทำหน้าที่ทดสอบมนุษย์ แต่ในซีซั่นที่ 2 ยูริทำหน้าที่ทดสอบแนนโน๊ะนั่นเอง

#นักแสดง

แนนโน๊ะ รับบทโดย น้องคิทตี้-ชิชา อมาตยกุล เธอยังสามารถถ่ายทอดทุกอย่างของความเป็นแนนโน๊ะได้ออกมาอย่างชัดเจน แต่ในซีซั่นที่ 2 เธอได้ทำให้ตัวละครแนนโน๊ะมีมิติมากยิ่งขึ้น มีอารมณ์และความรู้สึกมากยิ่งขึ้น มากยิ่งขึ้น ผมเชื่อว่าคนที่รักแนนโน๊ะอยู่แล้ว จะรักแนนโน๊ะมากยิ่งขึ้นอีกหลายเท่า

เพราะแทบทุกตอนเราเอาใจช่วยแนนโน๊ะมาก ๆ นี่คือบทบาทที่ดีที่สุดของเธอ และมันจะเป็นตำนานตลอดไป และถ้ามีใครมาแทนที่บทบาทนี้ หรือทางทีมข้างทำให้บทบาทนี้ถ่ายโอนไปอยู่กับนักแสดงคนอื่น โดยส่วนตัวแล้วผมคงจะเสียใจเป็นอย่างมาก

ส่วนตัวละครยูริที่รับบทโดย นิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ ในแง่ของการแสดงนั้นทำได้ดี เธอถ่ายทอดความเป็นยูริได้ดี มันดีมาก ดีในขนาดที่ว่าโดยส่วนตัวผมแล้ว ผมไม่ชอบตัวละครยูริเลย เป็นตัวละครที่มาแย่งซีนแนนโน๊ะจนทำให้เราหมั่นไส้เธอ เราอยากจะให้แนนโน๊ะจัดการกับยูริอย่างแสนสาหัส

และหลายครั้งก็เผลอคิดในใจว่า ถ้าหากยูริมาแทนที่ตัวละครแนนโน๊ะ ต่อถ้ามีซีซั่นต่อไป ผมก็จะไม่ดูซีรีย์เด็กใหม่

นี่คือความชาญฉลาดและความเก่งกาจของทีมสร้าง ในการสร้างตัวละครและบทบาทของตัวละครนี้ออกมา เมื่อรวมรวมถึงฝีมือการแสดงของเธอ มันทำให้ผมรู้สึกกับตัวละครนี้ในแบบนี้ขึ้นมาได้

ส่วนนักแสดงรับเชิญในซีซั่นนี้ เขาก็สามารถคัดเลือกตัวแสดงเข้ามารับบทบาทในแต่ละตอนได้ดี เช่น

ต่าย เพ็ญพักตร์ ศิริกุล จาก Ep. 2: True Love ที่รับบทเป็นฤมล ครูผู้เข้มเข้มงวดและสั่งสอนนักเรียนหญิงล้วนในโรงเรียนของเธอให้ตั้งใจเรียน เป็นกุลสตรีที่ดี และไม่ควรสนใจเรื่องความรักเพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี

ผมชอบบุคลิกตัวละครนี้มาก ผมชอบการที่ต่าย เพ็ญพักตร์  ไม่ได้แสดงอารมณ์อารมณ์แบบฉูดฉาดหรือเกรี้ยวกราด ทุกอย่างถูกถ่ายทอดออกมาแบบพอดีพอดี และกำลังดี ผมว่ามันดีกว่าหลายตัวละครที่แสดงอารมณ์อย่างเต็มที่มากกว่าซะอีก

เมย์-ภัทรวรินทร์ ทิมกุล จาก Episode 6: ห้องสำนึกตน รับบทเป็นครูเอ  ครูฝ่ายปกครองที่มีความยึดมั่นในกฎระเบียบ มีความแข็งกระด้าง และลงโทษเด็กอย่างเจ็บแสบ ในบทนี้เธอมีความนิ่งมาก และชัดเจนในบทบาทของตัวละครที่เธอได้รับ แถมยังเป็นตัวละครที่มีมิติที่น่าสนใจมาก

แต่ตัวละครที่ผมชอบที่สุดในซีซั่น 2 นี้ ผมต้องขอยกให้กับ เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ จาก Ep.5: รับน้อง  เขารับบทเป็น เค เป็นรุ่นพี่ที่มีความเข้มงวด กับประเพณีการรับน้อง เป็นพี่ว๊ากที่มีการลงโทษน้องแบบโหดเหี้ยมและทารุณจิตใจมาก เขามีฝีมือด้านการแสดงได้ดีมาก เขาอินกับบทมาก บทที่เขาจะทำให้เราเกลียดก็ถ่ายทอดได้แบบไปสุด ๆ

บทที่เขาจะทำให้เราสงสารก็ทำได้แบบสุด ๆ ดูแล้วทำให้คิดถึงฝีมือการแสดงของ น้อย วงพรู ใน 13 เกมส์สยอง กับ ก๊อต จิรายุในคืนยุติธรรมได้เลย แล้วในตอนนี้ก็ทำให้เห็นว่าแนนโน๊ะแสดงความโหดเหี้ยมในการลงโทษคนขนาดที่ว่า พอเถอะแนนโน๊ะ พอได้แล้ว แค่นี้ก็สงสารเขามากพออยู่แล้ว

ส่วนตัวนักแสดงวัยรุ่นเช่น เจมส์-ธีรดนย์ จากตอน นักล่าแต้ม เล่นได้ดี ดูแล้วก็สะใจกับบทลงโทษที่ตัวละครได้รับ เขาก็ถ่ายทอดถึงความทุกข์ทรมานที่เป็นผลมาจากการกระทำของเขาเองได้อย่างดีค

แพทริเซีย กู๊ด รับบท มินนี่ จากตอน มินนี่ 4 ศพ นี้เป็นหนึ่งในดาราวัยรุ่นมีการแสดงที่น่าสนใจ วิธีการแสดงและการถ่ายทอดอารมณ์ของเธอในซีรีส์นั้น มันสามารถขยับให้เธอไปเล่นภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ได้เลย

#ความประทับใจ

โดยส่วนตัวแล้ว หากจะให้พูดถึงตอนที่ประทับใจในซีรี่ส์เด็กใหม่ซีซั่น 2 ผมชอบ 3 ตอนนี้ครับ

Ep.6 ห้องสำนึกตน ตอนนี้แนนโน๊ะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่มีความเข้มงวดในกฎระเบียบเป็นอย่างมาก ผู้บริหารและครูฝ่ายปกครองเข้มงวดมาก โรงเรียนมีกฎระเบียบหลายร้อยข้อที่นักเรียนต้องท่องจำและทำให้ได้ แล้วถ้าหากใครฝ่าฝืนกฎระเบียบจะต้องถูกขังอยู่ในห้องมืดเพียงคนเดียว เพื่อให้สำนึกตนว่าทำผิดอะไร

ตอนนี้แนนโน๊ะได้แสดงให้เห็นว่า เป็นคนที่ ทางโรงเรียนไม่ชอบที่สุดก็คือการตั้งคำถาม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับโรงเรียน การด้านอาหาร รวมถึงกฎระเบียบต่าง ๆ หรืออะไรก็ตามที่อยู่ในโรงเรียน

และโดยเฉพาะกับการที่แนนโน๊ะตั้งคำถามถึงกฎที่คร่ำครึโบราณเต่าล้านปี กฎที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสสังคมโลก ผู้ที่ถือกฎแต่ใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม และการตีความกฎระเบียบต่าง ๆ ที่มีเข้าข้างตัวเอง

แนนโน๊ะนอกจากจะตั้งถามแล้ว ก็ได้แสดงพฤติกรรมท้าทายเกี่ยวกับกฎระเบียบต่าง ๆ เหล่านั้นด้วย เธอถูกจับเข้าไปขังในห้องสำนึกตนบ่อยครั้ง

และท้ายที่สุดพฤติกรรมของแนนโน๊ะได้ส่งผลต่อนักเรียนทุกคนในโรงเรียนทำให้เกิดการจราจลและการปฏิวัติ

แต่นั่นยังไปไม่จบ เพราะหลังจากก่อการจราจลและเหมือนจะยึดอำนาจได้แล้ว กลับเกิดความวุ่นวายในกลุ่มของนักเรียนผู้ยึดอำนาจ

ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบ ผู้นำ การตัดสิน การแสดงความเครียดแค้นชิงชัง การลงโทษแบบโหดร้าย  และที่สำคัญคือไม่มีกฎระเบียบมาควบคุม

ทั้งหมดทั้งมวลมันสื่อในรูปแบบของปรัชญาการเมืองการปกครองได้ดีมาก ๆ แสดงให้เห็นถึงการใช้อำนาจของผู้ปกครองในทางที่ผิด

โดยเฉพาะอำนาจที่มาจากปลายกระบอกปืน และซีรีส์ก็ยังตั้งคำถามกับสังคมและสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในช่วงเวลาปัจจุบันได้ดีมาก ๆ อันเป็นการสื่อได้อย่างแยบยลในเชิงสัญลักษณ์

หนังได้ให้เราเห็นในมุมมองสองมุมมอง มุมมองแรกคือมุมมองของโรงเรียน มุมมองของความจำเป็นที่ต้องมีกฎระเบียบ มุมที่ 2 คือทำให้เห็นมุมมองของนักเรียน โดยเฉพาะหลังจากที่ทำการจลาจลสำเร็จและปลดแอกกฎระเบียบได้แล้ว และเมื่อปฏิบัติสำเร็จแล้วจะเป็นยังไงต่อ

แต่สิ่งที่ผมชอบมากกว่าปรัชญาของเรื่องก็คือวิธีการนำเสนอ ในตอนนี้ เขาทำให้อยู่ในรูปแบบของภาพขาว-ดำ และอนุญาตให้บางสิ่งบางอย่างเป็นสีได้ เช่นลิปสติกของแนนโน๊ะจะเป็นสีที่สด เสื้อสีแดงที่ครูใหญ่โรงเรียนใสก็เป็นสีแดงสด สีผมของแนนโน๊ะก็ทำออกมาในสีสด ฯลฯ มันได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง ดูแล้วมันก็เหมือนกับหนังฟิล์มนัวร์ของฝรั่ง เช่น sin city เป็นต้น

อีกตอนที่ชอบคือ Ep.2 ture love เล่าถึงโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งที่จำเป็นจะต้องปรับตัว เปิดรับนักเรียนชายเข้ามาเรียนเป็นรูปแบบของโรงเรียนสหศึกษา แต่ครูหญิงคนหนึ่งกลับไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

เธอให้ความคิดเห็นว่า การที่โรงเรียนนี้มีชื่อเสียงมาได้อย่างยาวนานเพราะว่าเป็นโรงเรียนที่ฝึกให้เด็กหญิงเป็นกุลสตรี ซึ่งจะสร้างความดีงามให้กับประเทศชาติต่อไป

ดังนั้นหากมีการนำนักเรียนชายเข้ามาเรียนด้วยจะทำให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เธอจึงได้รับนโยบายจาก ผู้อำนวยการโรงเรียนให้ออกกฎระเบียบเพื่อมาควบคุมไม่ให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีงาม ถึงแม้เธอจะไม่พอใจอย่างไรก็ตาม แต่เธอก็ต้องทำตาม

เริ่มจากการที่ให้เข้าแถวแยกชายหญิง ให้กินข้าวแยกโต๊ะกัน ห้ามเดินใกล้กัน ห้ามคุยสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือผ่าน Application ต่าง ๆ ไปจนถึงแยกตึกเรียนชายหญิง

ตอนนี้แนนโน๊ะเข้ามามีบทบาทคือ ทำอย่างไรให้ครูคนนี้ได้เรียนรู้และปรับตัวว่า โลกใบนี้มันเปลี่ยนแปลงไปถึงขนาดไหนแล้ว และการกีดกันเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิงมันผิดธรรมชาติ ความรัก แล้วความสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิงไม่ได้มีมุมมองที่มีแต่ความชั่วร้ายเสมอไป

ใครหลายคนอาจมองว่าตอนนี้เป็นตอนที่ดรอปอารมณ์คนดูลงมาเกินไป เปลี่ยนอารมณ์ของซีรีส์เด็กใหม่มาเป็นแนวทางแบบหวานแหววเกินไป แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของแนนโน๊ะที่เคยเป็นซาตานกลายเป็นนางฟ้าเฉยเลย

แต่โดยส่วนตัวที่ผมชอบซีรีส์ตอนนี้มาก ๆ ก็คือ วิธีการถ่ายทำของเขา โดยเฉพาะวิธีการเคลื่อนย้ายกล้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่าง ๆ การซูมเข้าการซูมออก การเปลี่ยนมุมมองจากซ้ายมาขวาหรือหน้าไปหลัง

การเปลี่ยนฉากที่ให้กล้องซูมเข้าไปในเสื้อผ้าหรืออะไรก็ตามแล้วเปลี่ยนฉากแบบเนียน ๆ ดูแล้วทั้งหมดมันเรียบลื่น ลื่นไหลและสามารถช่วยส่งอารมณ์ของเนื้อเรื่องมาให้กับคนดูได้ดีมาก  ถือว่าเป็นเทคนิคการถ่ายทำที่ดูแล้วไม่เบื่อเลย

อีกตอนหนึ่ง Ep.4 ตอนกำเนิดยูริ ส่วนตัวเนื้อหาและวิธีการเล่าเรื่องนั้นก็ถือว่าค่อนข้างดี แต่ส่วนตัวแล้วผมชอบในประเด็นที่ว่า เขานำเสนอเรื่องราวของความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

ไม่ว่าจะเป็นด้านชนชั้นที่ต่างกัน ความรวยความจน และความเอารัดเอาเปรียบของผู้คนที่มีอำนาจหรือร่ำรวยมากกว่า ต่อคนที่ไม่มีอำนาจน้อยหรือคนจน

แสดงให้เห็นการที่คนจนถูกคนรวยกระทำกดขี่ข่มเหง ไม่ว่าจะเป็นทั้งการใช้แรงงาน หรือการข่มเหงทางจิตใจ การมองคนที่อยู่ชนชั้นต่ำกว่าต้องอยู่ภายใต้อำนาจของชนชั้นที่อยู่สูงกว่า หรือคนจนต้องอยู่ใต้คนรวยอำนาจเสมอ โดยเปรียบเสมือนกับหมาที่ซื่อสัตย์

และเมื่อภาวะต่าง ๆ มันรุมเร้า การถูกทารุณกรรม การเอารัดเอาเปรียบ การถูกกระทำมาอย่างยาวนาน รวมถึงความไม่เป็นธรรมในด้านสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น หากคนที่ไม่เคยมีอำนาจ หรือคนจนกลายเป็นคนรวยบ้างพวกเขาจะปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไร

สิ่งนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าทั้งหมดทั้งมวลมันก็เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในสังคมปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเราจะพยายามเปลี่ยนแปลงหรือทำให้มันดีขึ้นอย่างไร เราก็ยังต้องถูกผู้มีอำนาจหรือคนรวย กดขี่ข่มเหงอยู่เช่นเดิม

และอีกตอนหนึ่งที่ผมอาจไม่ได้ชอบแต่ก็ไม่อาจพูดถ้าไม่ได้เลยก็คือ ือ Ep.8 อวสานแนนโน๊ะ ตอนนี้เล่าเรื่องราวของแม่ผู้เป็นครูประจำห้องพยาบาล จะต้องดูแลลูกสาวที่เป็นอัจฉริยะ แต่ก็ประสบกับภาวะป่วย แขนขาไม่มีแรง

ตอนนี้แนนโน๊ะเข้ามามีบทบาทคือ เธอได้สังเกตว่าการที่ลูกสาวของครูคนนี้ไม่มีแรงนั้น ไม่ได้เกิดจากโรคภัยธรรมชาติ แต่จากบางสิ่งบางอย่างที่แม่ของเธอเป็นผู้กระทำ

นี่คือตอนเดียวที่ทำให้เราเห็นว่าแนนโน๊ะยิ้มน้อยมาก ๆ และอารมณ์โดยรวมของตัวละครแนนโน๊ะเครียดที่สุด ทบทวน ขุ่นมัว กังวล ไตรตรองและครุ่นคิดมากที่สุด การตัดสินใจในการกระทำบางอย่างของแนนโน๊ะ มีความใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุด มันแทบจะเปลี่ยนมุมมองที่เรามองแนนโน๊ะไปเลยทีเดียว

แม้ว่าการเล่าเรื่องและการถ่ายทอดเรื่องราวของซีรีส์ตอนนี้จะออกมาไม่ฉูดฉาดมากนัก และแม้ดูว่าเขาจะพยายามให้เป็นอารมณ์แบบแนวระทึกขวัญ สยองขวัญ จิตวิทยา โดยส่วนตัวของผมแล้วก็ไม่ได้มองว่านี่คือจุดเด่นของซีรีส์ตอนนี้

เพราะความโดดเด่นก็คือ การถ่ายทอดปรัชญาของแต่ละตอนได้อย่างดีเยี่ยม มันเป็นการสรุปเรื่องราวปมปัญหา ตั้งคำถามการจัดการกับบุคคลต่าง ๆ ของแนนโน๊ะได้ดีมาก

มันเป็นการตั้งคำถามว่า เราจะตัดสินคนอย่างไรว่าคนคนนั้นผิดจริง ใช้อะไรมาเป็นตัวตัดสินว่าความผิดที่เราเห็นนั้นคือความผิดจริง

และถ้าเป็นความผิดที่เกิดขึ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหงหรือเกิดจากการถูกกระทำมาอย่างยาวนานล่ะ มันจะถือว่าเป็นการทำผิดหรือไม่ และวิธีการลงโทษคนที่ผิดนั้นควรทำอย่างไร

และตอนนี้ได้ถามถึงวิธีการของแนนโน๊ะที่กระทำต่อผู้คนทั้งหมดทุกตอนนั้นเอง พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้มันคือตอนสรุปปรัชญาและเนื้อหาสำคัญทั้งหมดของซีรีย์เด็กใหม่ทั้งหมดเลยทีเดียว

แล้วที่สำคัญที่สุด ถือเป็นตอนที่ใช้ปิดซีซั่นได้ดี ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าหากซีรีส์ชุดนี้จะไม่ทำต่อไปแล้วก็ถือว่าปิดได้สวย เพราะมันได้ทิ้งคำถามคำใหญ่เอาไว้ ให้คนดูได้ขบคิด แต่ถึงอย่างไร เหมือนว่าซีรีส์เขาก็แทงกั๊กเอาไว้เหมือนกัน ซึ่งถ้าหากจะสร้างต่อก็ทำได้

แต่ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่า วิธีการการ กระทำของแนนโน๊ะ หรือประเด็นต่าง ๆ มันก็เริ่มที่จะเข้าสู่ทางตันมากขึ้น เพราะ ซีรีส์เขาทำให้เห็นว่าแนนโน๊ะได้เริ่มตั้งคำถามกับการกระทำของตัวเองด้วยเช่นกัน

ซึ่งหากจะสร้างซีซั่นต่อไปอีกก็ไม่แน่ใจว่า จะมีความแปลกใหม่หรือมีความเข้มข้นอะไร ได้ดีเท่ากับซีซั่น 1 และ ซีซั่น 2 ที่ผ่านมาหรือไม่ ตอนนี้เราคงต้องไปลุ้นกัน แต่ถ้าหากไม่สร้างต่อจริง ๆ เราคงคิดถึงแนนโน๊ะอย่างแน่นอน

ภาพรวมในด้านการเสนอตอนทั้งหมดในซีซั่น 2 หากนำมาเปรียบเทียบกับซีซั่น 1 แล้ว ในด้านความหนักหน่วงความโหด ผมว่า ซีซั่น 2 นี้แม้จะมีตอนน้อยกว่าแต่มันก็หนักหน่วงและมีผลต่อจิตใจคนดูมากกว่า ซีซั่น 1

อุปสรรคต่าง ๆ ที่แนนโนะเจอ โดยเฉพาะตัวละครคู่แข่งอย่าง "ยูริ" มันก็ทำให้เราเอาใจช่วยเธอมากขึ้นและหลงรักตัวละครนี้มากขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมาก

ส่วนสาส์นสำคัญของเรื่องไม่ใช่อยู่ที่การลงโทษแต่มันเป็นการตั้งคำถามกับสังคมว่า สิ่งใดคือความผิดจริง พิจารณาอย่างไรว่าเขาผิด และลงโทษอย่างไรมากกว่า

อย่างไรก็ตามภาพรวมของทั้ง 8 ตอนในซีซั่นที่ 2 หลักใหญ่ใจความหรือสารสำคัญที่สุดที่ซ่อนอยู่ในประเด็นหลักของซีรีส์ทุกตอนนั้น ไม่ใช่เรื่องของการลงโทษ หรือวิธีการลงโทษ ให้คนให้ปรับตัวเปลี่ยนแปลงแก้ไข เหมือนที่เราดูในซีซั่นที่ 1

แต่มันเป็นการตั้งคำถามถึงเรื่องของการตีความว่าบุคคลใดถูกหรือผิด การตั้งคำถามถึงวิธีการลงโทษ ว่าวิธีใดเหมาะสมที่สุด และเป็นการตั้งคำถามไปถึงตัวบุคคลที่ตัดสินความผิดด้วย

ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วภาพรวมของซีซั่น 2 ทั้งหมดนี้แม้จะ Drop ความหลากหลายหรือความสะใจในการลงโทษของแนนโน๊ะลง แต่มันก็หนักแน่นในเชิงคำถามที่โยนให้กับสังคมมากขึ้น ให้คนดูได้ขบคิดมากขึ้น

ซึ่งทั้งหมดนั้นมันก็คือความประทับใจที่ผมมีให้กับซีรีส์เด็กใหม่ในซีซั่น 2 นี้ ซึ่งใครเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอย่างไรก็สามารถแสดงความคิดเห็นมาบอกกันได้นะครับ

#บทสรุป

กล่าวโดยสรุป เด็กใหม่ ซีซั่น 2  ยังคงความเป็นซีรีส์ไทยที่มีความสนุกสนาน ให้แง่คิดดี ๆ หลายประเด็น แต่ในซีซั่นนี้มีความเข้มมากขึ้น หนักหน่วงทางอารมณ์มากขึ้น และมีการตั้งคำถามกับคนดูและสังคมมากยิ่งขึ้น

ดูแล้วก็เหมือนกับการที่เขาโยนประเด็นสำคัญให้เรามาคบคิด โดยเฉพาะเราจะทำอย่างไรให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียมกันอย่างชัดเจน ในยุคที่มีการแบ่งแยกชนชั้นความรวยความจนอย่างชัดเจน ในยุคที่ผู้คนพร้อมจะตัดสินคนอื่นว่าผิดโดยที่ไม่ดูเหตุผลแวดล้อม และพร้อมที่จะลงโทษผู้คนเหล่านั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามก่อนจะมีการพิพากษาซะอีก

การที่เรามองว่าแนนโน๊ะคือซาตาน มีอำนาจในการพิพากษาตัดสินและลงโทษผู้คนอย่างชอบธรรม แท้จริงแล้วพวกเราทุกคนก็อยากมีอำนาจนั้นด้วยกันทั้งสิ้น ใคร ๆก็อยากลงโทษคนที่กระทำกับเราเหมือนกัน ใคร ๆ ก็อยากลงโทษคนที่มีความเห็นต่างกับเราเหมือนกัน ใคร ๆ ก็อยากลงโทษคนที่กดขี่ข่มเหงเราเหมือน และภายในใต้จิตสำนึกการละเมิดของเราทุกคนก็ล้วนอยากมีความเป็นแนนโน๊ะเพื่อที่จะได้ลงโทษคนที่เราไม่ชอบเหมือนกันทั้งนั้นล่ะครับ

การที่แนนโน๊ะมีสถานะเป็นเด็กใหม่เช่นเดิม มันก็เป็นตอกย้ำว่า มนุษย์เราสามารถมีกิเลสเข้ามากระทบจิตใจ กิเลสที่มาทดสอบเราได้ทุกเมื่อ

และไอ้กิเลสที่เข้ามาใหม่ในแต่ละครั้งในช่วงชีวิตของเรานั้น มันก็คือแนนโน๊ะนั่นเอง

8.5/10
@วาทิน ศานติ์ สันติ

#เด็กใหม่2
#SuperReviewChannel
#แนนโน๊ะ
#GirlfromNowhereSeason2
#SuperReviewChannel

หมายเลขบันทึก: 690534เขียนเมื่อ 11 พฤษภาคม 2021 13:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 พฤษภาคม 2021 14:02 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท