ผมเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (กมว.) ของคุรุสภา ในฐานะที่ปรึกษา เป็นครั้งที่สอง ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ เปิดโอกาสให้ผมได้ครุ่นคิดว่า มีลู่ทางใช้มาตรฐานวิชาชีพขับเคลื่อนคุณภาพการศึกษาไทยได้อย่างไร ซึ่งเมื่อตรวจสอบหน้าที่ของคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ ตาม พรบ. สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ (๑) มาตรา ๒๕ ระบุดังนี้
“มาตรา ๒๕ คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพมีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) พิจารณาการออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา และการพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต (๒) กำกับดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา (๓) ส่งเสริม พัฒนา และเสนอแนะคณะกรรมการคุรุสภากำหนดมาตรฐานและจรรยาบรรณ ในการประกอบวิชาชีพ (๔) ส่งเสริม ยกย่อง และพัฒนาวิชาชีพไปสู่ความเป็นเลิศในสาขาต่างๆ ตามที่กำหนดใน ข้อบังคับของคุรุสภา (๕) แต่งตั้งที่ปรึกษา คณะอนุกรรมการ หรือมอบหมายกรรมการมาตรฐานวิชาชีพเพื่อกระทำการใดๆ อันอยู่ในอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (๖) ปฏิบัติการอื่นใดตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้เป็นอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ (๗) พิจารณาหรือดำเนินการในเรื่องอื่นตามที่รัฐมนตรีหรือคณะกรรมการคุรุสภามอบหมาย”
หนังสือแปล ปั้นครู เปลี่ยนโลก (๒) บอกชัดเจนว่า ประเทศที่คุณภาพการศึกษาสูงที่สุดในโลก ๕ ประเทศ (ออสเตรเลีย แคนาดา จีน (เซี่ยงไฮ้) ฟินแลนด์ และสิงคโปร์) พัฒนาคุณภาพการศึกษาผ่านการพัฒนาและเอื้ออำนาจแก่ครู โดยที่ครูทุกคนมีหน้าที่ยกระดับคุณภาพวิชาชีพ ตีความการยกระดับคุณภาพวิชาชีพที่ปฏิบัติการในการทำหน้าที่ครูเป็นสำคัญ ไม่ใช่อยู่ที่ข้อบังคับในกระดาษ ไม่ใช่ครูเป็นผู้ถูกกระทำ แต่มองครูเป็นผู้กระทำ (agentic teacher)
กระบวนทัศน์ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ใน พรบ. สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๖ กับในหนังสือ ปั้นครู เปลี่ยนโลก ต่างกันอย่างขั้วตรงกันข้าม ใน พรบ. สภาครูฯ มองครูเป็นผู้ถูกกระทำ หรือถูกควบคุม แต่ในหนังสือ ปั้นครู เปลี่ยนโลก มองครูเป็นผู้กระทำ ผู้สร้างมาตรฐานวิชาชีพ (agentic teacher)
กลับมาที่หน้าที่ของ กมว. ๗ ข้อ ผมเห็นช่องทางใช้ ข้อ ๔ “ส่งเสริม ยกย่อง และพัฒนาวิชาชีพไปสู่ความเป็นเลิศในสาขาต่างๆ ตามที่กำหนดในข้อบังคับของคุรุสภา” ในการเพิ่มบทบาทของ กมว. ในการยกระดับมาตรฐานวิชาชีพภาคปฏิบัติ โดยเข้าไปหนุนครู ให้ร่วมกันทำงานอย่างมีคุณภาพ และนำไปสู่การยกระดับมาตรฐานวิชาชีพ เน้นมาตรฐานวิชาชีพที่อยู่ในตัวนักเรียน หรือที่ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน
มาตรฐานวิชาชีพในกระดาษ มาตรฐานวิชาชีพในใจ (วิญญาณ) ของครู มาตฐานวิชาชีพในการปฏิบัติงานของครู มาตรฐานวิชาชีพในผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียน ต้องไปด้วยกัน (alignment) กับมาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษา จึงจะเป็นเครื่องมือสู่คุณภาพการศึกษาของประเทศ
ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ. ๒๕๕๖ (๓)ระบุในหมวด ๒ มาตรฐานการปฏิบัติงาน ไว้ดีมาก แต่น่าแปลก ที่ทำไมไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม ผมสงสัยว่า อาจเป็นเพราะคุรุสภากับ สพฐ. เป็นต่างหน่วยงาน ไม่มีการประสานงานกัน ข้อบังคับของคุรุสภา อาจไม่ได้รับการยอมรับจาก สพฐ. มีผลให้ข้อบังคับก็ข้อบังคับ การปฏิบัติอยู่แยกกัน น่าเสียดาย
การประชุม กมว. ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๔ มีวาระเพื่อพิจารณา ๒๔ วาระ เป็นวาระขึ้นทะเบียนครูและผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งเป็นวาระประจำ ๑ วาระ เป็นวาระหารือการแก้กฎระเบียบ ๑ วาระ อีก ๒๒ วาระเป็นเรื่องลงโทษ หรือเรื่องเกี่ยวกับคนมีมลทินมาขอเป็นผู้บริหารสถานศึกษา ไม่มีวาระเชิงบวก หรือเชิงยกระดับมาตรฐานวิชาชีพเลย ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า ในประเทศที่มีการศึกษาคุณภาพสูงเขากันคนที่มีบุคลิกแบบนี้ออกไป ไม่ให้เข้ามาเป็นครูตั้งแต่แรกหรือเปล่า
ผมมีความเห็นว่า หากเราคัดเลือกคนมาเป็นครูอย่างพิถีพิถัน เราจะไม่ต้องเสียเวลามาพิจารณาโทษคนเหล่านี้ และระบบการศึกษาของเราก็จะมีคุณภาพสูงขึ้น เพราะคนเหล่านี้คือคนที่ตั้งใจเข้ามาหาผลประโยชน์จากระบบ ไม่ใช่เข้ามาทำประโยชน์
ท่านประธาน กบว. เล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในวงการศึกษา ที่มีการ abuse ระบบการเข้าสู่วิชาชีพ โดยเฉพาะตำแหน่งบริหาร เช่น อวดกับเพื่อนว่า สอบเป็น ศน. ได้แล้ว ได้งานสบาย ที่ฟังแล้วเศร้าใจ นอกจากนั้น คนที่อยู่ในระบบอยู่แล้ว ยังหาวิธีซิกแซ็กให้กับลูกที่ไม่เก่ง สอบเข้าเรียนครูไม่ได้ ก็เรียนอย่างอื่นแล้วเอามาเป็นครูโดยขอยกเว้นใบประกอบวิชาชีพ แล้วให้ไปเรียนปริญญาโท เพื่อเข้าสู่ตำแหน่งบริหารในภายหลัง เรื่องที่เล่ากันในที่ประชุมบอกเราว่า ระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ยิ่งสร้างความเสื่อมให้แก่ระบบการศึกษา
ผมตีความว่า ทั้งกฎหมาย และวิธีทำงานของหน่วยงานด้านมาตรฐานวิชาชีพการศึกษาไทย อยู่ภายใต้ fixed mindset มองว่า เมื่อกฎระเบียบดี คุณภาพการศึกษาย่อมดี ซึ่งเป็นมุมมองเชิงเส้นตรง ในขณะที่ความเป็นจริงเรื่องการศึกษามีความซับซ้อนสูงมาก การจัดการมาตรฐานวิชาชีพด้านการศึกษาจึงต้องดำเนินการอย่างซับซ้อนและปรับตัว จึงจะส่งผลดีต่อคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง
ที่จริงหากมองเฉพาะที่กฎหรือหลักเกณฑ์ในกระดาษ มาตรฐานวิชาชีพทางการศึกษาของไทยสูงมากนะครับ คนของเราจบปริญญาตรีทั้งหมด อีกไม่น้อยจบปริญญาโท (ในที่ประชุมมีคนพูดว่าครูไทยประมาณร้อยละ ๗๐ จบปริญญาโท) และที่จบปริญญาเอกก็มีไม่น้อย แต่แปลกที่มาตรฐานวิชาชีพไม่เชื่อมโยงกับระดับคุณภาพการศึกษา อาการนี้บอกเราว่าต้องมีความผิดพลาดใหญ่หลวงอยู่ในระบบ และผมตีความว่า เป็นเพราะส่วนย่อยของระบบไม่มี alignment กัน รวมทั้งหลงคิดว่า มาตรฐานในหลักเกณฑ์ กับมาตรฐานในการปฏิบัติเป็นสิ่งเดียวกัน
ระหว่างประชุม ผมอดคิดสงสัยไม่ได้ว่า เป็นไปได้ไหมที่การดำเนินการของ กมว. ไม่ได้คิดไกลไปถึงผลประโยชน์ที่ตัวเด็ก ที่จะได้ครูดี ที่จะเป็นตัวอย่างที่ดีในชีวิต
มีวาระ ร่างข้อบังคับ ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ที่แก้ข้อบังคับเดิมเรื่องผู้ประกอบวิชาชีพผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา ที่ผู้เป็นประธานยกร่างมีความเชื่อว่า ผู้บริหารโรงเรียนไม่จำเป็นต้องรู้และมีประสบการณ์การเป็นครู แค่บริหารเก่งก็พอ ที่ผมตกใจมากว่า การร่างข้อบังคับนี้ไม่ศึกษาข้อมูลจากประเทศที่การศึกษาคุณภาพสูงที่สุดในโลกเลย ผมชี้ให้ที่ประชุมเห็นว่า ในประเทศเหล่านี้ ผู้บริหารการศึกษามาจากครูที่ประสบความสำเร็จสูงในการทำหน้าที่ครูและเปล่งประกายความสามารถด้านการบริหารจากการทำงานในการทำหน้าที่ครูทั้งสิ้น
วิจารณ์ พานิช
๓ เม. ย. ๖๔ ปรับปรุง ๕ เม.ย. ๖๔
ระบบการศึกษาไทยยังคงเป็นน่าเศร้าเสมอ ;(