[review] รีวิว love and Monsters (2021 Netflix) ภาพยนตร์แนวผจญภัย


[review] love and Monsters (2021 Netflix) ภาพยนตร์แนวผจญภัย วันสิ้นโลก หรือ post-apocalypse ที่ทาง Netflix ตั้งใจนำมาฉายในช่วงซัมเมอร์ เพื่อเป็นการเอาอกเอาใจทุกเพศทุกวัย สนุกและให้ความหมายดี ๆ จนเกินคาด สัตว์ประหลาดในเรื่องจะเป็นอย่างไร มีมากน้อยมากแค่ไหน และความดีงามของเรื่องนี้ จะเป็นอย่างไร เชิญติดตามรับชมรับฟังรีวิวนี้ได้เลยครับ

ดูคลิปรีวิวที่นี่

love and Monsters ว่าด้วยเรื่องราวของวันสิ้นโลก อันเป็นผลมาจากการที่ครั้งหนึ่ง อุกกาบาตขนาดใหญ่ กำลังจะพุ่งชนโลก ดังนั้นเหล่าประเทศมหาอำนาจจงร่วมมือกันยิงขีปนาวุธ ขึ้นไปทำลายอุกกาบาตลูกนั้น แม้จะทำร้ายได้สำเร็จ แต่สารเคมีหรืออะไรก็ตามที่มันอยู่ในขีดอนาคตนั้น ได้ร่วงหล่นลงมาบนพื้นโลก แล้วมันทำปฏิกิริยากับสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เลือดเย็น สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ หรือพวกแมลง ทำให้สัตว์เหล่านั้นกลายพันธุ์ไปทั้งหมด จากตัวเล็กก็กลายเป็นตัวใหญ่ จากที่ไม่มีพิษมีภัย ก็กลายเป็นพันธุ์ที่มีความสามารถในการทำลายล้างสูง และท้ายที่สุดเราบรรดาสัตว์กลายพันธุ์เหล่านี้ ก็มาทำร้ายมนุษย์ มนุษย์เสียชีวิตไปถึง 95 เปอร์เซ็นต์ของโลก ส่วนมนุษย์ที่เหลือนั้น ก็ต้องอยู่ในที่หลบภัยใต้ดินแล้วใช้ชีวิตอยู่ในนั้น หลายปี

ในหลุมหลบภัยใต้ดินแห่งหนึ่ง พ่อหนุ่มโจล พระเอกของเราก็อยู่ในหลุมหลบภัยแห่งนี้ด้วย ในหลุมหลบภัยก็จะมีการแบ่งหน้าที่กันทำงาน โจล จะทำหน้าที่ในการ ซ่อมวิทยุสื่อสาร และคอยติดต่อกับหลุมหลบภัยแห่งอื่น แต่ข้อเสียของเขาคือ เขากลัวเจ้าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ไม่กล้าต่อสู้ ประมาณว่าถ้าเจอตัวสับประหลาดเขาจะยืนแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ได้เลย แต่ก็ยังมีดี 1 อย่างคือ เขาเป็นนักวาดภาพที่มีฝีมือเก่งกาจ มักจะวาดภาพเจ้าสัตว์ประหลาดแต่ละสายพันธุ์ รวมถึงเขียนจุดอ่อนจุดแข็งและวิธีการปราบมันอาไว้อย่างละเอียด

พ่อหนุ่มโจลของเรานั้น ในช่วงที่เขามีอายุ 17 ปี เขามีแฟนสาวคนหนึ่งขื่อว่าเอมี่ ในระหว่างที่จะพอดรักกันในรถ ก็เป็นวันที่เราบรรดา ชาวโลกมีกี่เป็นอาวุธขึ้นไปบนฟ้า แล้วเมื่อเขากลับมาที่บ้าน เหล่าสัตว์ประหลาดก็เข้าโจมตีเมืองแล้ว เขาต้องแยกย้ายกับครอบครัว รวมถึงแยกย้ายกับแฟนสาวที่เขารัก แล้วมาใช้ชีวิตอยู่ในบังเกอร์แห่งนี้ ถึง 7 ปีนั้นเอง

มีวันหนึ่งเขาได้ติดต่อวิทยุสื่อสารกับเอมี่ เอมี่บอกกับเขาว่าอยู่ดี ๆ ก็มีกลุ่มผู้รอดชีวิต เข้ามาช่วยเหลือพวกเธอที่อยู่ในบังเกอร์แห่งนั้น แล้วจะพาไปอยู่ในที่แห่งใหม่ที่มีความปลอดภัย พ่อหนุ่มโจลก็รู้ได้โดยสัญชาตญาณว่า มันไม่ชอบมาพากล และอีกอย่างหนึ่งเขาคิดถึงแฟนสาวของเขาแทบจับใจ เขาจึงตัดสินใจออกจากบังเกอร์ที่เขาอยู่ แม้ว่าพรรคพวกยาต้านทานเท่าไหร่เขาก็ยังยืนยันว่าจะไปหาแอมมี่ให้ได้ เพื่อน ๆก็ ได้มอบอาหาร แผนที่ มอบแผนที่ และอาวุธให้กับเขาไป หวังว่าเขาจะสามารถเดินทางที่มีระยะทางมากกว่า 136 กิโลเมตร ไปหาเอมี่ให้ได้ อย่างปลอดภัยโดยที่ไม่โดนสัตว์ประหลาด จำนวนมากกินไปซะก่อน

แล้วพวกหนุ่มโจลก็ออกผจญภัยไปหาแฟนสาว.....

โจลจะใช้ชีวิตอยู่ภายนอกบังเกอร์ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดจำนวนมากไปได้อย่างไร ระหว่างทาง 136 กิโลเมตรนั้น เขาจะพบเจอสิ่งใดบ้าง และสามารถไปหาแฟนสาวของเขายังที่หมายได้หรือไม่ สามารถติดตามรับชมต่อได้ทาง Netflux เลยครับ

love and Monsters โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าเป็นหนังที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย แต่ทาง netflix เขาขึ้นเรทเอาไว้ว่า 13+ ซึ่งอาจจะมีความรุนแรงบ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดูแล้วรู้สึกสยองขวัญแต่อย่างใดเลยครับ เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี แถมยังมีข้อคิดที่น่าสนใจสอดแทรกเอาไว้ในเนื้อเรื่องอีกด้วย ส่วนตัวแล้วผมรู้สึกว่า love and Monsters คือหนังอารมณ์ feel good ด้วยซ้ำ

ซึ่งบอกตามตรงว่าครั้งแรกที่ผมเห็นหนังเรื่องนี้ ก็รู้สึกว่ามันน่าจะไม่สนุก เพราะจากประสบการณ์ส่วนใหญ่ของผมแล้ว netflix ถ้าทำหนังออกมาแล้วมักจะไม่ค่อยสนุกเป็นทุน ที่มีก็มีอยู่น้อยมาก ๆ จึงไม่ได้คาดหวังอะไรกับ love and Monsters เลย แล้วก็ไม่ได้คิดว่าจะเปิดดูด้วยนะครับ

แต่พอหนังฉายไปสักพัก ก็เริ่มมีกระแสจากบรรดาคนที่ทำรีวิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นช่องจาก youtube หรือตามเพจหนังต่างๆ ให้คะแนนหนังเรื่องนี้ในแดนบวกแทบทั้งสิ้น แล้วเมื่อกระแสมาแรงขนาดนี้ผมก็เลยต้องดู เพื่อพิสูจน์ว่ามันดียังไง เมื่อดูแล้วก็ต้องบอกว่า เกินความหมายจริง ๆ ครับ

อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่า love and Monsters เป็นภาพยนตร์แนวผจญภัย วันสิ้นโลก หรือ post-apocalypse ดังนั้นจุดดีข้อแรกก็คือ เขาสามารถเซ็ตบรรยากาศของหนังทั้งเรื่อง ให้รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นวันสิ้นโลกได้จริง ๆ ทางทีมสร้างเขาฉลาดพอที่จะไม่ทำให้เราเห็นภาพเมืองมากนัก เพราะการทำภาพเมืองให้มีสภาพสลักหักพังจำนวนมาก มันใช้เงินเยอะ ดังนั้นเขาจึงทำให้เราเห็นฉากในป่าซะมากกว่า ซึ่งมันก็ทำให้เราไม่ขัดตาเลยครับ แต่พอบทที่เขาต้องการจะทำให้เราเห็นภาพเมือง เขาก็ทำได้ค่อนข้างดีเช่นกัน ดังนั้นบรรยากาศของวันสิ้นโลกในหนังเรื่องนี้ว่าผ่านครับ

แต่พอมาสืบค้นข้อมูลของหนังหลังจากการที่ได้ชมผ่าน Streaming ไปแล้ว หนังเรื่อง love and Monsters ถือว่าไม่ธรรมดานะครับ เพราะสร้างจากค่ายพาราเมาท์ ดังนั้นเรื่องทุนสร้างนั้นอยู่ในระดับ 28 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐเลยนะครับ ถึงว่าเขาสามารถสร้างบรรยากาศต่าง ๆ ออกมาได้ค่อนข้างสมจริง

แต่เดิมมีแผนว่าจะนำหนังเรื่องนี้ออกฉายในโรงภาพยนตร์ด้วยซ้ำ แต่ก็เจอกับพิษโรคระบาดหนัง จึงจำเป็นจะต้องมาฉายใน Streaming และเมื่อฉายแล้ว ก็ได้รับเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์และคนดู ไปในเชิงบวกในLotten Tomatos นักวิจารณ์เทคะแนนทางบวกให้ถึง 93 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ชมเทคะแนนให้ถึง 89 เปอร์เซ็นต์ และมามองในฝั่งของ imdb ก็เทคะแนนความชอบให้ถึง 7 เต็ม 10 คะแนน นี่คือสิ่งการันตีความดีงามให้กับ love and Monsters ให้คนรีบไปชมกันครับ

หนังเรื่องนี้มีความเป็นหนังผจญภัยอย่างชัดเจน เพราะพ่อหนุ่มโจลพระเอกของเรา ได้เดินทางตามเส้นทาง 136 กิโลเมตรเพื่อไปหาแฟนที่เขารัก แน่นอนว่าเขาต้องเจอกับอุปสรรคมากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะอุปสรรคที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้าตัวสัตว์ประหลาดจำนวนมาก

หนังเขาก็ฉลาดมากพอที่จะทำให้เราเห็นสัตว์ประหลาด ในสถานการณ์ครั้งละ 1 ชนิด เริ่มตั้งแต่สัตว์ประหลาดที่บุกเข้าไปในบังเกอร์ สัตว์ประหลาดตามเส้นทาง รวมไปถึงสัตว์ประหลาดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเรื่องในช่วงท้ายเรื่อง ซึ่งเขาทำให้เราเห็นทีละตัว ไม่ได้มาเยอะแยะมากมาย จะลองมองไม่ทัน และแต่ละตัวที่มันออกมาก็ทำให้เราเห็นความพิเศษหรือเอกลักษณ์ของมันได้อย่างชัดเจน ก็ถือว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่งครับ รายการที่มีสัตว์ประหลาดมาตลอดทางนั้น มันก็เข้ากับชื่อเรื่องของเขาได้ดีจริง

สิ่งหนึ่งที่สำคัญของหนังผจญภัยที่ควรต้องมีและ love and Monsters ก็สามารถหยิบเอามาใส่ได้อย่างดีก็คือ  ทุกการผจญภัย ทุกระยะทาง และทุกอุปสรรค์ของตัวละคร จะต้องเกิดการเรียนรู้ การสำนึกผิดบางสิ่งบางอย่าง  ตลอดจนไปถึงการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งแนวคิดและทัศนคติของตัวละคร ซึ่งพี่โจลของเราได้ผ่านสิ่งเหบ่านี้เต็ม ๆ

ซึ่งในที่นี้ผมมองออกเป็น 2 ระดับนะครับ ระดับแรกคือการเจอผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาได้เดินทางแล้วไปเจอหมาตัวหนึ่ง ซึ่งจะกลายเป็นเพื่อนร่วมเส้นทางของเขา การไปเจอ ชายแก่และเด็กสาวระหว่างทาง ที่สอนวิธีการเอาตัวรอดให้เขา จนท้ายที่สุดที่โจลไปเจอแฟนสาว ผู้คนในบังเกอร์ของเขาเอง  นั้นมันทำให้เขาเรียนรู้ถึงความหมายของคำว่า "รัก" ได้หลายระดับและมีมิติที่มีความแตกต่างกันมาก ๆ ซึ่มีทั้งรักแบบเพื่อน รักแบบครอบครัว รักแบบแฟน รักในชีวิตของตนเอง หรือความรักแบบเพื่อนร่วมโลก ซึ่งความรักนแบบต่าง ๆ ที่เขาผ่านไปนั้น มันทำให้ตัวละครนี้ได้โตมากขึ้น ได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น และที่สำคัญก็คือเขาได้รู้จักตัวเองมากขึ้นด้วย ส่วนตัวแล้วผมมองว่า love and Monsters สามารถตีความหมายของคำว่ารัก ผ่านตัวละครโจลได้อย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว

อีกระดับหนึ่งคือ การที่ตัวละครโจล ไปเจอสัตว์ประหลาดแต่ละตัวนั้น มันก็ทำให้เขานั้นได้เติบโตเช่นกัน เพราะการเจอกับสัตว์ประหลาดทำให้เขารู้จักการต่อสู้ และมันก็ไม่ใช่แค่เป็นการต่อสู้เพื่อตัวเอง แต่เป็นการต่อสู้เพื่อคนอื่น ทำให้โจรู้จักความหมายของคำว่าเสียสละ แต่มิติที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ประหลาดก็คือ ทำให้โจสามารถชนะบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในใจของเขาได้ด้วย ซึ่งมันก็ทำให้เราเห็นว่าความกลัวของเขานั้น มันเกิดจากอะไร และเขาสามารถทำลายความกลัวของเขาไปได้อย่างไร จุดนี้ก็มีความหมายลึกซึ้งมากเช่นกัน

ประเด็นการเติบโตของตัวละครผ่านความหมายของคำว่า "รัก" และ "สัตว์ประหลาด" นั้น หนังก็ทำออกมาได้ดีจริงๆครับสมกับชื่อเรื่องของเขาที่ตั้งไว้ว่า love and Monsters อย่างแท้จริง

ในแง่ของการออกแบบสัตว์ประหลาดนั้น ถ้าถามตามตรงว่าประทับใจไหม ผมก็ตอบว่าไม่ค่อยประทับใจสักเท่าไหร่ เพราะมีหนังที่มีการแสดงให้เห็นถึงสัตว์ประหลาดหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งที่ผ่านมานั้น เราเห็นมันมาแทบทุกรูปแบบแล้ว ไหนว่าจะเป็นตัวเล็กเท่าแมลง ตัวขนาดเท่าคน หรือขนาดตัวใหญ่เท่าบ้าน เราก็เห็นมาทุกรูปแบบแล้ว ดังนั้นรูปลักษณ์ของสัตว์ประหลาดในเรื่อง Love and Monsters จึงมีความเฉย ๆ มากสำหรับผม

แถมยังรู้สึกว่าสัตว์ประหลาดแต่ละตัวที่เขาเกริ่นนำมันฆ่าคนไปถึง 95 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้คนในโลกนั้น เมื่อเรามาเห็นแบบจะ ๆ ผ่านตัวละครหลักของเรื่อง ทำไมแต่ละตัวนั้นมันฆ่าได้อย่างง่ายดายเหลือเกิน ซึ่งถ้ามันจะตายง่ายขนาดนี้ ก็ไม่น่าที่จะฆ่าคนได้มากขนาดนั้น แต่ไม่เป็นไร เพราะหนังเข้าได้ตีความเรื่องสัตว์ประหลาดเอาไว้ ในอีกแบบหนึ่งนั่นเอง

แต่ก็อย่าประมาทไปนะครับ เพราะทุกครั้งที่สัตว์ประหลาดออกมา มันก็มีฉากไล่ล่า ฉากการต่อสู้ โดยเฉพาะกับสัตว์ประหลาดไล่ล่าพ่อหนุ่มโจลของเรา ก็ล้วนแต่สนุก เอาใจช่วย และมีความตื่นเต้นไม่น้อยเลยครับ

และที่ไม่ลืมเล่าเลยก็คือหมาของโจลที่ชื่อว่าบอย นับว่าเป็นหมาที่มีบทบาทและมีความสำคัญกับเนื้อเรื่องเป็นอย่างมาก มันมีผลต่อการเติบโตของตัวละครโจลไม่น้อย ในสถานการณ์ต่าง ๆ นั้น หมาก็เข้ามามีบทบาทได้ดี เอาเข้าจริง ๆ หมาตัวนี้มีบทบาทมากกว่าคนหลายคนในเรื่องด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นพระรองของเราเลยก็ว่าได้ครับ

นอกจากนี้ยังมีหุ่นยนต์ใจดีตัวสีเหลืองที่โจลไปพบในบ้านแห่งหนึ่ง  เป็นตัวละครที่ออกมาแค่ไม่กี่นาที แต่ก็สามารถแย่งซีนมากที่สุดในหนังเรื่องนี้ มันทำให้หนังมีอารมณ์ของความดราม่า ผสมกับความอบอุ่นได้ดีมาก ๆ และมีส่วนสำคัญมาก ๆ กับตัวละครโจล ผมเชื่อว่าหากใครได้ดูหนังก็คงจะ ติดใจกับหุ่นยนต์ตัวนี้ด้วยเช่นกัน

ฉากสนุกก็ถือว่าสนุกมาก ๆ นะครับ แต่ฉายที่ต้องการจะสอดแทรกอารมณ์ขันก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

ในแง่ของการแสดง ดีแลน โอ’ไบรอัน ที่รับบทเป็นโจลพระเอก ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีมาก ฉากที่ต้องแสดงสีหน้าความหวาดกลัวก็ทำได้ดี ฉากที่ต้องการจะดึงอารมณ์ก็ทำได้ดี นึกไปแล้ว ก็ทำให้เราคิดถึงหนังแจ้งเกิดของเขาคือ Maze Runner ไปด้วย แต่โดยส่วนตัวแล้วผมชอบที่เขารับบทเป็นโจลมากกว่า

ส่วนนางเอกของเรื่อง เอมี่ ที่รับบทโดยเจสสิกา เฮนวิก ในเรื่องผีมือการแสดงนั้นยังถือว่าไม่ได้โดดเด่นอะไรมากนัก แต่ความสวยน่ารักของเธอถือว่าชนะเลิศ ขโมยใจผมไปได้เต็ม ๆ เลยครับ

กล่าวโดนสรุป love and Monsters เป็นภาพยนตร์แนวครอบครัวที่มีความสนุกเกินคาด มีการให้ความหมายดี ๆ ในหลายแง่มุม มีความสนุกสนาน เพลินเพลิน และมีความบันเทิงไม่น้อย นับเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดชมด้วยประการทั้งปวง

7.5/10
@วาทิน ศานติ์ สันติ

#SuperReviewChannel
#loveAndMonsters

หมายเลขบันทึก: 690199เขียนเมื่อ 22 เมษายน 2021 07:53 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 เมษายน 2021 07:53 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท