วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ - ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ ผมไปร่วมเป็นวิทยากร ใน การอบรมเชิงปฏิบัติการ Developmental Evaluation (DE) ช่วงกลางน้ำ (ครั้งที่ ๒)จัดโดยมูลนิธิสยามกัมมาจล ให้แก่สำนักพัฒนาคุณภาพครู นักศึกษาครู และ สถานศึกษา ของ กสศ. ที่ต้องการใช้การประเมินในแนวทาง Developmental Evaluation มาเสริมพลังของภาคี เครือข่ายและโรงเรียนในโครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง รุ่น ๑ และรุ่นที่ ๒
ได้มีโอกาสไปเปิดกะโหลกเรียนรู้เทคนิคจัด workshop เพื่อพัฒนาทักษะการนำ DE ไปใช้งาน
ผมกล่าวเปิดการอบรมสั้นๆ โดยมี ppt ประกอบ จึงขอนำมา ลปรร. ที่ (๑)
ผมเคยโฆษณา DE สยามกัมมาจลโมเดลไว้ที่ (๒) บัดนี้ได้โอกาสเล่า ว่าทีมมูลนิธิสยามกัมมาจลทำหน้าที่พัฒนาทักษะ DE ให้แก่ทีมผู้ใช้ DE อย่างไร
คุณปิยาภรณ์ มัณฑะจิตร (เปา) ผู้จัดการมูลนิธิสยามกัมมาจล ตีความ DE โรงเรียนพัฒนาตนเองไว้ ว่าผู้ดำเนินการโครงการเป็นผู้ประเมิน DE ด้วย และกำหนดโครงสร้างของ DE ในช่วง ๑ ปี เป็น DE ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ดังนี้
Workshop DE ต้นน้ำจัดเมื่อวันที่ ๒๖ และ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๖๓ เพื่อ (๑) ออกแบบโครงการ (๒) ประเมินความซับซ้อนของ ecosystems (๓) กำหนด KRA (Key Result Area), KPI (Key Performance Indicators) (๔) กำหนด actions ที่จะทำให้เกิดผลตาม KRA/KPI ดังในแผนผัง
Workshop กลางน้ำ เป็นการติดตามผลของ actions และหารือแนวทางปรับ actions โดยพลังของ workshop อยู่ที่โจทย์ของแต่ละช่วง เพื่อให้แต่ละทีมโค้ชได้ปรึกษาหารือกันอย่างเข้มข้น (deliberation) โดยมีทีมวิทยากรกระบวนการช่วยอำนวยความสะดวก โดยมีเป้าหมายของกิจกรรม ๕ ประการคือ
Workshop กลางน้ำนี้มีการออกแบบกระบวนการและกิจกรรม และทดลองใช้ในทีมกระบวนกรถึง ๓ รอบ มีการปรับปรุงทุกรอบ จนเอามาใช้จริงในวันนี้ ในเวลา ๒ วันมีกิจกรรม ๖ ขั้นตอนคือ
ในแต่ละกิจกรรม วิทยากรมี template ของขั้นตอนเป็นตารางให้ดำเนินการ โดยทีมดำเนินการของแต่ละทีมโค้ชดำเนินการร่วมกัน ใช้ข้อมูลที่ตนไปดำเนินการในโรงเรียนช่วงเดือนตุลาคม - กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ดังนั้น DE สยามกัมมาจลโมเดล ที่ใช้กับโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง จึงเป็นDE ที่ ทีมดำเนินการ (ทีมโค้ช) เป็นผู้ประเมินด้วย ในกรณีนี้ ทีมปฏิบัติงานทำหน้าที่ประเมินตนเอง และ stakeholders ของแต่ละทีมที่มาเข้า workshop มีความหลากหลายน้อย คือมีสมาชิกทีมโค้ชกับครูหรือผู้อำนวยการโรงเรียนในการดูแลเพียง ๑ คน ประสบการณ์ tension ภายในทีม ของการประเมิน จึงมีไม่มาก
การทบทวนเป้าหมาย
ให้สมาชิกทีมแต่ละคนเขียนเป้าหมายที่ต้องการเห็นเมื่อสิ้นสุดโครงการ ๑ ปี เอามาเปรียบเทียบกัน โดยแต่ละคนอธิบายเหตุผล เพื่อกระตุ้นให้มีการฟังและต่อเติมความเห็นซึ่งกันและกัน และเปรียบเทียบกับ Vision, KRA, และ KPI ที่กำหนดไว้ตั้งแต่ workshop ต้นน้ำ
วิเคราะห์กิจกรรม
ให้ทำรายการกิจกรรมที่ได้ทำไปแล้ว ตามลำดับเวลา ระบุกลุ่มเป้าหมาย วัตุประสงค์ KRA/KPI
ประเมินผลลัพธ์ของแต่ละกิจกรรม
ให้สมาชิกกลุ่มแต่ละคนให้คะแนนแต่ละกิจกรรม ว่ามีความสำคัญต่อการบรรลุเป้าหมายของโครงการมากน้อยเพียงไร เรียงจากมาก (คะแนน ๓) ปานกลาง (คะแนน ๒) และน้อย (คะแนน ๑) โดยแต่ละคนอธิบายให้เพื่อนร่วมกลุ่มฟังถึงเหตุผลที่ให้คะแนนเช่นนั้น แล้วรวมคะแนน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ได้ทำไปแล้วต่อการบรรลุเป้าหมาย
วิเคราะห์ความซับซ้อนของกิจกรรม
สมาชิกกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ความซับซ้อนของแต่ละกิจกรรม ตัวอย่างปัจจัยของความซับซ้อนเช่น ความไม่แน่นอน ความยุ่งยาก การเข้าใจความหมายไม่ตรงกัน นำความเข้าใจความซับซ้อนนั้นมาประเมินระดับความซับซ้อนของแต่ละกิจกรรมที่ทำไปแล้ว ให้คะแนนความซับซ้อนเป็น สูง ปานกลาง ต่ำ
เลือก ๒ กิจกรรมที่ คะแนนสูงทั้งด้านความสำคัญและความซับซ้อน นำไปประเมินในขั้นตอนที่ ๕
การประเมิน
ผมตีความว่า ในทุกขั้นตอน มีเป้าหมายเพื่อให้ stakeholders ได้เปิดใจสานเสวนากัน รับฟังข้อคิดเห็นที่แตกต่างกัน ผมคิดว่า ควรมีตัวแทนของฝ่ายผู้ให้ทุน อยู่ในทุกกลุ่ม เพื่อให้มีมุมมองที่หลากหลายยิ่งขึ้น
Workshop วันแรกจบเวลา ๑๘.๒๐ น. ระหว่างนั้น ความอ่อนแอของบางทีมโค้ชก็เผยออกมา และการนำเสนอผลของขั้นตอนที่ ๕ (ประเมิน) เผย mindset ต่อการประเมิน ที่ยึดติด summative evaluation ก็โผล่ให้เห็น
ทีมวิทยากรที่เป็นกรรมการกำกับทิศของโครงการโรงเรียนพัฒนาตนเอง ประชุมนอกรอบกับ ดร. อุดม และ อ. อ้อยผู้บริหารโครงการว่า ทีมโค้ชที่แสดงอาการอ่อนด้อยด้านผู้รับผิดชอบโครงการต้องได้รับการเตือน และหากไม่ปรับตัว ก็คาดได้ว่าจะไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ควรยกเลิกสัญญา นี่คือประโยชน์อีกประการหนึ่งของ DE คือช่วยบอกเจ้าของทุน ว่าทีมงานใดที่กลไกคัดเลือกดำเนินการผิดพลาด และไม่ควรเสียเงินไปจนจบโครงการให้เปลืองเงินภาษีของประชาชน
วิจารณ์ พานิช
๑ มี.ค. ๖๔
ไม่มีความเห็น