สมาธิศึกษา: แม้แต่ต้นไม้ก็ยังยิ้มให้


มีข้อความเตือนตัวเองในใจของตนเองบ่อยๆว่า "เมื่อไรจะทำ...เมื่อไรจะทำ" สำหรับคนเกียจคร้านอย่างผม มักมีข้อความหักล้างตัวเองอยู่เสมอว่า "เดี๋ยวค่อยทำ...เดี๋ยวค่อยทำ" เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดมา

แต่...เช้าวันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้น หลังจากได้ยินเสียงอาซานมาทางฝั่งตลาดนัดพ่อพรหม มีความเข้าใจว่า น่าจะตีห้าแล้ว เพราะที่ผ่านมา หากได้ยินเสียงอาซาน ผมจะเปิดโทรศัพท์ดูเวลาและจะพบว่า ๐๕.๐๐ น.หรือคลาดเคลื่อนมากน้อยไม่กี่นาที แต่เช้านี้ผมไม่ได้ดูนาฬิกา 

เมื่อเห็นว่าปลอดจากความง่วงในระดับหนึ่ง จึงลุกขึ้นจากที่นอนเบาๆ เพื่อหวังว่าจะไม่ทำให้คนข้างๆต้องตื่นขึ้นเพราะเรา เดินไปเข้าห้องน้ำชิ้งฉ่องเพื่อหวังว่าขณะที่ไปทำอะไรบางอย่างที่คิดไว้ เรื่องราวที่ปกติของร่างกายจะไม่รบกวน เสร็จภารกิจนั้นจึงค่อยๆเปิดประตูเบาๆและปิดเบาๆ เพื่อไม่ให้เสียงรบกวนคนที่กำลังนอนหลับ เดินไปห้องข้างหลังคืออีกห้องหนึ่งของบ้านทาวเฮ้าสองชั้น มองเห็นผ้ารองนั่งได้รับการปูลาดไว้เป็นที่เรียบร้อยด้วยตัวของผมเองเมื่อหลายวันก่อน ผมไม่รอช้าในการนั่งขัดสมาธิ์ คำว่า "นั่งขัดสมาธิ์" คำนี้บ่งชี้ถึงการนั่งเพื่อทำสมาธิ แต่คำว่า "ขัด" น่าจะคือการที่ขาขวาและขาซ้ายขัดกัน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเรียกว่า "ท่าขัดสมาธิ์เพชร" จะชื่ออะไรอย่างไรก็ตามนั้น เพราะมันคือท่านั่ง แต่ท่านั่งของผมไม่ได้เป็นอย่างนั้น  เพราะเป็นการนั่งโดยขาขวาทับขาซ้าย ยืดตัวตรง ดังนั้น อาจจะเรียกว่า "นั่งทับสมาธิ์" กระมัง ความคิดนี้เกิดในขณะกำลังนั่งบันทึกเรื่องนี้อยู่

หลังจากนั่งขาขวาทับขาซ้ายบนผ้าปูนั่ง ยืดตัวตรง การนั่งตัวตรงนั้นผมโดนทำโทษมาตั้งแต่อายุ ๑๔-๑๗ หากผมนั่งตัวงอ หรือแม้แต่เพื่อนๆที่นั่งตัวงอ และถ้าอาจารย์ที่ดูแลเห็นเราเข้า ท่านจะเดินเข้ามาหยิกที่สีข้าง ในตอนนั้นได้แต่คิดว่า "โดนจนได้" แต่ตอนนี้มีความคิดว่า การที่สีข้างของเราเกิดความรู้สึกเจ็บเพราะการหยิกของอาจารย์ นั่นคือการเรียก "สติ" ของเรา ให้เรามี "ความรู้สึกตัว (สัมปชัญญะ)" คำไทยสั้นๆคือ "รู้ตัว" คำนี้มีการนำไปใช้อย่างที่หลายคนคิดไม่ถึงแม้แต่ผมด้วย เช่นข้อความว่า รู้ตัวบ้างไหมว่าทำอะไรอยู่ รู้ตัวบ้างไหมว่าคุณมีหน้าที่อะไรฯลฯ คำว่า "รู้ตัว" เป็นข้อธรรมที่ไม่น้อยหน้ากว่าข้อธรรมอื่นๆ จากการที่อาจารย์หยิกที่สีข้างเพราะผมนั่งตัวงอ เข้าใจว่า การทำแบบนั้นคือการทำให้จิตสำนึกเกิดการสำนึกหรือเตือนตนตลอดเวลาว่า ให้นั่งตัวตรง แต่นั่นแหละ หลังจากห่างเหินเดินออกจากอ้อมการดูแลของครูบาอาจารย์มาแล้ว ผมก็มักจะเลยเถิดตามอำเภอใจ อยากนั่งคู้ก็คู้ อยากนั่งเอนก็เอน แต่ทุกครั้งที่นั่งบนผ้าปูพื้นรองนั่ง ภาพของหลวงพ่อองอาจ (พระธรรมโกศาจารย์ องอาจ ฐิตธมฺโม) จะผุดขึ้นมาในความคิดเสมอ เป็นท่านั่งตัวตรง เท่าที่จำได้ หลวงพ่อท่านนี้ไม่ได้อบรมหรือสอนสั่งอะไรเรามามากมายเพราะไม่ได้อยู่สถาบันการศึกษาพื้นที่เดียวกัน แต่ผมมักเฝ้ามองสิ่งที่ท่านทำ (ปฏิปทา) /พฤติกรรมการใช้ชีวิตของท่านเสมอๆเมื่อพบท่าน และเคยคุยกับท่านนิดเดียวเมื่อสองปีที่ผ่านมานี้โดยการนำของอาจารย์ที่เคยดูแลผมมา การใช้ชีวิตของท่านโดยที่ท่านไม่สอน และเราก็ชื่นชมในปฏิปทาของท่าน ท่านจึงเป็นครูสอนให้เราอยากเป็นเช่นนั้น แต่ก็รับรู้ด้วยตัวเองว่า "เราเป็นไม่ได้ดอก" เหตุที่เป็นไม่ได้เพราะเราไม่มั่นคงและสติปัญญาห่างไกลจากท่านแบบมองไม่เห็น ล่าสุดที่เห็นท่าน ท่านนั่งตัวคู้แล้ว แต่ผมก็ไม่อยากนั่งตัวคู้ แต่แม้จะไม่นั่งตัวคู้ก็ต้องนั่งตัวคู้ด้วยเหตุอื่น ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

ขณะที่นั่งบนผ้าปูพื้นรองนั่ง ผมไม่ร้องรำทำเพลง มือขวาวางบนมือซ้าย มือซ้ายวางขนขาขวา และขาขวาวางบนขาซ้าย ขณะที่ขาซ้ายวางบนผ้าปูพื้นรองนั่ง ผมปล่อยให้ลมหายใจเป็นไปตามธรรมชาติ เช้านี้มีเสียงสัมผัสประสาทไม่น้อย เท่าที่จำได้เวลานี้คือ (๑) เสียงเพลงของน้องและเพื่อนที่ยังไม่นอนกันจนรุ่งสาง (๒) เสียงรถไม่บ่อยนัก เพราะบ้านอยู่ติดถนนสัญจรหลัก บางช่วงของการนั่งหลับตาและดู/รับรู้การพองขึ้นและยุบลงของท้อง ใจจะแวบไปที่เสียงนั้นและรับรู้ความรู้สึกของความไม่พอใจกับเสียงนั้น เมื่อเรารับรู้ความรู้สึกและเฝ้าดูว่าความรู้สึกไม่พอใจนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป ไม่พบการขยายขึ้นของความรู้สึกไม่พอใจนั้น ระหว่างนั่งหลับตาให้ลมหายใจเป็นไปตามธรรมชาติ และกำหนดการพองขึ้นและยุบลงของท้องในช่วงแรกรับรู้ความเป็นจริงของมันยากมาก ความเป็นจริงในความหมายนี้คือการพองขึ้นและยุบลงของท้องขณะที่ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก เป็นความพยายามจะทำตามที่เคยเข้าคอร์สอบรมมา จึงทำให้เกิดการเพ่งไปที่ท้อง มารู้ตัวอีกทีจากที่นั่งตัวตรงกลายเป็นนั่งคู้คอพับลงคล้ายกับกำลังจ้องมองท้อง ทั้งหมดอยู่ในขณะกำลังหลับตาแบบไม่เกร็ง มีข้อความที่เกิดขึ้นเพราะการเตือนตนเองด้วยตนเองว่า "อย่าเพ่ง" "ให้รับรู้การพองขึ้นและยุบลงของท้องเท่านั้น" "รับรู้ รับรู้ รับรู้" รับรู้ตามที่เกิดขึ้นจริงไม่ใช่เพ่ง ่ขณะที่เขียนนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่า แบบเพ่งกับแบบไม่เพ่ง (เพ่งหมายถึงเล็งการรับรู้ไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง) แบบใดคือแนวทางที่ถูกต้อง เท่าที่รับรู้คือ ถ้าเพ่ง ร่างกายของเราโดยเฉพาะตัวจะคู้งอและคอจะพับไปมองท้องขณะที่ตายังหลับ แต่ถ้าไม่แพ่งหากแต่คือรับรู้อาการพองขึ้นและยุบลง และประคองการรับรู้หากมีสิ่งใดกระตุ้นเรามากกว่าก็รับรู้สิ่งนั้นแล้วกลับมาที่การพองขึ้นและยุบลงของท้อง ขณะที่รู้ตัวด้วยว่ากำลังนั่งตัวตรงและรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวและภายในตน ตัวจะยังตรง

สิ่งที่ผมมักจะแพ้คือการเหน็บชาของขา เข้าใจว่าเกิดจากการที่ขาทับกันทำให้เลือดเดินไม่สะดวก ความเข้าใจนี้เกิดจากการคาดเดาเพราะไม่มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ความเข้าใจ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาว่าเกิดจากอะไร ปัญหาคือเมื่อเหน็บชาจับที่ขา ผมจะไม่พอใจมัน วันนี้มีความคิดผุดขึ้นแวบหนึ่งระหว่างที่พยายามทำตัวนิ่งๆเพื่อไม่ให้เหน็บชามันดิ้นรน ความคิดนั้นคือ เพราะเราเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นตัวตนของเรา เราจึงเจ็บปวดไปพร้อมกับมัน นี่คือการสร้างตัวตนจากที่ผ่านมา และคิดไปว่า (เป็นความคิดแบบบางๆไม่หนักแน่น) "ถ้าเราไม่เป็นเจ้าของตัวเรา เราก็จะไม่เจ็บ แต่เราจะไม่เป็นเจ้าของตัวเราได้ยังไง" เหน็บชาวันนี้เกิดไม่นาน ที่เกิดไม่นานเพราะการโยกตัวโดยค่อยๆโยกทีละนิดเพื่อคลายขาที่มีอาการเหน็บชา 

จากการต่อสู้กับเหน็บชาหรือเอาใจไปวุ่นอยู่กับเหน็บชาและการดูการพองขึ้นและยุบลงในช่วงแรก มีอยู่หลายครั้ง ข้อความผุดขึ้นในสมองว่า "พอเหอะ...กลับไปนอนเหอะ...ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นให้น่าชื่นใจเลย...ลืมตาขึ้นเหอะ" แต่ข้อความอันหนึ่งก็ผุดขึ้นมาหักล้างว่า "อย่าลืมตา" ขณะนั้นมีเสียงรถจักรยานยนต์คันหนึ่งผ่านหน้าบ้าน แต่ก็พยายามที่จะตัดความรู้ว่าเป็นจักรยานยนต์ออกไปให้เหลือเพียงเสียงที่กระทบหู มีความคิดขึ้นว่า "ที่บอกว่า ทุกอย่างเกิดดับตลอดเวลา เหมือนไฟนีออนที่เราเห็นนั้น แล้วเสียงล่ะเป็นอย่างนั้นไหม เต็ก เต็ก เต็ก เต็ก ที่สลับกันเร็วๆนี้คืออาการของการเกิดดับละมั้ง (เต็กว่างเต็กว่างแต๊กว่าง...)" ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นอีกว่า ที่ข้อความผุดขึ้นว่า "กลับไปนอนเหอะ...ลืมตาเหอะ" นี่คืออารมณ์ของความเบื่อหน่ายแน่ๆ เราอย่าเพิ่งลืมตาดีกว่า ดูมันไปเรื่อยๆ สักระยะหนึ่งกับการผ่านช่วงความคิดที่วุ่นวาย และอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นแบบวุ่นวาย จึงไปสู่การไม่พบความวุ่นวาย ข้อค้นพบในเวลานี้ซึ่งเกิดซ้ำคือ การจะไปสู่ความไม่วุ่นวายได้นั้นจะต้องพบกับความวุ่นวายอะไรต่อมิอะไรก่อนเสมอ คล้ายกับเดินออกจากพื้นที่หนึ่งผ่านประตูและอยู่ในอีกพื้นที่หนึ่ง เมื่อมาสู่ความไม่วุ่นวาย การยุบขึ้นและพองลงของท้องปรากฏชัดขึ้น โดยไม่ต้องเพ่งมองด้วยการรับรู้ข้างใน นั่งอยู่ช่วงระยะหนึ่งรับรู้ได้ว่า เหมือนว่าจะแจ้งแล้ว แต่ยังหลับตาอยู่ ขณะที่ความคิดหนึ่งหักล้างว่า จะแจ้งได้อย่างไรเพิ่งจะนั่งได้ไม่นานเลย ถ้าเสียอาซานคือสัญลักษณ์บ่งชี้ว่าตีห้าตอนเช้า การนั่งหลับตาที่ผ่านมาน่าจะประมาณ ๓๐ นาที ขณะหลับตาพยายามหาเหตุผลว่ามันแจ้งจริงหรือ ได้ยินเสียงคนมากขึ้น (แม่ค้าพ่อค้า) ก็น่าจะเป็นไปได้ว่าแจ้งแล้ว ข้อความที่ผุดขึ้นในสมองเถียงกันระยะหนึ่งจากความรู้สึกว่า แจ้งแล้ว เพราะเหมือนกับแจ้งแล้ว เพื่อพิสูจน์ด้วยประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสว่าแจ้งจริงหรือไม่ จึงลืมตาขึ้น ข้อถกเถียงข้างในก็ยุติลงเพราะแจ้งแล้ว

ไม่รอช้า ผมลุกขึ้นเดินออกจากห้องข้างหลังไปที่น้องนอน เห็นสาวน้อยกำลังลุกขึ้นพอดีแต่ยังนั่งบนที่นอน เข้าใจว่าเธอลุกขึ้นเพราะเสียงเปิดประตู ผมเหลือบไปดูนาฬิกาเวลา ๐๖.๓๐ น. เป็นช่วงเวลาที่สาวน้อยจะต้องลุกขึ้นจากที่นอน อาบน้ำ ไปทำงานเหมือนกับผม ขณะที่เธอเห็นผมเดินเข้ามา เธอถามว่า "ไปไหนมา" ผมไม่ตอบ และโยนตัวลงบนที่นอน นอนคว่ำฟุบหน้าลงบนหมอน เธอถามซ้ำว่า ไปไหนมา ผมก็ไม่ตอบ แต่มีความคิดผุดขึ้นมาว่า "จะไปไหนเล่า ก็อยู่ภายในบ้านนี่แหละ" ผมเปลี่ยนที่นอนไปเอี้ยวตัวไปกอดเอวเธอที่ยังนั่งอยู่บนที่นอน และใช้มือบี้หัวนมของเธอเล่น บางช่วงก็จับนมทั้งเต้าเลย รู้สึกนิ่มมือ แต่ไม่มีความรู้สึกเรื่องเพศ หากแต่เป็นสัญลักษณ์เพื่อจะบอกว่า เธอยังเป็นคนสำคัญ และฉันยังเห็นเธออยู่ ผมถามเธอว่า "เมื่อคืนนอนดึกใช่ไหม" เธอบอกว่า ก็ไม่ดึกเท่าไร แค่เที่ยงคืนเอง"  สุ้มเสียงที่ออกมาผมรับรู้ว่าอารมณ์ปกติ ช่วงนี้เธอกำลังคลั่งไคล้กับคอนเสิร์ตของค่ายสิงห์ กับหนุ่มน้อยและสาวทอม เรียกว่าติดงอมแงม ผมจะได้ยินเธอหัวเราะเสียงดังทุกคืนจากได้ดูการแสดงของค่ายนี้ แต่เมื่อคืนประมาณสี่ทุ่ม เธอหัวเราะเสียงดังเกินไป และการหัวเราะบางช่วงเป็นการหัวเราะเหมือนจะหัวเราะให้ผมเข้าไปมีส่วนร่วมกับการดูการแสดงกับเธอด้วย แต่รสนิยมต่างกัน ผมกลับไปเปิด youtube เป็นตลกฝรั่งแกล้งกัน เมื่อง่วงก็ปิดและนอนหลับ ช่วงหลังมานี้ผมนอนหลับก่อนเธอตลอด แต่ก็ตื่นเช้าก่อนเธอตลอด สิ่งที่น่าคิดคือ แม้รสนิยมต่างกันแต่ก็อยู่กันได้หากให้เวลาชีวิตของกันและกัน

เช้านี้ผมอาบน้ำแต่งตัวช้ากว่าสาวน้อย รีบลงไปชั้นล่างเพื่อจะปิดประตูโรงรถให้เธอโดยที่เธอถอยรถแล้วไม่ต้องลงมาปิดอีก แต่ลงไปหลังบ้านเห็นเธอกำลังจะปิดประตูโรงรถ ผมตะโกนออกไปว่า "เดี๋ยวพี่ปิดเอง เดี๋ยวพี่ปิดเอง" เธอมองมาหน่อยหนึ่งเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่า OK แล้วเดินไปขึ้นรถขับรถออกไปก่อน ส่วนผมหลังจากปิดประตูโรงรถเสร็จจึงไปที่ก๊อกน้ำ เปิดน้ำ ฉีดน้ำไปที่กระจกรถและหลังคารถ เพื่อล้างน้ำค้างที่เกาะอยู่ที่ตัวรถซึ่งจอดไว้ข้างบ้าน จากนั้นจึงขับรถตามเธอไป ระหว่างที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าวัดเพื่อวกไปสู่ถนนหลัก ลุงคนหนึ่งมองรถที่ผมขับแล้วยิ้มให้ แม้ผมขับเลยผ่านลุงคนนี้ไปแล้ว ท่านก็ยังมองตามและยิ้มให้ ทำให้ผมงง ว่าลุงยิ้มอะไร เพราะปกติคนหน้าบึ้งแบบผมไม่เข้าสังคมแบบผมไม่มีใครอยากสมาคมด้วยอยู่แล้ว แต่เช้านี้ลุงยิ้มให้อย่างงง เมื่อมาถึงที่ทำงานจึงจอดรถในลู่จอดแล้วแต่จะเลือกเพราะยังเช้าไม่มีรถ ผมเดินลงจากรถมองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งวัยกลางคนน่าจะอายุมากกว่าผม เธอมองมาที่เรา (อาจจะเป็นผมหรือรถก็ได้) และยิ้มให้ ผมมองกลับไปที่เธอ เธอก็ยิ้มให้แต่ไม่ใช่ยิ้มแบบหนุ่มสาว เป็นยิ้มที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไร เมื่อดูใจตัวเอง รับรู้ว่าใจเราไม่ปกติ ถ้าใจปกติคือมองแล้วนิ่ง แต่การมองเห็นหญิงวัยกลางคนแต่งตัวเรียบร้อยกางเกง ๕ ส่วนโทนขาว ใจเรากลายเป็นบวก ในใจมีความคิดผุดขึ้นว่า คุณป้าคงมาออกกำลังกาย แต่ดูรองเท้าไม่ใช่รองเท้ากีฬา หรือว่าเธอมาตรวจพื้นที่ก็ไม่แน่ใจ ผมเดินออกจากรถเพื่อไปซื้ออาหารและมองหันกลับมา มีความรู้สึกดีเมื่อเห็นเธอเดินอยู่ ก้มหน้าเดินต่อไปเป้าหมายคืออาหาร มองเห็นทางเดินมีมะขาวตกอยู่ฝักหนึ่ง เป็นฝักเล็กๆ เปลือกส่วนหัวกระเทาะออก เป็นการแสดงให้เห็นว่า กำลังมันควาย (มันควายคือยังไม่แก่ และไม่อ่อน เปลือกกำลังล่อน) ผมเงยหน้าขึ้นเห็นต้นมะขามใหญ่สองมือโอบไม่พอ กิ่งก้านแผ่ออก มองไปที่ต้นมะขามตรงหน้า ดูเหมือนต้นมะขามมีรัศมีเปล่งปลั่ง ข้อความนี้ก็ผุดขึ้นในความคิด "เมื่อจิตใจสดชื่น แม้แต่ต้นไม้ก็ยิ้มให้เรา" 

หลังจากซื้ออาหารเสร็จก็เดินหลั่นล้ากลับมาที่รถ หยิบโทรศัพท์เดินกลับไปถ่ายฝักมะขามและต้นมะขาม เข้าห้องทำงาน โอนถ่ายข้อมูลแล้วเดินออกมา....

๒๕๖๔๐๒๒๔

๑๐.๑๐ น.

หมายเหตุ เนื้อหาที่เขียนนี้ยังไม่มีการตรวจต้นฉบับ กรณีมีการเขียนผิดหลัก ขอให้ใช้ "ความน่าจะเป็น" ในการทำความเข้าใจ

หมายเลขบันทึก: 689138เขียนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2021 10:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มีนาคม 2021 11:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท