๘๖๕. ประวัติศาสตร์ของผืนนา


ประวัติศาสตร์ของผืนนา

เมื่อวานเย็น...อาจารย์ภัครพาพ่อ-แม่ ลูก-หลาน ไปดูนากันที่ทุ่งสาน อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งพ่อเรกับแม่บุษ วางแผนกันไว้ว่า ต่อไปยกให้ลูกชายสองคน คนละ ๒๐ ไร่ พวกเธอจะต้องดูแลต่อจากพ่อกับแม่ เพราะที่นาผืนนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เกือบ ๘๐ ปี...นาของเราเป็นนาอกแตก มีลำคลองใหญ่ไหลผ่านผืนนาของพวกเรา...จึงทำให้ผืนนาของเรามีสองฝั่ง...ฝั่งที่เราไปจะมีผืนนาเป็นผืนใหญ่ ของแม่บุษมี ๔๐ กว่าไร่ และมีของน้าหมูอีก ๒๐ กว่าไร่...อีกฝั่งจะมีพื้นที่เพียง ๔ ไร่ ของน้าหมู ๑ ไร่...ซึ่งพวกเราเตรียมทำบางสิ่งเอาไว้ในอนาคตกันค่ะ...

สมัยนั้นกว่าจะได้มาเป็นโฉนดจับจองกรรมสิทธิ์กันในผืนนาผืนนี้ มีเรื่องเล่าต่อรุ่นสู่รุ่น...จนรัชกาลที่ ๙ ต้องลงมาจัดการให้กับประชาชนในสมัยนั้น...สำหรับตาทวดนั้นได้มาแค่ ๔๐ กว่าไร่ ซึ่งสมัยก่อนจับจองกันได้เป็นร้อย ๆ ไร่ แต่ก็ต้องแบ่งให้คนอื่นได้ทำกินกันบ้าง...ดังนั้น พวกเราจึงทราบและรับรู้ว่าจะไม่ขายนาผืนนี้ ต้องรักษาให้ได้นานเท่านาน เท่าที่จะทำได้...ซึ่งคนส่วนใหญ่จะขายไปกันหมดแล้ว มีแต่ครอบครัวของแม่บุษที่ยังไม่ยอมขาย เพราะเห็นถึงประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ ที่ผ่านมา ทำให้ครอบครัวของเราได้เรียนรู้อย่างมากมาย

ที่นาผืนนี้ ตาทวดได้ยกให้แม่บุษ ๒๐ กว่าไร่ น้าหมู ๒๐ กว่าไร่...สำหรับพ่อเรได้ทำการซื้อต่อจากคนอื่นอีก ๒๐ กว่าไร่ สมัยนั้นพ่อเรซื้อประมาณ ๗ หมื่นบาท แต่มา ณ ปัจจุบันแม่บุษเห็นเขาขายกันอยู่ประมาณ เกือบ ๒ ล้านบาทแล้ว...เล่นเอาแม่บุษตกใจว่า อะไรมันจะขนาดนั้น

ปัจจุบันนาผืนนี้ เป็นโฉนดทุกผืน และปลอดจำนองทุกผืน ทำให้พวกเราภูมิใจ จะเก็บรักษาไว้ในได้นานเท่านาน เป็นผืนที่ทำมาหากินต่อไปในอนาคต...ด้วยอำนาจบารมีของรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงโปรดดูแลประชาชนให้มีพื้นที่ได้ทำมาหากินส่งลูก-หลานได้เรียนสูง ๆ และกลับมาพลิกผืนดินจากรุ่นสู่รุ่น สิ่งที่ตอบแทนได้ คือ การเป็นคนดีต่อทุกคนและต่อสังคม ชุมชนของตนเอง ไม่กระทำตนให้เป็นที่เดือดร้อนของผู้อื่น

สุดท้าย หากเกษียณ เราคงต้องกลับมาดูแล...ซึ่งนำความรู้ที่เราได้เรียนรู้มาทั้งชีวิต นำมาปรับ ประยุกต์ให้กับลูก-หลาน ได้สืบสานต่อไปได้...ช่วงนี้ โควิด กำลังแพร่ ระบาดอยู่ ยังคิดทำอะไรไปไกลไม่ได้นัก จึงต้องปลูกข้าวไปพลางก่อน ซึ่งได้เจ้าตัวเล็กของแม่บุษ ได้ดูแล สืบสานต่อจากอาชีพเดิมของตาทวด...ณ ปัจจุบันนี้ นายเก่งมากลูก "ทักษะชีวิต" ที่นายได้ฝึก รับไปเต็ม ๆ ลูก นี่ถือว่า "นายก็ได้ประสบผลสำเร็จในชีวิตไปครึ่งหนึ่งแล้วนะลูก"

ในการไปดูบรรยากาศที่ท้องนาของครอบครัวเรา ทำให้เห็นภาพบรรยากาศของท้องนาในยามเย็นที่ดูแล้วเพลินตา มีความสุขอย่างมากนำมาฝาก พวกเด็ก ๆ ก็รู้สึกมีความสุขที่ได้เห็น ได้เรียนรู้จากธรรมชาติกันค่ะ...สำหรับเด็ก ๆ ได้เรียนรู้ความเป็นธรรมชาติของชีวิตครอบครัวของตนเองไปได้ในตัว...

ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติเข้ามาในบันทึกนี้ค่ะ

บุษยมาศ แสงเงิน

๑๗ มกราคม ๒๕๖๔

และวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๖๔ พ่อเพรียง พ่อของพี่ฟ้าคราม+พี่สกาย เตรียมหว่านปุ๋ยกันอีกแล้วค่ะ นายเก่งมากลูก ไม่จ้าง ลงมือทำด้วยตัวของนายเอง...การที่มนุษย์เราจะมีความสุขนั้น มิจำเป็นที่จะต้องมีบ้านหลังใหญ่โต รถยนต์คันหรู มีเงินในแบงค์มากมาย แต่ไม่มีความสุข...แต่หากขึ้นอยู่กับใจเราที่ฝึกให้เรียนรู้ชีวิตจริง และอยู่ตามธรรมชาติแค่นั้นเอง...ชีวิต คือ การทำมาหากิน เลี้ยงชีพให้อยู่รอด และมีความสุขเท่านั้น



ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท