ฮา มาเก็ตติ้ง เรื่อง ตลก ปั่นกระแส
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อาจารย์ประจำบัณฑิตวิทยาลัย ม.พิษณุโลก
ต้องยอมรับกันว่า วัฒนธรรมไทยหรือคนไทยส่วนใหญ่ ชอบเรื่องราวที่ตลก สนุกสนาน มากกว่า ชอบเรื่องที่เครียดๆหรือเรื่องที่จริงจัง ฉะนั้นการนำเอา ความขำ อารมณ์ขำ อารมณ์สนุก มาใช้เพื่อสร้างความจดจำให้กับสินค้า บริโภค และสร้างแบรนด์จึงสมควรทำเพื่อให้เป็นที่จดจำได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ดังเราจะเห็น โฆษณา ไม่ว่าวิทยุ หรือ โทรทัศน์ ได้นำเรื่องขำขัน มาสร้างเป็นเรื่องราวจนคนดูคนฟังติดตรา
ตรึงใจ ซึ่งโฆษณาแนวตลก เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ สร้างสุขให้ผู้คน มากกว่าโฆษณาธรรมดาๆ ทั่วไป หลายโฆษณาได้ผ่านมาเป็นเวลานานแล้ว แต่คนก็ยังจดจำกันได้อยู่
เช่น โฆษณา แฟลตปลาทอง เปิดตัวคอนโดมิเนียม เมื่อประมาณปี 2525 โดยได้รวบรวมดารา
ตลก มาแต่งตัวเป็นซุป'ตาร์หรือบุคคลที่มีชื่อเสียงในระดับโลก คนดู ดูทีไรก็อดขำไม่ได้ กล่าวคือ Superstar ตลกทั่วฟ้าเมืองไทยในยุคนั้น คือ ล้อต๊อก, ชูศรี มีสมมนต์, โน้ต เชิญยิ้ม, น้อย โพธิ์งาม, ดอน จมูกบาน และ เทพ โพธิ์งาม
สิงห์คะนองนา ก็ได้นำเสนอเรื่องราวว่าด้วย ฮีโร่หรือพระเอกขับรถอีแต๋นไปช่วยหญิงสาวหรือ
นางเอกที่ถูกจับ โดยมีการตีหรือเฆี่ยนรถอีแต๋น ทำเหมือนอย่างกับเฆี่ยนม้าให้วิ่งได้เร็วขึ้น และยังมีวลีเด็ดคือ “ สงสัยทั่นรองจะถูกยิง” ทำให้คนดูอดหัวเราะไม่ได้ ในสมัยนั้น
โฆษณา "ป.ปลานั้นหายากต้องลำบากออกเรือไป.." หรือ ‘อาเม้ง ป.ปลา’ ก็นำบทกลอน ที่คนฟังคน
ดูเคยท่องจำจนขึ้นใจ ในวัยเด็ก ออกมาประกอบการโฆษณาในแนวณรงค์รักษ์โลกจากโครงการรวมพลังหารสอง ซึ่งบทกลอนมีดังนี้ ‘ป.ปลา นั้นหายาก ต้องลำบากออกเรือไป ขนส่งจากแดนไกล ใช้น้ำแข็ง เปลืองน้ำมัน แช่เย็นก็เสียไฟ หุงต้มไซร้แก๊สทั้งนั้น พลังงานต้องหมดกัน โอ้ลูกหลานจำจงดี’
เพราะสังคมไทยชอบตลก ไม่ชอบความเครียด อย่างว่าแต่การโฆษณาในโทรทัศน์ แม้แต่หนังหรือภาพยนตร์ก็เช่นกัน ก็ได้นำเอาเรื่องตลกหรือมุขตลกมาใช้ในหนังจนสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
ตัวอย่างหนังตลกทำเงิน ทุบสถิติสร้างรายได้ให้แก่ผู้สร้างเพราะถูกจริตสังคมไทย เช่น "พี่มาก พระโขนง"
เป็นภาพยนตร์ไทยที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2556 แนวโรแมนติก-สยองขวัญ-ตลก ซึ่งดัดแปลงจากเรื่องแม่นากพระโขนง ผีพื้นบ้านไทย นำแสดงโดย มาริโอ้ เมาเร่อ เป็นพี่มาก กับดาวิกา โฮร์เน่ เป็นแม่นาก
"เดี่ยว ไมโครโฟน" ของโน้ต อุดม เปิดกันมายาวนานจนถึงเดี่ยว 12 เปิดแสดงแต่ละครั้ง คนดูกันถล่มทลาย โดย เดี่ยวไมโครโฟนครั้งที่ 1 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 23-25 สิงหาคม พ.ศ. 2538 ที่ หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิต
อาคารเมืองไทย-ภัทร คอมเพล็กซ์
หนังสือตลกอย่างหนังสือ “ขายหัวเราะ” หาอ่านกัน เจ้าตำรับหนังสือขำขันอายุยาวนาน 42 ปี โดย
หนังสือ “ขายหัวเราะ” เปิดตัวครั้งแรกในวันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2519 เป็นนิตยสารที่นำเสนอการ์ตูนตลกสามช่องจบ หรือ การ์ตูนแก๊กเกือบตลอดทั้งเล่ม ภายในลงพิมพ์เรื่องขำขันแทรกเป็นช่วงๆ และเรื่องสั้นสามเรื่องในแต่ละฉบับ ซึ่งไอเดียในการเขียนการ์ตูนแก๊ก ขำขัน และเรื่องสั้น
ซึ่งหากวิเคราะห์และพิจารณากันจริงๆแล้ว มุขตลกหรือมุขฮาจะเกิดจาก 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ
1.มุขหักมุม ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวที่คนฟังหรือคนดู คาดไม่ถึง คิดไม่ถึง เป็นเรื่องที่ผิดแผกแตกต่างจากสิ่งที่คนฟังหรือคนดูคิดหรือคาดว่าจะเป็น
2.มุขเกินจริง เป็นมุขตลกที่โอเวอร์หรือเกินจริง
3.มุขที่เกิดจากการใช้ภาษา เช่น มุขล้อเลียน มุขการพูดผิด มุขการเขียนผิด
สำหรับการนำอารมณ์ขันหรือความขำขัน มาใช้ไม่ควรยาวจนเกินไป เช่นการทำโฆษณาเนื้อหาไม่ควรเกิน 15 นาที เพราะถ้าหากยืดยาวจนเกินไป จะทำให้ความขำจะเฝื่อน อีกทั้งไม่ควรนำ มุขหรือตลก ที่เกี่ยวกับเรื่องของ ศาสนา มาเล่นเพราะจะสร้างความขัดแย้งได้ง่าย
อีกทั้งการนำมุขตลกมา ควรใช้มุขตลกให้สอดคล้องกับสินค้า บริการหรือผลิตภัณฑ์ของเราด้วย เพราะมุขตลก บางมุขอาจเหมือนตลกคาเฟ่ ซึ่งไม่เหมาะกับสินค้าของเรา ซึ่งสินค้าของเราดูแล้ว ลูกค้าหรือผู้ดูต้องการความเชื่อมั่นหรือต้องการความมั่นใจ
ดังนั้น นักการตลาดที่ทราบถึงวัฒนธรรมไทยที่ชอบความสนุก ทำให้นักการตลาดจำนวนมากได้นำความบันเทิงมาใช้เพิ่มอีกเพื่อผสมผสานให้ดียิ่งขึ้น กล่าวคือนอกจะนำเรื่องตลก มุขตลก มาใช้แล้วยัง มีเรื่องของ เกมส์การแข่งขัน การเล่นเกมส์ การถามแล้วตอบคำถามเพื่อมอบของรางวัล มาผสมผสานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำการตลาดได้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งในยุคปัจจุบัน การทำอะไรไม่ควรทำเฉพาะเรื่อง แต่ควรทำอย่างผสมผสานกัน และต้องอาศัยเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ ความคิดต่าง ความคิดเชิงแกะดำ เข้ามาช่วย เพราะการทำอะไรเหมือนกับคนอื่นหรือแบบคนอื่น ไม่ทำให้เกิดความน่าสนใจหรือเกิดความแตกต่าง นักการตลาดควรมีมุมมองหรืออะไรที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ก็จะทำให้เกิดความน่าสนใจและเกิดแรงดึงดูดมากยิ่งขึ้น
ปัจจุบัน สื่ออินเตอร์เน็ตหรือสื่อออนไลน์ เป็นที่นิยมของคนรุ่นใหม่และมีคนใช้เป็นจำนวนมาก หากนักการ
ตลาดท่านใด สามารถนำเอาเรื่องขำขัน เรื่องสนุกสนาน ไปใช้ในการลงสื่อ ออนไลน์เช่น Facebook , Youtube , TikTok ฯลฯ ก็จะเป็นที่จดจำได้อย่างรวดเร็วและสามารถสร้างแบรนด์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
ไม่มีความเห็น