การปรับเปลี่ยนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมาดำเนินการไปแล้ว ๒ ครั้ง คือปี ๒๕๔๔ เปลี่ยนจากหลักสูตร content-based เป็น standards-based ต่อมาปี ๒๕๕๑ เปลี่ยนเป็นหลักสูตรแกนกลาง ที่ ดร. วัฒนาพร ระงับทุกข์ รองเลขาธิการ สพฐ. รายงานต่อคณะกรรมการกำกับทิศ ในคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ว่า “เป็นการปรับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ในเรื่องของมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด โดยปรับลดจำนวนตัวชี้วัดลง และปรับกระบวนการต่าง ๆ ให้นำไปสู่การปฏิบัติมากขึ้น ทำให้อิสระบางเรื่องของสถานศึกษาลดลงด้วย เช่น อิสระในการกำหนดจำนวนเวลา จำนวนชั่วโมง โครงสร้างหลักสูตร ก็กลายมาเป็นการกำหนดจากส่วนกลางลงไป เพื่อที่จะให้คงมาตรฐานขั้นต่ำของประเทศไว้”
คณะกรรมการกำกับทิศ ในคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตั้งขึ้นเพื่อช่วยกำกับให้การปรับเปลี่ยนหลักสูตรไปเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะ ก่อผลดีต้อผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนอย่างแท้จริง
ผมได้กล่าวแล้วในบันทึกชุด หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน นี้ ว่า ที่การพัฒนาหลักสูตรสองครั้งที่ผ่านมาประสบความล้มเหลวก็เพราะใช้กระบวนทัศน์ที่ผิดในการจัดการการเปลี่ยนแปลง ที่ภาษาการจัดการสมัยใหม่บอกว่าใช้ Theory of Change (TOC) ที่ผิด คือคิดว่า การพัฒนาหลักสูตรบนฐานของทฤษฎีที่มีความแม่นยำละเอียดลออ แล้วสั่งการให้โรงเรียนและครูนำไปใช้ จะเป็นวิธีที่ได้ผล โดยมีการฝึกอบรมครูและผู้บริหารโรงเรียนช่วยเสริม
TOC ข้างบนผิด ก็เพราะอยู่บนชุดความคิดว่า การเปลี่ยนหลักสูตร ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนกระบวนการจัดการเรียนการสอน เป็นกระบวนการที่เป็น simple & linear เมื่อมีเอกสารหลักสูตร และคู่มือดำเนินการตามหลักสูตรอย่างชัดเจน ครูย่อมทำตามได้ และย่อมทำให้ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนดีขึ้น สมมติฐานนี้ไม่เป็นจริง ไม่ส่งผลให้ผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักเรียนดีขึ้น อาจตกต่ำลงด้วยซ้ำไป อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน
วิจารณ์ พานิช
๑๒ ส.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น