บ่ายวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๓ ผมเข้าประชุมคณะกรรมการกำกับทิศในคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครั้งที่ ๑/๒๕๖๓ คณะกรรมการชุดนี้แต่งตั้งโดยเลขาธิการ กพฐ. มี ดร. กฤษณพงศ์ กีรติกร เป็นประธาน มีกรรมการรวมทั้งประธานรวม ๑๔ คน ผมเป็นหนึ่งในนั้น มี ดร. รัตนา แสงบัวเผื่อน ผอ. สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ. เป็นกรรมการและเลขานุการ ผู้ติดต่อผมไปเป็นกรรมการคือ ดร. เบญจลักษณ์ น้ำฟ้า อดีตรองเลขาธิการ กพฐ. และทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการด้านพัฒนาสมรรถนะและขอบข่ายการเรียนรู้ ซึ่งเป็นหนึ่งในหกคณะกรรมการ ของคณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ผมจึงโชคดี ที่ได้เข้าไปเรียนรู้ bureaucracy ของ สพฐ. ได้เรียนรู้ว่า คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตรฯ นี้มี ๖ ชุด ได้แก่
ในคณะกรรมการชุดที่ ๔ ยังมีคณะอนุกรรมการอีก ๑๐ ชุด งานพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานคราวนี้จึงเป็นงานใหญ่มาก คงจะใช้ทรัพยากรของชาติไม่น้อย
ผมนั่งฟังการนำเสนอแผนดำเนินการพัฒนาหลักสูตร และข้อคิดเห็นของกรรมการที่ถือเป็น “ผู้รู้” ทางการศึกษา เพื่อเรียนรู้ “กระบวนทัศน์” ของวงการศึกษาไทย แล้วสรุปกับตัวเองว่า เป็น “กระบวนทัศน์รวมศูนย์” โดยที่ท่านเหล่านี้ต่างก็มีความปรารถนาดีต่อระบบการศึกษาไทยอย่างยิ่ง ต้องการช่วยกันฟื้นคุณภาพการศึกษาไทยให้ได้
นอกจาก “กระบวนทัศน์รวมศูนย์” ยังมี กระบวนทัศน์ “ทฤษฎีนำ ปฏิบัติตาม” อยู่ในการออกแบบกระบวนการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานนี้ ที่ผมตีความว่า เป็น theory of change (TOC) ว่า การยกระดับคุณภาพการศึกษาทำได้โดยการยกร่างหลักสูตร ลงรายละเอียดต่างๆ แล้วสั่งการให้โรงเรียนและครูนำไปใช้
TOC นี้ นำไปสู่ linear model ของมาตรการปฏิรูปการเรียนรู้ตามที่ทาง สพฐ. เสนอ ซึ่งในภาษาของการจัดการตามที่ผมเรียนรู้มา เป็น command & control model ซึ่งผมเชื่อว่า จะไม่ได้ผล เพราะระบบการศึกษาไม่ได้เป็น simple system แบบระบบการผลิตในอุตสาหกรรม แต่มันเป็น complex – adaptive systems (CAS) หรือ chaordic (1) ผมเข้าใจว่า ในอดีตที่ผ่านมา เราเพลี่ยงพล้ำเรื่องคุณภาพการศึกษาก็เพราะตั้งทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงผิด ใช้ mindset ในการจัดการการเปลี่ยนแปลงที่ผิด
ผมจึงเสนอต่อที่ประชุมว่า ผมอยากเห็น “หลักสูตรในนักเรียน” และ “หลักสูตรในโรงเรียน” “หลักสูตรในห้องเรียน” ไม่ใช่ “หลักสูตรในกระดาษ” ซึ่งหมายความว่า ผมต้องการเห็น ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามที่ยกร่างกันมาในนักเรียน ไม่ใช่แค่หลักสูตรในกระดาษ กับประกาศใช้ รวมทั้งการฝึกอบรมครู ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล ต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า ๒๐ ปี
แนวคิดแบบ CAS ช่วยสะกิดผมว่า ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่นักเรียนมีสมรรถนะสำคัญตามที่ยกร่างมา มีอยู่แล้วในโรงเรียนจำนวนหลายร้อยโรงเรียน เพราะประเทศไทย และวงการศึกษาไทยเราโชคดีที่มี ผู้นำการเปลี่ยนแปลง ที่จัดโรงเรียนทางเลือก เช่น โรงเรียนรุ่งอรุณ โรงเรียนลำปลายมาศพัฒนา โรงเรียนเพลินพัฒนา ดำเนินการมาเกือบยี่สิบปี และพิสูจน์ว่าได้ผลดี จนมีโรงเรียนในระบบของ สพฐ. และ อปท. หลายร้อยโรงเรียนดำเนินการตาม เมื่อมีกระแสหลักสูตรฐานสมรรถนะ ก็พบว่าโรงเรียนกลุ่มนี้ใช้หลักสูตรฐานสมรรถนะอยู่แล้ว
ดังนั้น หากจะให้เป้าหมายของกรรมการชุดนี้ได้ผล ควรเปลี่ยน TOC เปลี่ยนยุทธศาสตร์ ไปเป็นยุทธศาสตร์ใช้โรงเรียนเป็นฐานของการสร้างการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ใช้กระดาษ (และอำนาจส่วนกลาง) เป็นฐานสร้างการเปลี่ยนแปลง ดำเนินการขยายผลจากโรงเรียนที่ดำเนินการอยู่แล้ว
โชคดีที่ท่านประธานคิดแบบเดียวกัน ท่านจึงสรุปทิศทางการดำเนินงานพัฒนาหลักสูตรฐานสมรรถนะ ให้ดำเนินการแนวนี้ แต่ถ้อยคำของท่านนุ่มนวลกว่ามาก
ผมจ้องเรียนรู้ต่อ ว่าในทางปฏิบัติ ทาง สพฐ. จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
วิจารณ์ พานิช
๑๕ ก.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น