จากบันทึก Goto Ph.D.ฉบับแรกที่ลงท้ายไว้ว่า แล้วจะยังไง? มาในฉบับนี้จึงเห็นว่าควรอธิบายขยายความคิดว่า เหตุใดจึงใช้คำพูดที่อ่านแล้วดูจะเข้าใจยากสักหน่อย เพราะหากเรียนมาถึงขนาดนี้ ก็น่าจะจบแบบ happy ending ซิ (หมายถึงได้รับปริญญาแล้ว) ไม่น่าจะตั้งคำถามให้ตัวเองงงมากขึ้นไปอีก แต่นั่นเป็นการตั้งคำถามรอไว้ล่วงหน้า เพราะขณะนี้ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่ง เพราะประโยคที่ว่า "แล้วจะยังไง" เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นจริงๆ ขณะกำลังท้อแท้ว่าจะสอบผ่านหรือไม่ คิดไปล่วงหน้าว่า เวลานี้ทั้งเซ็ง ทั้งเบื่อ ทั้งเหนื่อยจนไม่อยากจะเรียนต่อแล้ว เวลาที่ผ่านมา 2 ปี กับค่าเรียนที่ซื้อรถได้หนึ่งคัน กับงานที่ไม่ก้าวหน้า เพราะใช้เวลาไปกับการเรียนเสียมากกว่า จะเอาทุกอย่างทิ้งไปดีมั๊ย บั้นปลายชีวิตน่าจะมีความสุขขึ้น แต่พอวันที่อารมณ์สงบก็คิดได้อีกว่า น่าเสียดายที่ทุ่มเททั้งเวลา ความตั้งใจและเงินทองที่ไม่ได้หามาง่ายๆไปกับการเรียน (รวมทั้งตำราอีกสองตู้ใบใหญ่) ที่สำคัญกว่านั้นคือคิดว่าอย่างน้อยก่อนจะจากโลกนี้ไป ก็ยังคงเหลือความภาคภูมิใจให้ลูกหลานซักอย่างละว่ามีย่า/ยาย เพียรพยายามจนจบปริญญาเอกตอนอายุ 60 ปี
จึงมาถึงบทสรุปค่ะว่า "ไม่ยังไงแล้ว" แต่จะขอดั้นด้นเรียนต่อให้จบเมื่ออายุ 60 ค่ะ
ไม่มีความเห็น