2-3 เดือนที่ผ่านมา(กุมภาพันธ์ – เมษายน 2563) พ่อเห็นลูก กุลีกุจอ ทำสิ่งแปลกตา แปลกใจพ่อ ตั้งแต่การปรับพื้นที่โรงทำแผ่นยางพารามาเป็นโรงเรือนเพาะชำ ลูกซื้อดินปลูก มะพร้าวสับ ถังฉีดพ่นยา ถังรดน้ำ ตาข่ายสแลนบังแดด ปุ๋ย สารบำรุงพันธุ์ไม้ เมล็ดพันธุ์พืชและต้นกล้า มาจากร้านตัวแทนขายของพวกนี้หลายต่อหลายแห่งในตัวเมืองบ้าง จากร้านขายของใกล้บ้านบ้าง
พ่อเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้จากตัวลูก ในช่วงเวลาอันเลวร้ายระดับโลกเลยก็ว่าได้ ที่มันส่งผลกระทบกับทุกคนและทุกประเทศทั่วโลก จากเหตุการณ์ภาวะโรคระบาดร้ายแรงที่ติดต่อกันทำให้ผู้คนล้มตาย ดั่งใบไม้ร่วง โรคติดต่อจากไวรัสที่ฆ่าชีวิตผู้คนในประเทศต่างๆทั่วโลก ที่ต่างหวาดกลัวภัยอันร้ายกาจนี้ หลายต่อหลายคนบอกว่า สิ่งนี้แหละ!!คือสงครามอันเลวร้ายที่ยิ่งกว่าสงครามโลกครั้งไหน ๆ ที่เกิดบนโลกใบนี้ หลายต่อหลายคนบอกว่านี่คือ...อุบัติการณ์ใหม่ของโรคจากไวรัสที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง...โรคติดต่อจากไวรัสตัวนี้ก็คือ...ไวรัสโควิด-19
โรงเรียนและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศปิดยาว แรก ๆ เด็ก ๆ ก็ชอบใจกันอยู่ นั่นอาจเป็นเพราะ... เด็ก ๆ มองโรคนี้แบบผิวเผิน คิดว่าเดี๋ยวมันก็หาย แล้วก็กลับมาใช้ชีวิตได้ดั่งเดิม แต่นานวันเข้ามันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เด็ก ๆ อยู่บ้านนาน สิ่งที่พ่อได้เห็นจากลูกชาย ที่ลูกเปลี่ยนไปกว่าเดิม ในขณะที่ลูกสาวนั้นก็ยังคงเส้นคงวามาตลอด มีมุมใส ๆ กุ๊กกิ๊ก ๆ น่ารักๆ ที่เห็นแล้วก็ชื่นใจทุกครั้งไป (เห็นแล้วมันมีความสุขว่างั้นเถอะ) ซึ่งต่างจากลูกชายที่เขามีมุมที่เราเป็นห่วงเขามากกว่า แต่มาวันนี้ วันที่ลูกชายเขากลับมานั่งผสมดิน ปลูกผักในแปลงเพาะ นำต้นกล้ามะเขือบ้าง ต้นกล้าพริกบ้าง มาลงถุงเพาะ และนำไปเรียงเอาไว้ในแปลงหลายร้อยถุง รวมถึงต้นกล้าบางส่วน ลูกก็เอามันไปปลูกลงดินท้ายสวนหลังบ้าน
ลูกชายทำแบบนี้..อย่างนี้มาเป็นเดือน จากที่มองเหมือนไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง มันก็มองเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น กล้าพันธุ์พริกและกล้าพันธุ์มะเขือต้นเล็ก ๆ ที่ลูกปลูก แรก ๆ มันมองดูกระย่องกระแย่งไม่น่าจะแข็งแรง ซึ่งตัวพ่อเองมองว่า..ไม่รู้มันจะรอดหรือมันจะตาย แต่พ่อก็เห็นลูกนั่งดูแลมันอย่างนั้นทุกวัน รดน้ำ ฉีดยาบำรุง หายามาดักตัวหอยทากที่แอบมากินใบอ่อนต้นไม้ในตอนกลางคืน ทั้งจากในแปลงเพาะ และจากที่ลูกปลูกเอาไว้ท้ายสวนหลังบ้าน
ลูกพูดกับพ่อว่า .. “เพชรจะปลูกมะเขือกับพริกเอาไว้ให้ย่าขายที่ตลาดนัด” ลูกพูดกับพ่อเพียงเท่านั้น
พ่อเห็นสิ่งที่ลูกทำ...มะเขือกับพริกที่ลูกปลูกมันมากมายขนาดนั้น ลูกจะเอามันไปปลูกลงดินที่ไหนหมด และย่าของลูกก็คงนั่งขายมะเขือกับพริกให้ลูกได้ไม่ไหวหรอก เพราะมันมากมายเหลือเกิน หลายร้อยต้นจากที่พ่อมอง
สิ่งนี้เองที่ทำให้พ่อคิดต่อว่า... “เราจะช่วยลูกอย่างไร? เพื่อให้เขามีแรงจูงใจในสิ่งที่เขาทำต่อไป” ซึ่งมันเป็นเรื่องดีที่เราสมควรส่งเสริมสร้างแรงจูงใจให้ลูกมิใช่หรือ? และมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่ลูกจะมานั่งทำแบบนี้ ปลูกผักขายหารายได้พิเศษ ดีเสียอีก ลูกจะได้มีรายได้ มีแรงจูงใจและภูมิใจในสิ่งที่ลูกทำ ลูกมีเงินใช้ มีเงินเก็บและที่สำคัญลูกได้ใช้เวลาว่างที่ลูกมีให้เป็นประโยชน์ ดีกว่าที่วันหนึ่ง ๆ ลูกจะนั่งคิดถึงแต่เพื่อน แบมือขอเงินแต่พ่อ และไปไหนต่อไหน ซื้อโน้นนี่นั้น!! ลูกได้เอาเวลาแบบนี้ ช่วงเวลาเช่นนี้ มาอยู่กับน้อง ชวนน้องทำสิ่งดีๆ มีประโยชน์ ลูกได้มีเวลานั่งคิดและนั่งคุยอยู่กับตัวเอง... จะใช้ชีวิตอย่างไร จะทำตัวแบบไหน ทำอย่างไรให้ผักที่ปลูกไว้มันรอด มันงาม มีลำต้นที่สมบูรณ์ แข็งแรง ฯลฯ
สิ่งที่พ่อคิดนี้... เพราะพ่ออยากให้ลูกนั้นมีแรงจูงใจ จากความตั้งใจที่ลูกได้ลงมือทำ ซึ่งมันมีค่ามากกว่าเงินที่พ่อจะให้ ณ เวลานี้เสียอีก สิ่งนั้นก็คือ ความภาคภูมิใจของลูกในสิ่งดี ๆ ที่ลูกทำ ลูกจะได้มีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งดีๆอย่างอื่นต่อไปอีก ที่ไม่ใช่เพียงแค่การปลูกผักขาย..แล้วลูกก็ได้เงิน นั่นเป็นเพียงแค่รางวัลตอบแทนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น...ที่ลูกได้
อย่างน้อยวันนี้ ลูกได้ทำบางสิ่งที่สามารถเป็นแบบอย่างให้ตัวเอง ให้กับน้อง ให้กับครอบครัว และในฐานะที่ลูกเป็นพี่ชายคนโต วันหนึ่งข้างหน้าซึ่งลูกจะต้องเติบโตขึ้น รับผิดชอบอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น ลูกได้หลายอย่างทั้งต่อตัวลูกเอง ทั้งการซึมซับให้น้องได้เลียนแบบ...ทำตามในสิ่งดี ๆ ที่ลูกทำ ได้ทั้งความอดทน ความขยัน กล้าคิด กล้าทำในสิ่งดีงามที่ลูกไม่เคยคิดหรือทำมาก่อน.....
ตรงนี้แหละ!!ที่พ่อชื่นชม…
วันที่พ่อมองดูลูกทำในสิ่งนี้ ลูกอาจยังไม่รู้เลยว่า...ปลายทางที่ลูกทำนั้นมันจะเป็นเช่นไร มันจะออกหัวหรือออกก้อย ลูกจะขายได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พ่อได้เห็นสิ่งหนึ่งจากตัวลูก นั่นก็คือ “ความสุข” ความสุขทางใจที่ลูกได้ทำ ที่มันออกมาจากหัวใจของลูกเลยทีเดีย พ่อว่า... มันใช้ได้ทีเดียวแหละ!!
ชีวิตที่มีค่านั้น....ก็คือการสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง
วันนี้พ่อกำลังเห็นสิ่งนี้... จากตัวลูก
มันอาจจะมองไร้ค่าก็ได้นะ.... หากวันที่ลูกกำลังเริ่มต้นทำสิ่งใดก็ตามที่มันมีค่าต่อตัวลูกเองและต่อคนรอบข้างแล้ว มันล้มเหลว เพราะขาดแรงจูงใจ แรงส่งเสริม แรงผลักดัน ให้ลูกทำสิ่งดี ๆ และมีประโยชน์ต่อตัวลูกเอง ต่อคนรอบข้าง และต่อคนอื่น
พ่อจะหาใครดีละ!! ที่จะมาเป็นผู้ต่อจิ๊กซอตัวสำคัญนี้...ให้กับลูก
พ่อกลับมานั่งนึกนั่งคิด...แล้วพ่อก็ได้คำตอบว่า วันหนึ่งพ่อเคยพาลูก ๆไปซื้อต้นแคคตัส ที่ร้านป้ารัศมี และพ่อก็ได้ติดต่อกลับไปที่ป้ารัศมี แค่เพียงการพูดคุยกันเพียงไม่กี่ประโยค พ่อก็ได้รับคำตอบจากป้ารัศมีว่า “ยินดีค่ะ”
คำว่า “ ยินดีค่ะ” นี่แหละ!! แต่มันเป็นจุดเปลี่ยนจุดสำคัญของเด็ก ๆ เลยทีเดียว
“ชีวิตที่มีค่านั้น....ก็คือการสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง ซึ่งวันนี้พ่อได้เห็นสิ่งนี้จากตัวของลูก
และที่มากไปกว่านั้น วันนี้พ่อได้เห็นชีวิตที่มีค่าของผู้อื่น ที่อยู่จรรโลงสังคม เกื้อกูลผู้อื่นด้วย”
ขอบพระคุณป้ารัศมีมากนะครับ..ที่พ่อและตัวลูกทั้งสองได้มีโอกาสพบเจอคนดีของสังคมอีกท่านหนึ่ง ณ สถานที่แห่งนี้ ที่นี่@แคคตัส ศูนย์การเรียนรู้ค่ายวิภาวดี ป้ารัศมี โทร. 084-6760400
ไม่มีความเห็น