เห็นผลการประเมิณโรงเรียนของ สมศ. แล้วเหนื่อยกับการจัดการศึกษาของไทย นี้ขนาดประเมินแบบ กัลยาณมิตร นะครับยังผ่านการประเมินเพียง 34% โรงเรียนเอกชนผ่าน 49% ถ้าประเมินโดยศาลไคฟง ของท่านเปาวุ่นจิ้น คงจะผ่านแค่ 5% แน่ๆครับ
ถึงแม่ว่าโรงเรียนรัฐและเอกชน ต่างก็โดนต่อยนับ8 ทั้งสองฝ่าย แต่ด้วยความเข้มเอาจริงเอาจังกับการกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด จึงทำให้โรงเรียนเอกชน ชนะคะแนนแบบมีแผลแตกทั้ง2ฝ่าย
ในฐานะที่ผมเป็นครูมา 23 ปีได้เห็น ความจริง(แท้)ของการทำงานในองค์กรของครูที่เราเรียกว่าโรงเรียนของรัฐ และมีโอกาสสัมผัสกับการทำงานของโรงเรยนของเอกชนทั้งหมด ทำให้เห็นมุมมองในวัฒนธรรมการทำงานของทั้ง 2 ฝ่ายของบังอาจเปรียบมวยคู่เอกให้ดูหน่อยครับ
ร.ร. เอกชน
ร.ร. รัฐ
มีคนตั้งคำถามว่าปัญหาเหล่านี้ที่เกิดขึ้นในองค์กรทางการศึกษาหัวใจของปัญหาคืออะไร ..................... ตอบ อยู่ที่การบริหารจัดการขององค์กรเอง.... ถามต่อ แล้วใครเป็นผู้กุมหัวใจนี้ไว้............ ตอบ .......... ผู้บริหาร ครับ...ถูกต้องแล้วครับ
สิ่งที่มองเห็นชัดเจนของการบริหารในองค์กรที่เรียนว่าโรงเรียน(ส่วนมาก) ยังใช้วัฒนธรรมการบริหารแบบเก่าๆ โดยวิธีการสั่งการจากเบื้องบน คนในองค์กรมีหน้าที่อยู่ 2 อย่าง ข้อ1ต้องปฏิบัติตายคำสั่งอย่างเคร่งครัด ข้อ2 ถ้าไม่เข้าใจกลับไปอ่านข้อ 1
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะปรับเปรี่ยนวิธีคิดการบริหารองค์กรให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร ที่จะต้องร่วมรับทั้งผิดและชอบร่วมกัน มุ่งสู้เป้าหมาย เดี่ยวกัน เมื่อทุกคนรู้หน้าที่ รู้การจัดการตัวเองได้แล้วทุกคนในองค์กรจะเป็นผู้บริหารกันทุดคน
แวะมาทักทายครับ
ผมกลัวแต่มวยล้มครับ อาจารย์ศิริพงษ์
ขอเป็นแรงใจครับ
อุทัย
โรงเรียนของรัฐมีอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ ๆ
1. โรงเรียนขนาดเล็ก
- นักเรียน้อยกว่า 500 คน เป็นโรงเรียนประจำหมู่บ้านและตำบล
- นักเรียนน้อย สติปัญญาด้อยถึงปานกลาง
- เงินค่าหัวน้อยจึงมีงบบริหารจัดการแบบปากกัดตีนถีบ แค่ค่าน้ำค่าไฟยังต้องผ่อนส่ง
- ครูมีน้อย คาบสอนมาก กรอบงานหรืองานพิเศษนอกเหนือจากการสอนเท่ากับโรงเรียนขนาดปลาง ใหญ่ และใหญ่พิเศษ เกือบทุกคนจึงควบตำแหน่ง ครู ภารโรงและพนักงานสำนักงานไปพร้อม ๆ กัน ประเภทครูไทยทำได้ทุกอย่าง จนไม่มีเวลามากพอที่จะพัฒนาและสอนศิษย์
2. โรงเรียนขนาดกลาง นักเรียน 501 - 1,000 คน เป็นโรงเรียนประจำตำบล
- มีนักเรียนมากพอสมควร ระดับสติปปัญญามีทั้งด้อย ปานกลางและดีแต่มีน้อยและอำเภอขนาดเล็ก
- เงินค่าหัวเพิ่มขึ้นแต่จะไม่พอถ้าบริหารจัดการไม่เป็น เช่น ให้แต่ผู้บริหารไปราชการจนกลายเป็นงบราชเกิน
- จำนวนครูมีปานกลาง แต่กรอบงานเท่ากัน จำนวนคนที่แบ่งเบาภาระงานสอนและงานพิเศษเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่เพียงพอ งานจึงหนักเหมือนเดิม
3. โรงเรียนขนาดใหญ่
ถ้าคาดหวังให้ทุกคนเป็นผู้บริหารร่วมกันทั้งหมด คงหมดหวังกับกระทรวงศึกษาธิการที่รักของเราแน่นอนพี่พงษ์
ถ้าคาดหวังอยากได้โรงเรียนอย่างที่ว่า ต้องออกไปตั้งโรงเรียนเอง กับเพื่อน พ้อง น้องพี่ที่มีใจ และมีทุนด้วยค่ะ
3. โรงเรียนขนาดใหญ่
- นักเรียน 1,001 - 1,500 (ไม่แน่ใจ)
- ระดับสติปัญญา มีทั้งอ่อน ปานกลางและดี แต่ส่วนใหญ่จะมีปัญหาสมองไหล นักเรียนเก่งไหลไปอยู่โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศา โรงเรียนดังทั้งหลาย
- เงินค่าหัวมากขึ้น เงินบริจาคมากขึ้น บริหารจัดการได้สะดวก
- จำนวนครูมีเพียงพอและขาดบางสาขาวิชา จำนวนคาบสอนไม่มาก งานหน้าที่พิเศษมีทำเป็นบางคน บางคนไม่ทำก็อยู่ได้
4. โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ
- นักเรียนมากกว่า 1,500 คน บางโรงเรียนถึง 5,000 คนก็มี
- เงินงบประมาณค่าหัวมากมายมหาศาล รวมทั้งเงินเต็มใจบริจาคและฝืนใจบริจาคก็มากมาย จึงสามารถนำเงินไปพัฒนาบุคลากร สื่อและกิจกรรมการสอนได้ดี ไม่เหมือนโรงเรียนขนาดเล็ก ทุกอย่างครูต้องบริจาคหรือจัดหามาเองตามกำลังความสามารถ
- นักเรียนมีทั้งอ่อน ปานกลาง ดี และดีมาก จำนวนมาก เมื่อมีคนเก่งมาก แข่งขันอะไรก็ชนะ ชื่อเสียงโรงเรียนจึงโด่งดัง
- มีครูล้นงาน บางคนสอนน้อยมากสัปดาห์หนึ่งประมาณ 12 ชั่วโมง ซึ่งต่างจากโรงเรียขนาดเล็กที่มีคาบสอนโดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 24 ชั่วโมง ต่างกันสองเท่าตัว งานหน้าที่พิเศษไม่พอกับจำนวนครู ครูจึงมีเวลาว่างมาก มากจนมีเวลาเปิดสอนพิเศษตามบ้านเพื่อสร้างรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 5,000 บาท ที่สำคัญครูที่ไม่น่าเป็นครูบางคนบังคับให้นักเรียนไปเรียนเพื่แลกกับเกรด ผู้บริหารรู้ แต่ไม่ทำอะไร ...ผู้ปกครองรู้แต่เลือกไม่ได้ถ้าลูกจะมีผลการเรียนต่ำ ครูหลาย ๆ คนจึงไหลไปอยู่โรงเรียนประเภทนี้กันหมด
เมื่อการศึกษาสร้างความไม่เท่าเทียมมาตั้งแต่ต้นจะคาดหวังให้การประเมินผ่านเหมือนกันหมด จึงเป็นเหมือนความฝัน ฝันกลางวันที่ฝันยังไม่จบก็ตื่นก่อนเพราะบรรยากาศไม่เป็นใจ