๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ๑๕.๓๐ - ๑๗.๓๐ น.
ดูประเด็นย่อ และรายชื่อวิทยากรได้ที่ (๑) นี่คือห้องย่อยที่ถกเถียงกันเรื่องคุณโทษของ digital innovation และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะ disrupt ระบบสุขภาพ ผมจ้องไปฟังว่า เขาจะเอ่ยเรื่อง technology disruption ต่อระบบสุขภาพอย่างไร
แต่จริงๆ แล้วผมตั้งโจทย์ผิด โจทย์ของเขาคือจะเตรียมการณ์ให้ Digital Innovation เกิดผลยกระดับ UHC ได้อย่างไร คือเขาใช้ positive mindset
คำตอบคือต้องเอาใจใส่คุณภาพของข้อมูล การเชื่อมโยงข้อมูล และการเข้าถึงข้อมูล เพื่อดำเนินการ machine learning ที่จะนำไปสู่การพัฒนา Client-Centered Health Systems
ความจริงที่เจ็บปวดคือ พัฒนาการด้านนี้เปิดกว้าง ในสภาพที่กลไกควบคุมโดยภาครัฐไม่มีทางเอาอยู่ เป็นการต่อสู้กันระหว่างนักพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ส่วนบุคคลหรือกลุ่ม กับนักพัฒนาเพื่อประโยชน์สาธารณะ ที่จริงธรรมาธรรมะสงครามนี้มีมาชั่วกัปชั่วกัลป์พร้อมกันกับการมีมนุษย์
ที่ประชุมพูดกันเข้าไปในเรื่องเทคโนโลยี ที่ประยุกต์ใช้ได้ในทุกขั้นตอนของระบบสุขภาพ ไม่ใช่เฉพาะเพื่ออำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้และผู้ให้บริการ ยังใช้ตรวจสอบการโกง และการใช้บริการอย่างไม่สมเหตุสมผลได้อีกด้วย
รวมทั้งยังสามารถนำเอา non-health data เข้ามาบูรณาการกับ health data หาความหมาย หรือตรวจสอบ หรือตรวจจับ พฤติกรรมต่างๆ ในระบบสุขภาพได้ ช่วยให้ระบบ UHC มี SAFE ยิ่งขึ้น ระบบสุขภาพมี EQE (Equity, Quality, Efficiency) ยิ่งขึ้น
ที่สำคัญ พัฒนาการด้าน digital technology จะสร้างการเปลี่ยนแปลงของหลายส่วนในระบบสุขภาพ เช่น พยาบาลทำหน้าที่แทนหมอได้ ในหลายกิจกรรมบริการ ที่เรียกว่า task shifting ทำให้การกำกับดูแลระบบสุขภาพ มีสภาพเป็นความสัมพันธ์แนวราบเชิงเครือข่ายมากขึ้น แทนที่สภาพควบคุมสั่งการอย่างในปัจจุบัน
Digital revolution เป็นการเปิดโอกาส ทั้งเทพและมารใช้โอกาสนี้ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเทพหรือมารจะบรรลุเป้าหมายก่อน หรือครองระบบได้
วิจารณ์ พานิช
๓ ก.พ. ๖๓
ไม่มีความเห็น