การประชุม PMAC 2020 จริงๆ จัดระหว่างวันที่ ๓๑ มกราคม - ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ เป็นเวลาสองวันครึ่งเหมือนทุกปี แต่ปีนี้จำนวนผู้เข้าร่วมประชุมจำนวนมากถล่มทลาย มีคนมาขอเข้าอีกจำนวนมากแต่รับไม่ได้
หลังจากผมอ่านรายงานถวาย และกรมสมเด็จพระเทพรัตน์ฯ กล่าวเปิด ก็เป็น opening speech ของ ๔ ท่านดังนี้
Professor Ralf F.W. Bartenschlager
ผู้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ปี ๒๕๖๒ สาขาการแพทย์ จากผลงานการพัฒนายารักษาโรคไวรัสตับอักเสบ ซี เพื่อป้องกันโรคตับแข็งและมะเร็งตับ เล่าว่าผลงานของท่านมาจากความหลงใหลในวิชาชีววิทยา และพฤกษศาสตร์ ตอนเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย ไฮเดลแบร์ก ท่านอยากทำวิจัยด้านอณูชีววิทยาของพืช แต่ที่มหาวิทยาลัยไฮเดลแบร์กไม่มีสาขานั้น ท่านจึงหันไปทำด้านอณูชีววิทยาของไวรัสแทน ได้ศึกษาวิธีเปลี่ยนแปลงจีโนมของไวรัส
เมื่อจบปริญญาเอกก็ได้จับทำวิจัยจีโนมของไวรัสตับอักเสบ ซี ที่ห้องปฏิบัติการของบริษัทเอกชน ได้ศึกษาจีโนมของไวรัส แล้วย้ายไปมหาวิทยาลัย Mainz เพื่อหาวิธีพัฒนายาต้านไวรัสตับอักเสบ ซี ซึ่งในการนี้ต้องเพาะเลี้ยงไวรัสในเซลล์เพาะเลี้ยงให้ได้ไวรัสจำนวนมาก แต่หาวิธีอยู่ ๖ ปี ก็ไม่สำเร็จ ต่อมาได้ลองปรับเปลี่ยนยีนของไวรัสเล็กน้อย จึงเพาะเลี้ยงไดหสำเร็จ นำไปสู่การค้นพบโปรตีนของไวรัสที่ใช้เป็นเป้าของยาต้านไวรัสได้
จึงพัฒนายาจำพวก DAA (Direct Acting Antiviral) สำหรับบำบัดการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี ได้ คนที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัส ซี เมื่อได้รับยานี้ ๑๒ สัปดาห์ หายขาดร้อยละ ๙๕ ท่านบอกว่า การค้นพบ DAA ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการพัฒนาวัคซีน ที่จะช่วยคนที่เป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังที่โรครุนแรงมากแล้วได้ จะเห็นว่า ท่านยังเห็นลู่ทางทำวิจัยเรื่องไวรัสตับอักเสบ ซี ต่อไปอีก
Professor David Mabey
ผู้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ปี ๒๕๖๒ สาขาสาธารณสุข เล่าเรื่องเหมือนๆ กับที่เล่าในการบรรยายที่ศิริราช เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม
Mr. Ban Ki-moon
อดีตผู้อำนวยการใหญ่องค์การสหประชาชาติ ชาวเกาหลี บอกว่า PMAC ได้เป็นเวทีที่สำคัญที่สุดเวทีหนึ่งของโลก ในเรื่อง Global Health ซึ่งการระบาดของ Wuhan Corona Virus ที่กำลังขยายตัวในปัจจุบัน เตือนว่า เรื่องสาธารณสุขได้เป็นเรื่องระดับโลกชัดเจนแล้ว โลกจะต้องร่วมมือกันในการดำเนินการยกระดับสุขภาวะของผู้คน ไม่ใช่แต่ละประเทศดำเนินการแบบแยกส่วนกัน และเป็นการย้ำเตือนความสำคัญของ UHC
ท่านมาพูดในฐานะรองประธานของหน่วยงาน The Elders ซึ่งมีเป้าหมายรณรงค์ UHC โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่สภาพของ UHC ยังมีอีกหลายประเทศที่ดำเนินการไม่จริงจัง มีผลการวิจัยบอกว่า ประเทศที่ประชาชนต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ารักษาพยาบาล (ที่เรียกว่า out-of-pocket spending) สูง อัตราการเกิดเชื้อดื้อยาจะสูงด้วย นอกจากนั้น มาตรการ UHC ยังจะช่วยการบรรลุเป้า SDG ตัวอื่นๆ ด้วย เช่นการลดความยากจน
ท่านบอกว่า มีตัวอย่างประเทศที่ดำเนินการ UHC ประสบความสำเร็จ รวมทั้งประเทศไทย ทำให้รู้ว่ามาตรการใดได้ผล มาตรการใดไม่ได้ผล ประเด็นที่ถกเถียงกันมานานคือเรื่องเงินสนับสนุนระบบ UHC ว่าควรมาจากภาครัฐ (public) หรือจากประชาชน (Private) เอง เป็นหลัก บัดนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เงินสนับสนุนหลักต้องมาจากภาครัฐ ซึ่งก็คือมาจากภาษีที่เก็บจากประชาชน หรือมาจากเงินที่รัฐกับประชาชนร่วมกันจ่ายสะสมไว้ ที่เรียกว่าระบบประกันสังคม (social insurance) ต้องทำให้การจ่ายโดยตัวประชาชนเองน้อยที่สุด ยิ่งจ่ายจนสิ้นเนื้อประดาตัว (เขาเรียกว่า catastrophic illness) ต้องไม่มี คือต้องมีระบบดูแลสุขภาวะของคนทั้งสังคม ต้องไม่ปล่อยให้มีคนที่ต้องดิ้นรนจ่ายเงินบำบัดรักษาโรคของตนเอง ที่เรียกว่า leave no one behind
ย้ำว่า เงินสนับสนุนระบบ UHC ต้องเป็น “เงินส่วนรวม” (public money) ไม่ใช่เงินส่วนบุคคลของแต่ละคน ผมตีความว่า ปัจจัยหลักที่สนับสนุนระบบการเงินเพื่อ UHC คือ collective mind ซึ่งตรงกันข้ามกับ individual mind
ระบบ UHC ของประเทศต่างๆ เริ่มจากการจัดระบบการเงิน เกาหลีใต้เริ่มปี ค.ศ. 1977, สหราชอาณาจักรปี 1948, ญี่ปุ่น 1961, ไทย 2002 โดยที่ประเทศไทยเริ่มทันทีหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ และดำเนินการตรงกันข้ามกับคำแนะนำของธนาคารโลก ซึ่งในที่สุดก็พิสูจน์ว่า ธนาคารโลกแนะนำผิด
ท่านให้คำแนะนำแก่ประเทศยากจน ที่เวลานี้งบประมาณภาครัฐด้านสาธารณสุขน้อยกว่า 1% GDP ให้เตรียมเพิ่มสองถึงสามเท่าภายในสิบปี โดยให้ลำดับความสำคัญต่อค่าใช้จ่ายไปที่บริการสาธารณสุขมูลฐาน (Primary Health Care) ประเทศยากจนเหล่านี้มักอยู่ในอัฟริกาส่วนใต้ทะเลทรายสะฮารา และในเอเชียใต้ แต่ก็มีตัวอย่างประเทศในพื้นที่นี้ที่มีระบบบริการสุขภาพที่ดี เช่น ศรีลังกา
ท่านบอกว่าตัวอย่างของประเทศที่แสดง political commitment ต่อ UHC คือ จีน กับไทย ตรงตามคำของเลขาธิการองค์การอนามัยโลกท่านปัจจุบัน คือ Dr. Tedros ว่า UHC เป็น political choice ท่านยกตัวอย่างหลายประเทศที่ผู้นำทางการเมือง ริเริ่มดำเนินการระบบ UHC หากประเทศใดที่ political commitment ต่ำ ขอให้บอก The Elders จะช่วยเข้าไปร่วมผลักดัน เพื่อร่วมกันทำให้โลกมีสุขภาพดีขึ้น
ผมขอเพิ่มเติมว่า ระบบ UHC ของประเทศไทยเกิดจากการผลักดันของคนในระบบสุขภาพเอง ที่ทำงานวิจัยเชิงระบบ และเชิงเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข เตรียมข้อมูลเอาไปเสนอนักการเมือง เสนอรัฐบาลแรกเขาไม่รับ พอเปลี่ยนรัฐบาลเสนอใหม่ คราวนี้รับ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พรรคการเมืองนั้นได้เสียงเลือกตั้งสูงมากมาจนปัจจุบัน
HRH Princess Dina Mired
เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์จอร์แดน (๑) และเป็นนักรณรงค์เพื่อแก้ปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะเรื่องมะเร็ง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง คำปราศรัยของท่านมีพลังสมความเป็นนักรณรงค์ ว่าเราต้องช่วยกันกดดันรัฐบาลต่างๆ ให้ดำเนินระบบ UHC ท่านอ้างข้อมูลจาก WHO Healthcare Monitoring Report 2019 ว่าเกือบครึ่งหนึ่งของพลเมืองโลก เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ และแต่ละปี คน ๑๐๐ ล้านคนในโลก ตกเข้าสู่สภาพยากจน จากค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และหากสภาการณ์ยังดำเนินไปอย่างเดิน ในปี 2030 จะมีคนถึง ๕ พันล้านคน ที่เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ
ท่านเอ่ยถึง UNGA ในปี 2019 ที่เรียกร้องทุกประเทศให้ดำเนินการ UHC ท่านเสนอ key success factors ของ UHC ของประเทศดังนี้
เจ้าหญิงย้ำคำของ Dr. Tedros, WHO DG, ว่า Health is a political choice
วิจารณ์ พานิช
๔ ก.พ. ๖๓
1 Ralf Bartenschlager
2 David Mabey
3 Ban Ki-moon
4 HRH Princess Dina Mired
ไม่มีความเห็น