หนังสือ Political Order and Political Decay : From the Industrial Revolution to the Globalization of Democracy (2014) โดย Francis Fukuyamaปราชญ์ด้านประวัติศาสตร์การเมือง บอกว่าประชาธิปไตยถึงคราวเสื่อม ไม่สามารถอำนวยชีวิตที่ดี ที่น่าพอใจ ให้แก่คนส่วนใหญ่ได้
นี่คือผลการวิเคราะห์ภายใต้ความคิด USA-centric นะครับ ผมไม่คิดว่าสภาพนี้เป็นประเด็นหลักสำหรับสังคมไทย ผมจะบอกตอนท้ายว่าผมมองการเมืองเรื่อง รัฐ-ราษฎร์ ในบริบทไทยอย่างไร
แต่การอ่านความคิดของ ฟรานซิส ฟูกูยามา ประเทืองปัญญายิ่ง ผมจึงให้เขาช่วยเคาะกะโหลกของผม และนำมาเผื่อแผ่ หากผมตีความผิดก็ขออภัยนะครับ
เขาบอกว่า สังคมอเมริกันรุ่งเรืองเพราะความเข้มแข็งของคนชั้นกลาง แต่บัดนี้คนชั้นกลางของอเมริกาอ่อนแอลง ระบบเศรษฐกิจและการเมืองเอื้อต่อคนชั้นกลางน้อยลง และรายได้ของคนชั้นกลางลดลงในมุมของการเปรียบเทียบ และคนชั้นกลางจำนวนหนึ่งถอยลงไปเป็นคนจน คนชั้นกลางเป็นกลุ่มคนที่นิยมชมชอบประชาธิปไตย และเสรีภาพส่วนบุคคล สังคมที่มีคนชั้นกลางในสัดส่วนที่มาก จะมีผลให้เศรษฐกิจเติบโต การศึกษาดี สุขภาพดี และสังคมมั่นคง สภาพดังกล่าวเชื่อมโยงกับการที่คนชั้นกลางมีวินัยในการทำงาน มีวินัยในตนเอง และเน้นการออกหรือการลงทุนระยะยาว
ที่สำคัญในช่วงนั้น เทคโนโลยีสร้างงานให้แก่คน แต่สมัยนี้เทคโนโลยีทำให้คนตกงาน
นั่นคือสภาพที่ขึ้นสูงสุดตอนกลางศตวรรษที่แล้ว ตอนผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน เมือง แอนน์ อาเบอร์ เมื่อปี ค.ศ. 1967 ก็ยังเห็นสภาพนั้นอยู่ แต่ต่อมาอีก ๔ ปี อ. หมอสรรใจ แสงวิเชียร ไปเรียนที่เดียวกัน เล่าให้ผมฟังว่าสังคมเสื่อมลงไปมาก
หลังจากนั้น สถานะด้านรายได้และการมีงานทำของคนชั้นกลางอเมริกันก็เสื่อมลง ส่วนหนึ่งเพราะโลกาภิวัตน์ งานไหลไปสู่ประเทศที่ค่าแรงต่ำกว่า อีกส่วนหนึ่งเพราะเงินไหลไปที่คนรวย ในปี 1970 คนรวยที่สุดร้อยละ ๑ ของประชากร มีรายได้ร้อยละ ๙ ของ จีดีพี ในปี 2007 ตัวเลขนี้เท่ากับ ๒๓.๕
การเมืองอเมริกันค่อยๆ ก้าวสู่ระบบ lobbyist ที่ธุรกิจใหญ่ จ้างนักวิ่งเต้นให้เจรจากับนักการเมือง ให้ออกนโยบายที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของตน ไม่ใช่ผลประโยชน์ของส่วนรวม การเมืองอเมริกันจึงเอื้อประโยชน์คนรวยมากขึ้นเรื่อยๆ ผมขอเพิ่มเติมว่า ระบบดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นพิษร้ายต่อประเทศอื่นๆ ในโลกด้วย ดังกรณีธุรกิจยาสูบ ยา และสารเคมีเป็นพิษ ผมเคยได้ยินว่า ทูตอเมริกันคนหนึ่งเคยขอพบ รมต. สาธารณสุขไทยท่านหนึ่ง และต่อว่าเรื่องนโยบายยาของไทยฉอดๆ เมื่อที่ปรึกษา รมต. ที่รู้จริง มีหลักฐานว่าเราทำถูกกติการะหว่างประเทศ เขาก็เงียบ
มีตัวอย่างระบบผลประโยชน์ทางการเมืองที่ทำลายระบบเพื่อส่วนรวม แสวงประโยชน์ส่วนย่อยเป็นหลัก อีกมากมาย เป็นระบบการเมืองที่ถดถอย จากการเมืองเพื่อประชาชน เป็นการเมืองเพื่อคนรวย หรือธุรกิจใหญ่ สถาบันการเมืองจึงอ่อนแอลง ราษฎรเสื่อมศรัทธาการเมือง เห็นไส้ประชาธิปไตยจอมปลอม
ปัจจัยเสื่อมประการที่สาม สถาบันการเมืองปรับตัวไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ของสังคมและของคน
กลับมาที่ประเทศไทย ระบบการเมืองของเรายังไปไม่ถึงประชาธิปไตยแท้ แต่คนชั้นกลางของเราก็เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศแล้ว ข้อสงสัยคือ คนชั้นกลางของเรามี work ethics และ personal ethics สูงอย่างอเมริกันในอดีตค่อนศตวรรษก่อนหรือไม่ คำตอบชัดเจนคือไม่
คุณภาพพลเมืองสร้างได้ นั่นคือความเชื่อของผม และนั่นคือสิ่งที่ผมตั้งหน้าตั้งตาทำให้แก่สังคม ในชีวิตยามชรา แต่ก็ยังมีประเด็นสำคัญคือระบบต่างๆ ในสังคม ที่จะต้องเข้มแข็งในการทำงานเพื่อคนส่วนใหญ่ ที่เรายังไปไม่ถึง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำให้ดีขึ้นไม่ได้
เราจะช่วยกันทำได้ เมื่อคนไทยส่วนใหญ่ทำตัวเป็น agent – ผู้กระทำ ลงมือทำเพื่อประโยชน์สังคมอย่างขยันขันแข็ง ไม่มุ่งรอความช่วยเหลือ
วิจารณ์ พานิช
๖ ม.ค. ๖๓
ไม่มีความเห็น