ชื่อร้านแปลกๆ จดจำง่าย แต่ (อาจจะ) ไม่ช่วยสร้างแบรนด์!!!
อรรถการ สัตยพาณิชย์
ถ้ายังจำคำนิยาม “การสร้างแบรนด์” แบบง่ายๆ ที่ได้เคยเขียนไว้ในฉบับแรกๆ ก็คงจะพอนึกออก (แบบรางๆ) ว่าหมายถึง การสื่อสารเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการเพื่อสร้าง “ความรู้สึกเชิงบวก” ให้เกิดขึ้นในใจกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย
นอกจากนี้การสร้างแบรนด์ก็ไม่ใช่แค่ “การตั้งชื่อยี่ห้อสินค้า” (Brandname) หรือ “การออกแบบโลโก้” (Logo) แต่ชื่อยี่ห้อสินค้า หรือโลโก้ (ที่ดี) จะต้องเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความรู้สึกที่แบรนด์ต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
อย่างเช่น “สำลี” คงไม่มีใครตั้งชื่อยี่ห้อว่า “ดำตับเป็ด” หรือ “โสโครก”แต่มักจะตั้งชื่อที่สะท้อนให้เห็นความสะอาดหรือบริสุทธิ์ ดังนั้นแบรนด์ที่เราคุ้นเคยกันก็จะตั้งชื่อว่าสำลีตรา “นางพยาบาล” หรือ “รถพยาบาล” ส่วนโลโก้บริษัทรับขนส่งสินค้าก็คงไม่มีใครใช้รูป “เต่ากำลังคลาน” เป็นโลโก้อย่างแน่นอน แต่จะต้องเป็นรูปที่แสดงให้เห็นรัศมีความเร็ว ประเภทฟิ้วววววว!!!! เปรียบประหนึ่งความไวที่เหนือแสง และต้องแรงแซงคู่แข่งไม่เห็นฝุ่นด้วย
ไม่ใช่แค่ชื่อยี่ห้อ และโลโก้เท่านั้น แต่องค์ประกอบอื่นๆ อย่าง “บรรจุภัณฑ์” หรือแพคเกจจิ้งก็มีส่วนช่วยในการสร้างแบรนด์ได้เช่นกัน หลับตานึกถึงข้าวอินทรีย์ที่ไม่มีสารเคมีมาเจือปน ระหว่างใส่ “ถุงพลาสติก” กับ “ถุงกระสอบ”ก็คาดเดาไม่ยากว่าคนจะเชื่อข้าวที่ใส่ถุงกระสอบว่าเป็น “ข้าวอินทรีย์” มากกว่าข้าวที่ใส่ถุงพลาสติก
แต่ก็มีคำถามว่าชื่อร้านค้าหรือชื่อยี่ห้อสินค้าที่ตั้งชื่อ “แปลกๆ” เป็นการสร้างแบรนด์หรือไม่? ต้องบอกว่าชื่อแปลกๆ ส่วนใหญ่มุ่งเน้นให้คนจดจำ มากกว่าการหยิบยกจุดเด่นของสินค้าหรือบริการมาสร้างความรู้สึกเชิงบวกให้เกิดขึ้นในใจกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย
ตัวอย่างชื่อร้านแปลกแหวกแนวไม่เหมือนใคร เช่น ร้านเมาเว้ยเฮ้ย ร้านจะกินอย่าบ่น ร้านมานีมีหม้อ ร้านนมบ่ะเล่น (ภาษาเหนือ=ไม่ใช่เล่น) ร้านกึงกะมู (ต้องผวน) ร้านจิ๋มแดง ร้านหลบเมียมาคาราโอเกะ ร้านจวนเจ๊งซีฟู๊ด ร้านหมาในซอย ร้านณะโมตัดสระ ร้านป้าท้อนะ ร้านหัวนม ร้านเย็นตาโฟตอแหล ร้านค่อยๆ ลุยเกศา ร้านโอ้กะจู๋ ร้านยำอีดอกส์ ร้านจีนเตี๊ยะ ฯลฯ
ชื่อร้านทั้งหมดนี้เมื่อคนได้ประสบพบเห็นก็จะจำได้ แต่ชื่อส่วนใหญ่ไม่ได้ช่วยในการสร้างแบรนด์ จะมีก็เพียงบางร้านเท่านั้นที่ชื่อเข้าข่ายสร้างแบรนด์ ตรงแสดงให้เห็น “จุดขายที่แตกต่าง” ของสินค้าหรือบริการที่จำหน่ายภายในร้าน อย่างเช่น ร้านจีนเตี๊ยะ ตรงป้ายชื่อร้านจะมีสโกแกนแบบกวนๆ ว่า “อิ่มตีน ไม่เจ็บตัว” พร้อมกับบอกเมนูเด็ดของร้านคือ ตีนไก่ต้มแซ่บ และตีนไก่ทอดเรียกว่าเป็นร้านที่เอาดีในด้านอาหารที่มีวัตถุดิบทำมาจากเท้าไก่ และที่กวนกำลังสองก็คือ เมื่อแม่ช้อย นางรำไม่ได้มาเปิบพิสดาร ก็ทำป้ายรับรองแบบล้อเลียนให้ดูขำๆ ว่า “เปิบธรรมดา แม่ช้ำ นางรอย” ส่วนอีกร้านก็คือ ร้านตัดผมผู้ชายที่ชื่อ “ค่อยๆ ลุยเกศา”อย่างน้อยชื่อก็อาจสะท้อนให้เห็นถึงความประณีตของช่างตัดผมที่ตัดช้าๆ เนิบๆ แบบไม่รีบร้อนได้อยู่บ้าง
มาถึงบรรทัดนี้ขอสรุปเนื้อหาแบบเป็นการเป็นงานสัก 2 ข้อคือ ข้อแรก ผู้ที่สร้างแบรนด์ตัวจริง คือ ผู้บริโภค ส่วนนักการตลาด และนักสร้างแบรนด์จะอยู่ในฐานะผู้หยิบยื่นสิ่งที่ถูกต้องให้เท่านั้น แต่จะสร้างอย่างไร เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องคิดหรือสร้างเอง และข้อที่สอง ผู้บริโภคจะประกอบสร้างความรู้สึกที่มีต่อแบรนด์จากสิ่งรอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวหนังสือ สี วัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ โฆษณา เพลง ประสบการณ์ในการใช้ ฯลฯ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวต้องบอกว่าเป็นเรื่องยากที่นักการตลาด และนักสร้างแบรนด์จะเข้าไปควบคุม.....
....................................................
ไม่มีความเห็น