การเป็นนกเป็ดน้ำ


มีความสามารถหลายด้าน ใช่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีเสมอไป…..สวัสดีครับ ผมชื่อเอม อายุ 21 ย่างเข้า 22 ในอีก 5 เดือนข้างหน้า ผมโตมากับการซึมซับการทำอะไรหลายๆอย่าง พ่อผมเป็นตากล้องเก่า ส่วนแม่เป็นช่างเย็บผ้าอยู่แถบชานเมือง ผมมักจะซึมซับอะไรหลายๆอย่างมาจากพ่อมากกว่า ส่วนของแม่นั้นผมอาจไม่ได้ซึมซับอะไรมากนักเพราะผมเย็บผ้าไม่เป็น ที่ผมบอกเกริ่นๆไว้ว่า ”คนที่มีความสามารถหลายด้านใช่ว่าจะดี” ใช่ครับผมคือหนึ่งคนในนั้น เพราะอะไรผมถึงคิดแบบนั้นเริ่มที่ตอนประถม ผมถูกส่งมาเรียนในโรงเรียนที่มีการสอนภาษาจีนเป็นภาษาที่ 2 มากกว่าภาษาอังกฤษ ด้วยความที่เป็นเด็กผมก็ไม่รู้เหตุผลที่พ่อแม่ส่งผมมาเรียนหรอกนะ น่าจะเพราะมันใกล้บ้านมากกว่าก็ถือว่าโอเคผมจะได้ไม่ต้องนั่งรถไปกลับ ก็เลยเรียนๆไป ซึ่งภาษาจีนตอนนั้นยังไม่ได้เป็นที่นิยมใช้เหมือนทุกวันนี้ แรกๆนั้นผมแทบอ่อนภาษาเลย ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงเป็นเช่นนั้น จนแม่ต้องพาผมไปพบอาจารย์ที่สอนภาษาจีน จะบอกก่อนว่าโรงเรียนที่ผมเรียนนั้น ในวิชาภาษาจีนจะได้เรียนกับเจ้าของภาษาตั้งแต่ต้นเลย ตั้งแต่นั้นมาผลการเรียนผมก็ดีดขึ้นมาจนจบชั้นประถมศึกษาถึงตอนนั้นผมยังไม่ได้เอะใจในตัวเองมากหรอกว่าที่ตัวเองเรียนมาจะได้ใช้ทำอะไรได้บ้าง พอถึงเวลาที่ตัวเองต้องเรียนที่เรียนมัธยมใหม่ และยังต้องเลือกสายการเรียนอีก ผมกลับเลือกเรียนในสายศิลป์-ภาษา แทนที่จะเรียนสายภาษาจีนเพราะตังเองก็มีทักษาภาษาจีนมากพอตัว นี่แหละคือสิ่งที่ผมรู้สึกสงสัยในครั้งแรก หรืออาจเป็นเพราะรู้สึกเบื่อภาษาจีนไปแล้วต่อกันที่ช่วงมัธยม พ่อได้ให้กล้องกับผมไว้ใช้ตัวหนึ่ง และบวกกับตัวเองก็เริ่มไปดูพ่อไปทำงานมากขึ้น ทั้งการถ่ายภาพ การล้างฟิล์ม ผมก็รู้สึกชอบในสิ่งที่พ่อทำอยู่ หลังจากนั้นผมก็เรียนรู้มันด้วยตัวเอง โดยที่พ่อเป็นแบบอย่างปูทางให้ได้ลองทำดู แม้ว่าตัวเองนั้นจะไม่ได้มีทักษะที่ดีหรือเก่งเหมือนพ่อก็ตาม ส่วนเรื่องเรียนในตอนนั้นรวมๆในความคิดของผมก็คิดว่าไม่ได้ขี้เหร่อะไรนะ จนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ก็มีการเลือกสายการเรียนอีกรอบในชั้นม.ปลาย อยู่ดีๆผมก็กลับไปเรียนสายภาษาจีนอีกรอบ ซึ่งก่อนหน้านั้นที่เรียนนั้นแทบไม่ได้แทบภาษาจีนเลยถึงช่วงม.ปลายก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกสับสนกับต้องเองมากขึ้น ผมเริ่มเล่นดนตรี ซึ่งผมเป็นมอกลองในวงดนตรีวงหนึ่งในโรงเรียน เริ่มจากเห็นรุ่นพี่ตีกลองแล้วรู้สึกว่าตัวเองชอบ และมีความคิดที่อยากไปอยู่บนจุดนั้นบ้าง ก็ลองศึกษามันด้วยตัวเองดู ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้สนับสนุนผมสักเท่าไรนะ จนได้ทักษามานิดๆหน่อยๆ หลังจากนั้นก็ไปดูคนอื่นเล่นดนตรีกันมากขึ้น แล้วก็ฝึกตัวเองมากขึ้น มากจนทำให้ผลการเรียนตัวเองเสียไปด้วย เสียถึงขั้นตัวเองต้องเรียนซ้ำจึงจบการศึกษาช้ากว่าเพื่อน มิหนำซ้ำ คณะที่ตัวเองเลือกเรียนไว้ซึ่งเป็นคณะนิเทศน์นั้นกลับเข้าเรียนไม่ได้เพราะการที่ตัวเองเรียนซ้ำอยู่ จึงเลือกสมัครเข้าคณะมุษยศาสตร์เพราะภาษาจีนที่เรียนมาอาจจะได้ใช้จริงๆแน่นอน แต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะคะแนนไม่ถึง นอกจากเรื่องดนตรี ผมก็เริ่มออกงานถ่ายภาพจริงจังเป็นครั้งแรก งานแรกเป็นงานถ่ายหนังสือรุ่นตอนชั้นม.6 พอหลังจากนั้นก็เริ่มรับงานมากขึ้น เริ่มเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อยๆ จนถึงตอนนั้นผมก็จบการศึกษาพอดี และได้เข้ามหาวิทยาลัยสักทีก่อนที่ผมจะได้เข้ามหาลัยนั้น ผมได้เข้าในคณะมนุษยศาสตร์ตามที่ต้องการ แต่ไม่ใช่สาขาภาษาจีน ด้วยความที่ตลาดแรงงานต้องการคนที่มีทักษะสารสนเทศสูง จึงเข้าศึกษาอยู่ในสาขานั้นจนถึงตอนนี้ ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ทิศทางในอนาคตของตัวเองเลยว่าจะเป็นอย่างไร เรียนในสาขาที่ตัวเองไม่ได้ถนัดอะไรมาก ทักษะที่ตัวเองมีก็ไม่ได้ตรงกับที่เรียน ไม่มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ลองทุ่มไปกับอย่างหนึ่งแต่ก็ยังไปไม่สุดสักที รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับนกเป็ดน้ำที่ทำอะไรก็ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นที่สุดของมัน ผมเลยมองว่าเป็นแบบนี้มันจะดีเหรอ การที่ทำอะไรก็ไปไม่สุดแม้แต่อย่างเดียว ไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นกว่าใครเขาอยากบอกคนที่อ่านจนถึงตรงนี้นะว่า คุณจะมีความสามารถอะไร มีมากแค่ไหน ชอบอะไร ทำมันไปเถอะ อย่างน้อยสิ่งที่ทำอยู่ยังเป็นชิ้นเป็นอัน มีการพัฒนา แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเจอสิ่งที่คุรมองหาอยู่กับมันตลอด

หมายเลขบันทึก: 668539เขียนเมื่อ 17 กันยายน 2019 11:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 กันยายน 2019 11:13 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท