@chokdeemeechai
วิชาชีวิตเพื่อความมั่นคงทางจิตใจ โชคชัย คงบวรเกียรติ

อ่านเจตนาที่แท้จริงของคนให้ออก17 ตอน Congruency ความสอดคล้อง เป็นธรรมชาติ


  • Congruency ความสอดคล้อง เป็นธรรมชาติ
  • - อารมณ์เป็นทั้งตัวกระตุ้น และเป็นตัวแปรที่ทำให้สมองแปลความหมายให้แสดงสีหน้า ท่าทางออกมาตามความรู้สึกที่แท้จริงของเขาและแสดงออกเป็นไปตามธรรมชาติ หากมีการแสร้งแกล้งทำ มันจะแสดงออกมาได้ไม่เป็นธรรมชาติ และไม่ราบลื่นไหลจะติดขัด ขาดช่วง ขาดตอนจังหวะสะดุด ชะงัก ไม่ต่อเนื่อง ทำให้เราได้มองสังเกตเห็นได้ ในความฝืด ผืน เจื่อนของสีหน้าและภาษาทางกาย ไม่สอดคล้องต้องกันของอารมณ์ที่แท้จริงที่มาจากความรู้สึกนึกคิดทัศนคติที่เขามีในขณะนั้น
  • - Delays การตอบสนอง การแสดงออกช้า เหมือนค้าง ไม่ทันเหตุการณ์ ต้องการซื้อเวลาในการคิดสร้างเรื่อง หรือ เกิดความไม่สบายใจ กังวลใจ ทำให้การตอบสนองช้าลง
  • - Paused สะดุด ค้าง ขาดช่วง ขาดตอน ไม่ต่อเนื่อง ไม่สัมพันธ์กัน
  • - Error เกิดข้อผิดพลาด พูดสนทนา มีตะกุกตะกัก ขาดช่วง ติดอ่าง อ้ำอึ้งพูดไม่ออก หรือ ฟังไม่ชัด ให้ทวนคำถามใหม่อีกครั้งอยู่บ่อย ๆ เพราะ ต้องการซื้อเวลาให้นานพอ ที่เขาจะแต่งเรื่องโกหกให้ดูดี มัวที่นึกคิดสร้างเรื่องอยู่
  • § ภาษาทางคำพูด สนทนาติดขัด ขาดตอน สะดุด ติดอ่าง ค้าง ไหลลื่น ไม่คิดคำพูดนานเกิน จนค้างขาดช่วง การสนทนาหยุดชะงัก หรือ เสียงเปลี่ยนไป สูงผิดปกติ ต่ำเกินไป พูดเร็วเกินไป พูดช้าเกินไป เสียงสั่นเครือ
  • § กริยาอาการแสดงออก มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ เร็วเกินไป ช้าเกินไป ชะงัก ประหม่า ดูลุกลี้ลุกลน
  • - Smooth ความราบรื่น ลื่นไหล เป็นธรรมชาติ
  • § การคลายอารมณ์กลับมาเป็นหน้าปกติหลังจากเขาแสดงออกทางสีหน้า เช่น ยิ้มแล้วคืนหน้ากลับเป็นปกติ หน้าดูเจื่อน เหมือนค้าง สะดุด ชะงักงันไปชั่วขณะ ไม่ไหลลื่น ไม่ราบรื่น ไม่เต็มใจแสดงออกเหมือนฝืนแกล้งทำ
  • § การแสดงออกทางใบหน้า ภาษากาย และการพูดคุยสนทนา ไหลลื่น ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ติดขัด ไม่ฝืน ไม่เสแสร้งแกล้งทำ
  • § ถ้ามีสิ่งผิดปกติ มันจะขุรขระ นูนโดดเด่น ให้สังเกตเห็นได้ชัด ในสิ่งที่ผิดแปลกแตกต่างออกไป ซึ่งตามปกตินิสัยของคนเรา คือ จ้องจับผิดผู้อื่น จับผิดในสิ่งที่แตกต่าง ไม่เข้ากัน ขัดแย้งไม่สอดคล้อง เป็นความสามารถพิเศษของคนโดยทั่วไปอยู่แล้ว
  • - Congruency ความสอดคล้องตรงกัน ของ ภาษาพูด Verbal Language การแสดงออกทางใบหน้า Facial Expressions และ ภาษาทางกาย มีความสอดคล้อง เป็นเรื่องเดียวกัน สิ่งที่พูด กับสิ่งที่แสดงออกทางใบหน้า มือไม้ที่ออกท่าทางแสดงอารมณ์ประกอบในการเล่าเรื่อง จังหวะสอดคล้องต้องตรงกัน เข้ากันได้ เหมือนกับ เสียงเพลงประกอบ เข้ากันได้กับ หนังภาพยนตร์ มีอารมณ์บรรยากาศเดียวกัน ไม่มีความผิดปกติ มีพิรุธ การแสดงออกปลีกย่อย สิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นที่ขัดแย้ง ขัดจังหวะ ขาดช่วงขาดตอน สะดุด ผิดแปลกแตกต่างไปจากภาษาทางใบหน้าและภาษาทางกายด้วยรวมที่สื่อความหมายอารมณ์หลักเป็นในทิศทางเดียวกัน
  • § ถ้าสอดคล้อง ตรงกัน เป็นเรื่องเดียวกัน เป็นธรรมชาติ เท่ากับ น่าเชื่อถือได้ ไว้วางใจได้ มีความเป็นไปได้ว่าเป็นจริง
  • § แต่ถ้าไม่สอดคล้อง ติดขัด ไม่ไหลลื่น ไม่เป็นธรรมชาติ เท่ากับ ไม่น่าเชื่อถือไว้วางใจไม่ได้ มีแนวโน้มที่จะโกหก ปกปิด หลอกลวง
  • § บางกริยาที่แสดงออกมา ที่ผิดปกติแตกต่างจากอารมณ์หลัก อาจไม่มีความหมายอะไรก็ได้ ซึ่งอาจเป็นนิสัยเฉพาะส่วนตัวของเขาที่ทำประจำเมื่อเจอเหตุการณ์แบบเดิม ในสถานการณ์นั้น ๆ ไม่ได้หมายความว่า โกหก หรือไม่น่าเชื่อถือ แต่เป็นเพียงลักษณะเฉพาะที่เขาทำประจำตัวของเขา ต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วย และดูนิสัยของเขาว่า เมื่อเกิดความไม่สบายใจหรือไม่ หรือในยามปกติก็มักจะแสดงออกแบบนี้เป็นประจำ เป็นต้น (กฏ หลักการ มีให้ยึดเพื่อเป็นแนวทางแยกแยะ ให้สังเกต เห็นความผิดปกติ แต่บางกรณีก็เป็นข้อยกเว้น ที่นอกเหนือจากกฏและหลักการ)
  • Mask and Poker Face การใส่หน้ากากสวมบทบาท และ หน้าวางเฉยเหมือนเล่นไพ่โป๊กเกอร์ เพื่อหลอกลวงฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเขา แต่ย่อมมีสิ่งที่ผิดแปลกไปจากปกติ และนิสัยส่วนตัวที่เขาทำเป็นประจำเวลาไม่สบายใจ หลุดออกมาให้เราได้เห็นจับจุดโกหกได้
  • - การใส่หน้ากาก Mask หรือ แสดงสวมบทบาท แกล้งทำแสดงเป็นตัวละครนั้น ๆ แสดงอยู่ในอารมณ์นั้น ๆ ทั้งที่จริงไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจากภายในที่แท้จริง
  • § โดยปกติคนเรา จะแสดงอารมณ์นั้นมาจากการประมวลผลทางความรู้สึกอารมณ์ไป สมองดึงข้อมูลจากความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจที่เขามีอารมณ์ ณ ในขณะนั้น เอาไปแปลงความหมายที่แท้จริงนำไปให้สมอง สมองก็จะสั่งการผ่านไปยังระบบประสาทอัตโนมัติ(ในการควบคุมกล้ามเนี้อใบหน้าและการเคลื่อนไหวร่างกาย ควบคุมการไหลเวียนของเลือด อุณหภูมิ อัตราการเต้นของหัวใจ) เป็นผลของการสั่งการทำงานด้วยจิตใต้สำนึก ผ่านระบบประสาทอัตโนมัติเกือบทั้งสิ้น มันจึงเป็นการยากที่จะแสร้งแกล้งทำได้ทั้งหมด ไม่สามารถที่จะบังคับควบคุมการแสดงออกได้ทั้งหมด และไม่สามารถควบคุมได้ตลอดเวลา
  • § (สิ่งที่ไม่สามารถควบคุมการทำงาน แกลังแสร้งทำได้ คือ การหดขยายของดวงตา, อัตราการกระพริบตา, ความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ, อัตราความถี่และลักษณะของการหายใจ, อุณหภูมิของร่างกาย)
  • § ในส่วนของการแกล้งแสร้งทำ ความรู้สึกนึกคิดของเขา ณ ในขณะนั้น ทำการสั่งควบคุมยับยั้งความรู้สึกอารมณ์ที่แท้จริงไม่ให้แสดงออกในอับดับแรก แล้วจึงเข้ามาสู่การปรับแต่งความคิดขึ้นใหม่ ประดิษฐ์ จำลองสมมุติ สร้างภาพจิตนาการในความคิดของเขา ที่คิดแกล้งทำเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมาก่อน  แล้วจึงใช้จิตสำนึกความคิดสั่งงานการเคลื่อนไหวของร่างกายและการแสดงใบหน้า ให้แสดงออกตามความคิดที่เขาสร้างจิตนาการขึ้นมาให้แสดงออกมาตามนั้น เป็นการย้อนกลับกระบวนการพิจาณาใหม่ แล้วจึงจัดการความคิดก่อนที่จะสั่งงานร่างกายผ่านสมองอีกครั้งเพื่อไปสั่งงานระบบประสาทให้ร่างกายเคลื่อนไหวตามความคิดที่จิตนาการไว้ ที่จัดเตรียมแกล้งทำสร้างขึ้นมา ที่ไม่เป็นไปตามอารมณ์ที่เขารู้สึกจริง ๆ จึงส่งผลให้การแสดงออกมานั้น ดูคล้ายแต่ไม่ใช่ แค่ควบคุมร่างกายให้แสดงออกมาได้บางส่วนเท่านั้น ไม่ครบองค์ประกอบ ไม่เหมือนจริง ไม่เป็นธรรมชาติจริง ๆ ของอารมณ์นั้น ไม่สามารถที่จะเก็บรายละเอียดและความรู้สึกที่แท้จริงได้ทั้งหมด
  • § อีกทั้งในระหว่างที่เขาแกล้งทำ มีความคิดที่ไม่ดี หลอกโกหกความรู้สึกภายในจิตใจอยู่ตลอดเวลาที่แกล้งทำ มันจึงมีความคิดที่ไม่ดี ด้านลบติดอยู่ ส่งผลให้มีความเก็บกด ต่อต้าน ต่อสู้กันภายในจิตใจ และการสั่งงานที่สมอง ที่ขัดแย้งกัน จากความรู้สึกที่แท้จริงจากการที่สมองสั่งงานผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ กับการสั่งงานผ่านความคิดสร้างภาพที่จิตนาการไปสู่การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อบนใบหน้ากับร่างกาย ที่ขาดรายละเอียดปลีกย่อยที่ไม่ครบ ไม่ได้แสดงอารมณ์ที่แท้จริง จึงก่อให้เกิดความเครียด ความกดดันทางจิตใจ
  • § ผลักดันให้ตัวของเขาแสดงความรู้สึกที่แท้จริงที่คิดไม่ดี โกหกความรู้สึกนึกคิดของตนเองอยู่ ยิ่งกด ยิ่งปราม มันยิ่งมีแรงผลักดันมากขึ้น ทำให้ให้ต้องระบายความไม่ดีนั้น หลุด รั่วไหล ทางอารมณ์ออกมา เป็น Micro Expressions การแสดงออกปลีกย่อยที่ไม่ดี (ในความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงที่หลอกตัวเองของเขา) หลุดรอดออกมาให้เห็นถึง ความผิดปกติ Flashlight ที่ผิดแปลกประหลาดต่างจากภาพรวมทั้งหมดที่เขาแสดงออกมา
  • § ในกรณีที่เป็นนักแสดงอาชีพ เขาต้องใช้เวลายาวนานในการฝึกฝน การหลอกตัวเอง เพื่อสวมบทบาท เป็นตัวละครนั้น ๆ เขาไม่ได้แกล้งแสดงสวมบทบาทตลอดเวลา เขาแสดงสวมทบทาทแค่ไม่นาน (เขาก็มีเวลาพัก ไม่มีภาวะเครียดกดดันทางจิตใจเหมือนคนปกติในขณะที่แกล้งทำ) ถึงจะแสดงได้ดีเหมือนจริง ก็ยังมีความเป็นตัวตนเอกลักษณ์เฉพาะที่เป็นเขาอยู่ใน ท่วงท่า การเดิน การนั่ง การวางท่าทาง การพูดจา การเว้นวรรคตอน น้ำเสียงโทนเสียง ที่มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครให้เราสังเกตเห็นได้ ในผลงานที่เขาเคยแสดงในอดีต
  • - Poker Face การทำหน้านิ่งเฉย ไม่แสดงอารมณ์  ควบคุม เก็บกด อารมณ์ความรู้สึกไม่ให้แสดงออกมา ตอนเล่นไพ่ เพื่อไม่ให้คนอื่นจับพิรุธ ในความดีใจ ที่ได้ไพ่ดี กับ ความผิดหวังเสียใจ ที่ได้ไพ่ไม่ดีแต้มน้อย เป็นการหลอกลวงฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้จับทางเดาถูก อ่านสีหน้าไม่ออกว่าคิดอะไร มีความรู้สึกอารมณ์ใดอยู่ในขณะนั้น ในความเป็นจริง อย่างที่กล่าวไว้ข้างตน เรื่องการควบคุมและสั่งงานระบบประสาทอัตโนมัติ ยิ่งฝืน ยิ่งเกร็ง ยิ่งปราบ เก็บกด ยิ่งมีแรงดัน เป็นความเครียดทางจิตใจ ที่ต้องต่อสู้กันเองภายในจิตใจของเขา ร่างกายและสมองจะหาทางระบายแรงกดดันนี้ออกมาให้รั่วหลุดรอดออกมาเป็นกริยาทางลบ แม้เพียงเศษเสี้ยวของวินาที มันก็จะพยายามดันให้หลุดออกมาแสดงเป็นกริยาอาการที่เขาทำเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกถึงได้ ว่ามันหลุดรอดออกมาและตัวของเขาเองก็ไม่สามารถสังเกตได้ แต่คนอื่นสามารถสังเกตเห็นได้ถ้ามีสมาธิจดจ่อ เฝ้าระวังความผิดปกติที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ยิ่งเกร็ง ยิ่งฝืนไม่ขยับ หางตาหางคิ้วกระตุก หรือ ในยามที่ไพ่ของเขาดี ตาดำของเขาขยายใหญ่ขึ้น หรือ ยามไพ่ไม่ดี นิ้วก้อยกระตุก สั่น เกร็ง เป็นต้น คนปกติ ยิ่งฝืนมองสบตาไม่ให้กระพริบตา ยิ่งทำให้ดวงตาเกร็งตึงเครียด เปลือกหนังตาก็จะกระพริบถี่ขึ้นแต่ขยับเล็กน้อย เกิดอาการล้า หรือ มีการการเกร็งที่ส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า คิ้ว มุมปาก ริมฝีปาก แก้ม กราม คาง ในยามแสร้งเป็นหน้าปกติไม่แสดงออก

http://www.study-body-language.com/Face-expressions-3.html

  • Defense Mechanisms กลไกการป้องกันตนเอง
  • - ตามธรรมชาติของคน เมื่อรู้สึกถึง ความไม่ปลอดภัย ถูกคุกคาม ความกลัว  วิตกกังวล ไม่สบายใจ ไม่ได้รับการตอบสนองความพอใจ ไม่ได้ดั่งใจที่ตนเองต้องการตามสัญชาตญาณ ID เกิดความคับข้องใจ ความขัดแย้งขึ้นภายในจิตใจส่งผลให้เกิดความเครียด จิตใจและร่างกายจึงต้องปรับสมดุล EGO อัตตาตัวตน จึงต้องปรับตัวแสวงหาวิธีลดภาวะไม่พึงปรารถนา เพื่อบรรเทาคลายความเครียด หรือความวิตกกังวล หวาดกลัว หรือ ความรู้สึกผิด ที่เป็นอันตรายต่อจิตใจ  เพื่อทำให้กลับสู่สภาวะปกติโดยสัญชาตญาณแห่งความอยู่รอดจะส่งสัญญาณให้กับ EGO ดิ้นรนที่จะเอาตัวรอด หาทางออกที่ตนคิดว่า ปลอดภัย จึงแก้ปัญหาแบบบิดเบือนจากความเป็นจริง และไม่ชอบด้วยเหตุผล ด้วยการสร้างเกราะเป็น กลไกป้องกันตนเอง เพื่อช่วยลดความไม่สบายใจ ลดความตึงเครียด ในการปรับตัวของจิตให้รู้สึกดีขึ้นกลับมาสู่สภาวะจิตที่เป็นปกติ
  • - การโกหก คือ การต่อสู้ของ ID สัญชาตญาณ ความอยากต้องการโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่ตามมาความผิดไม่ดี กับ SUPEREGO คุณธรรมความดี ละอายเกรงกลัวต่อบาป การต่อสู้ระหว่าง ความไม่ดีผิดบาป กับ คุณธรรมความดี ทำให้เกิดความขัดแย้ง คับข้องใจขึ้นภายในจิตใจ ซึ่งจะเกิด ความวิตก กังวล กลัว สับสน กระวนกระวาย ประหม่า อยู่ไม่สุข ลุกลี้ลุกลน อึดอัด ลำบากใจ ไม่สบายใจ รู้สึกผิด สำนึกเสียใจ โดยที่ EGO อัตตาตัวตน จะทำการปรับตัว มองหาทางออกด้วยสัญชาตญาณเพื่อความอยู่รอดปลอดภัย Survival Instinct เอาตัวรอดผ่านพ้นจากสถานการณ์นี้ไปให้ได้ ไม่ว่าจะผิดหรือถูก
  • - ซึ่งนิสัยในการเอาตัวรอด จากความกลัว ความไม่ปลอดภัย ที่ทำให้ วิตกกังวล ไม่สบายใจ อึดอัดลำบากใจ เครียด นิสัยในการบรรเทาคลายความเครียด ด้วยวิธีการที่ใช้กลไกป้องกันตัวต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นกับอุปนิสัย ทัศนคติ การเรียนรู้ กระบวนการตัดสินใจ และ การปรับตัวให้เข้ากับสังคม  Mind Set ตัวตน ซึ่งแสดงออกแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
  • Detecting Lies การตรวจสอบจับโกหก
  • - ระหว่างโกหก กริยาอาการที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เช่น  ไม่สบายใจ วิตกกังวล กลัว รู้สึกผิด สับสน กระวนกระวาย ประหม่า ลำบากอึดอัดใจ กดดันตึงเครียด เป็นต้น
  • - อาการทางกาย ใจสั่นเต้นแรง ความดันโลหิตเพิ่มขึ้น เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมากขึ้น สีหน้าแดง อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น หายใจเข้าออกถี่และแรงขึ้น รูม่านตาขยาย หด ตามอารมณ์ที่แท้จริง
  • - Closed Body Language ภาษากายปิดกั้น
  • § กอดอก มือไขว้หลัง กำกุมมือ แขน บีบ แน่น กำหมัด แสดงถึงความปิดกั้น ตั้งการ์ดเกราะ ป้องกันตนเอง ด้วยความตึงเครียดกดดัน เก็บกด ห้ามปราบ ความรู้สึกที่แท้จริงเอาไว้ หรือกำลังมีความคิด ทัศนคติที่ลบไม่ดีอยู่ในหัวคิด
  • § นั่งไขว้ขา บีบรัดแน่น หรือ  ขาเกี่ยวกับขาเก้าอี้รัดแน่น บ่งบอกถึงความตึงเครียด ไม่สบายใจ
  • - Negative Body Language ภาษากายทัศนคติด้านลบไม่ดี
  • § ลูบ สัมผัส จับ แกะ เกา ส่วนต่าง ๆ ตามใบหน้า และร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น ศรีษะ หน้าผาก ขมับ คิ้ว ตา จมูก ปาก คาง หู ลำคอ ที่เกิดจากความไม่สบายใจจากการโกหก Pinocchio Effects
  • § เขย่า แกว่ง มือ นิ้วมือ ขาไปมา หรือ เคาะมือ เคาะเท้ามีเสียง บ่งบอกอาการอยู่ไม่สุข กระสับกระส่าย ลำบากใจ ไม่สบายใจ
  • § แสดงความกดดันตึงเครียด ความไม่พอใจ การเยาะเย้ยดูหมิ่นเหยียดหยาม อิจฉา ริษยา ความรู้สึกผิด
  • § พฤติกรรมทำซ้ำ บ่อย ๆ ในสิ่งที่ผิดปกติวิสัย เช่น กัดเล็บนิ้ว อมนิ้วมือ เม้มปาก หรือฟันขบริมฝีปาก ขบลิ้น แลบลิ้นยื่นออกมา เป็นต้น
  • - Error and Pause ผิดพลาด และ หยุดชะงักค้าง
  • § พูดติดขัด ตะกุกตะกัก อ้ำอึ้งพูดไม่ค่อยออก พูดไม่ชัด ติดอ่าง พูดคำลากเสียงยาวในคำท้ายสุด หรืออ"อา เออ อืม ออ หา"
  • § หยุด ชะงัก ค้างนานพอควร เพราะนึกคำพูด สร้างเรื่องประดิษฐ์คำพูดในดูดีอยู่ในหัว คิดนานกำลังตัดสินใจว่าจะโกหกยังไงดี ใช้เวลานานกว่าจะพูดออกมา
  • § พูดเร็วกว่าปกติ ไม่เว้นวรรคตอน เร่งเร้าให้จบการสนทนาโดยเร็ว
  • § ลังเลใจ สับสนตนเอง จะพูดดี หรือ ไม่พูดดี พูดช้ากว่าปกติอย่างมาก
  • § คิดมากหนักใจจนพูดไม่ค่อยออก เวลาพูดก็ติดขัด น้ำเสียงสั่นเครือ
  • § ลืมเรื่องที่จะพูด ค้าง เพราะพยายามนึกสร้างเรื่องโกหก หาข้ออ้างแก้ตัวอยู่ในหัว
  • § ส่ายหน้า แต่ปากพูดว่า "ใช่, ถูกต้อง"
  • § พยักหน้า แต่ปากพูดว่า "ไม่, ไม่ใช่, ไม่ได้ทำ, ไม่ได้โกหก"
  • - Omission ละเว้น  หลีกเลี่ยงไม่พูดถึงประเด็นสำคัญ เพื่อหันเหความสนใจ ทำให้ไขว้เขว มองข้ามประเด็นสำคัญไป
  • § พูดถึงแต่เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง ไม่สัมพันธ์กันเลย ข้ามเรื่องนี้ไปพูดถึงอีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่พูดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับความเป็นจริง
  • § แกล้งลืมคำถาม เลี่ยงไม่ตอบคำถาม แล้วหันเหเปลี่ยนเรื่องไปคุยถึงเรื่องอื่น
  • § แกล้งชวนคุณคุยถึงสิ่งที่คุณ มีความสนใจ ชื่นชอบ หรือมีความภาคภูมิใจของคุณ เพื่อให้คุณลืมเรื่องที่เขาโกหก
  • § แกล้งทำเป็นไม่รู้ ทำเป็นแกล้งลืม นึกไม่ออก บกพร่องโดยเฉพาะเรื่องเวลา สถานที่ และอยู่กับใคร
  • § นิ่งเฉย ต่อต้าน อย่างเงียบ ๆ  ฝืนไม่ยอมตอบคำถาม Passive Aggression ดื้อเงียบ ทำหน้าเฉยเมยไม่แสดงออก
  • § ไม่ต้องการตอบคำถาม มือสัมผัส ปิดป้องปาก หรือส่วนริมฝีปาก คาง หรือ เม้มริมฝีปากแน่น เป็นต้น
  • § หลีกเลี่ยงการสบสายตา หรือ เอามือจับลูบสัมผัสที่ตา คิ้ว หรือ หันมองไปทางอื่นเป็นเวลานาน
  • § แกล้งไปคุยกับคนอื่น แกล้งไม่ได้ยินที่คุณพูด หรือ แกล้งไม่สนใจคุณทำเป็นไม่เห็นคุณอยู่ในสายตา มองข้ามคุณไป
  • § เลี่ยงโดยทำเป็นติดธุระที่ต้องไปทำรีบด่วน ขอตัวเดินจากไป หรือ ปวดท้องเสียต้องการไปห้องน้ำด่วน เดินหนีจากคุณไป
  • § แกล้งหาอะไรทำให้ดูว่าเขากำลังยุ่ง ไม่ว่าง จะได้ปฏิเสธที่จะไม่สนทนากับคุณ
  • - Less Detail ถามคำตอบคำ ตอบคำถามสั้น ๆ ห้วน ไม่พูดถึงรายละเอียดอื่นเลย หรือ พูดถึงรายละเอียดน้อยมาก เพราะเขากลัวที่จะทำพลาด ทำให้คุณจับผิดเขาได้
  • - Too Detail ให้รายละเอียดมากมาย
  • § ให้ข้อมูลลงรายละเอียดมากมายเกินกว่าความเป็นจริง
  • § อาสาให้ข้อมูล และ แก้ตัว ก่อนที่จะถูกตั้งคำถาม
  • § พูดมากเกิน พูดเป็นต่อยหอย ไม่หยุดปาก จนคุณหาโอกาสขัดจังหวะ แทรก หรือ หยุด เขาแทบไม่ทัน เพื่อทำให้คุณมีเวลาถามคำถามเขาได้น้อยลง
  • § พูดให้คุณสับสน ตอบไม่ตรงคำถาม สับสน จับต้นชนปลายไม่ได้ ไม่เข้าประเด็นสักที พูดไม่เกี่ยวข้อง รายละเอียดที่ไม่จำเป็น พูดกันคนละเรื่อง เน้นถามให้เข้าเรื่อง ก็พยายามลากไปนอกเรื่อง
  • - Exaggeration พูดเกินจริง ประดิษฐ์ สร้างเรื่องขึ้นมา
  • § มีความกังวล ในการสร้างเรื่อง เว้นวรรคนาน กว่าจะพูดต่อ มัวแต่คิดว่าจะพูดโกหกยังไง ให้ดูดี ไม่ถูกจับผิดได้ พยายามทำตัวไม่ให้มีพิรุธ จึงคิดนาน คิดคำพูดอย่างรอบคอบเกินไป
  • § ใช้คำพูดที่โอ้อวด ดูสวยหรูเกินเหตุที่ปกติไม่เคยใช้คำแบบนี้ มาก่อน
  • § ขยายความให้ดูใหญ่โตกว่า ให้ดูดี น่าเชื่อถือกว่าความเป็นจริง เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งที่ไม่ดี มองข้ามข้อบกพร่องของเขา และคำโกหกของเขา
  • § พูดทวนคำถามของฝ่ายตรงข้ามซ้ำด้วยตนเอง หรือ ให้ฝ่ายตรงข้ามถามคำถามใหม่อีกครั้ง เพื่อให้ตนเอง มีเวลาเพิ่มมากขึ้น จะได้สร้างเรื่องในหัวได้ก่อนที่จะตอบคำตอบ และสร้างเรื่องที่ฟังแล้วน่าเชื่อถือ
  • § ตอบคำถามได้รวดเร็วเกิน แทนที่จะใช้เวลาในการคิดสักครู่ก่อนจะตอบคำถาม เตรียมพร้อม เตรียมตัวคิดไว้ล่วงหน้า ถึงสิ่งที่จะถูกตั้งคำถาม และคำตอบที่เขาจะให้
  • § สร้างเรื่อง โดยสามารถลงรายละเอียดเฉพาะเจาะจงเกินไป เพราะเตรียมการสมมุติสร้างเรื่องสร้างเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้หมดแล้ว มีการซักซ้อม คำถาม คำตอบไว้ล่วงหน้า ทำให้ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นความจริง แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่อย่างที่เขาพูดเลย
  • § สร้างเรื่อง โกหก มากมาย ใหญ่โต จากเรื่องเล็กจนเป็นเรื่องใหญ่ขยายวงกว้างขึ้น ยิ่งโกหก ยิ่งถล้ำลึก เหมือนตกเหว ต้องโกหกต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อไปไม่ให้ถูกจับได้ แต่สุดท้ายสิ่งที่โกหก ยิ่งผลัก โยนออกไปมันยิ่งกลับมาพันตัวเข้าไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม มันยิ่งผูกมัดให้เขาดิ้นไม่หลุด
  • § โกหกจนจำไม่ได้ว่าตัวเขาเอง พูดโกหก เล่าเรื่องราวรายละเอียดไว้อย่างไร โกหกจนจำไม่ได้ พอทบทวนดึงกลับมาเข้าประเด็น ก็กลับคำว่าไม่ได้พูดออกมา โกหกจนงงตัวเอง
  • § กลับคำ แก้ไขคำพูดว่าตัวเองพูดผิดในเวลารวดเร็ว
  • § อ้างถึงคนอื่นที่ไม่มีตัวตน คนที่คุณไม่รู้จัก เขาสร้างเรื่องได้ด้วยตนเอง อย่างมากมาย โดยที่คุณไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าจริง เพราะบุคคลที่เขาอ้างถึง ไม่มีตัวตนและไม่สามารถติดต่อสอบถาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงได้
  • § อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สาบาน ยืนยัน ว่า ไม่ได้โกหก พูดความจริง เช่น ถ้าพูดไม่จริง ขอให้ฟ้าผ่าตาย หรือตายภายใน7วัน เป็นต้น คนพูดจริงจะไม่อ้างคำสาบาน
  • § อวดอ้างถึงคนที่มีชื่อเสียง ผู้เชื่ยวชาญฉพาะทาง หรือคนใหญ่คนโต เบ่งบารมี ทั้งที่ไม่มีตัวตน หรือไม่ได้รู้จักกับคนที่เขาอ้างถึงมาก่อนเลย เพียงเพื่อต้องการสร้างความน่าเชื่อถือ หรือต้องการโน้วน้าวใจคุณให้เชื่อตามที่เขาโกหก
  • - Manipulation การยักย้าย เปลี่ยนเรื่อง and Distraction สร้างเรื่องเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้ไขว้เขว จนหลงประเด็นสำคัญไป
  • § เปลี่ยนเรื่อง คุยนอกเรื่องนอกประเด็น ตอบคำถามเฉไฉ ไม่ตรงกับคำถาม ทำให้หลงประเด็น
  • § อ้างหาเหตุผลต่าง ๆ นานา ชักแม่น้ำทั้งห้า แก้ต่างสารพัด จับใจความไม่ได้ มั่วไปหมด
  • § อารมณ์ขัน Humor กลบเกลื่อน ปรับเปลี่ยนอารมณ์ ให้เราลืมประเด็นสำคัญไป
  • § ทำตัวให้สุภาพ ทำให้ดูดี พูดดีน่าเชื่อถือ เพื่อสร้างความประทับใจต่อคุณ และให้เชื่อใจเขามากขึ้น เพื่อหลอกล่อให้หลงประเด็น
  • § แกล้งชื่นชม เยิ่นยอ ประจบประแจง เอาใจเกินเหตุ หรือ คล้อยตาม ตามใจ พูดในสิ่งที่เราขอบ หาจุดที่มีความเหมือน Union รวมกัน กับฝ่ายตรงข้าม เพื่อซื้อใจให้เราเชื่อถือไว้วางใจเขา  เมื่อเขาพูดอะไรเราจะได้เชื่อคล้อยตามเขาได้ง่าย (เพราะฉะนั้น เวลาตรวจสอบ จับโกหกใคร อย่าได้คล้อยตาม เชื่อใจเขา ต้องตั้งสติมีสมาธิ ไม่อ่อนไหวตามคนอื่น มีจุดยืน อย่าลืมเจตนาวัตถุประสงค์คือจับโกหก)
  • § พูดความจริงแค่บางส่วน ปิดบังไม่พูดถึงส่วน ที่เป็นสาระสำคัญ เงื่อนไข เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับจากคุณ
  • § หรือ พูดแต่ด้านดี ไม่พูดถึงข้อบกพร่องของสินค้า ในส่วนนี้ใช้กันมากในการเจรจาธุรกิจ หรือ เซลล์แมนใช้ในการขายสินค้า แต่คนปกติก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย ไม่ชัดเจน สงสัย ไม่เข้าใจให้ถาม ถ้าคำตอบไม่ตรงประเด็น เลี่ยงไม่พูดให้ตรงจุดที่คุณอยากรู้ บ่อยครั้ง แปลว่า เขาปกปิดความจริงคุณบางอย่างที่สำคัญ ให้มั่นใจได้เลยว่า เขาไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าไว้วางใจได้
  • § พยายามหลอกล่อ ทำให้ไขว้เขว หันเหความสนใจของคุณไปที่อื่น เรื่องอื่น ๆ ยอมบอกความจริงที่ ไม่เกี่ยวข้องกันเลยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซะยืดยาว แต่พยายามปกปิดข้ามรายละเอียดบางช่วงไปอย่างรวดเร็วทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อไม่ให้คุณล่วงรู้จุดสำคัญประเด็นหลักที่เขาโกหก เพื่อทำให้คุณงง จับประเด็นหลักที่เขาโกหกไม่ได้ และลืมเรื่องที่เขาโกหก
  • § ข้อเน้นในการติดต่อธุรกิจ ถ้างง ไม่ทัน ไม่เข้าใจ ถามกลับให้อธิบายอีกครั้ง หรือถามไปตรง ๆ เลยดีกว่า ก่อนที่จะตกลง หรือเซ็นชื่อกำกับข้อตกลง ถ้าไม่ได้คำตอบที่กระจ่างชัดเจน ก็ขอเอกสารกลับมาอ่าน ขอเวลาอ่านให้ละเอียดอย่างพินิจพิเคราะห์ที่บ้าน ก่อน ถ้าไม่เป็นธรรมก็ ปฏิเสธเงื่อนไข ไม่ตกลง กับเรื่องนี้ไป อย่าด่วนตัดสินใจ ถ้าเรื่องนั้นไม่เคลียร์คลุมเครือ ปิดบัง ซ่อนเร้น เงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม เอาเปรียบเรา ปฏิเสธไปเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
  • - Projection โทษคนอื่น ใส่ร้ายผู้อื่น โยนความผิดไปให้ผู้อื่น ความดีเข้าตน ความไม่ดีโยนให้คนอื่น
  • § อ้างถึงคนอื่น ว่าพูดอย่างนี้ ทำอย่างนั้น ทั้งที่คนอื่นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้เลย
  • § กล่าวโทษคุณ หรือ ความสามารถของคุณ ข้อบกพร่องของคุณแทน เพื่อเปลี่ยนเรื่อง เปลี่ยหัวข้อ ทำให้คุณรู้สึกด้อยกว่าเขา เบื่ยงเบนประเด็น หรือเอาสิ่งที่ไม่ดีของคุณในอดีตมากล่าวโทษคุณ เพื่อให้เขาเถียงโต้แย้งให้คุณรู้สึกผิด เอาชนะคุณได้ เพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเอง ลืมคำโกหกของเขาไป
  • § โยนความผิดให้คนอื่น ใส่ร้ายป้ายสี กล่าวหากล่าวโทษคนอื่น ไม่พูดถึงเรื่องของตนเอง ไม่พูดถึงสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวกข้องกันตนเองเลยซักนิดเดียว เพราะ กลัวว่าเราจับจุดเชื่อมโยงหาความสัมพันธ์ที่เขาโกหกได้
  • - Over Acting แสดงออกอย่างเกินกว่าปกติมาก
  • § หาเรื่องทะเลาะ แกล้งทำเป็นโกรธ อารมณ์เสีย ฉุนเฉี่ยวใส่ เพื่อจะเลี่ยงไม่ให้ถูกจับผิดโกหกของเขาได้ หรือเลี่ยงไม่ตอบคำถาม
  • § แกล้งแสดงความเป็นมิตร ตีสนิทเข้ามาชิดเชื้อใกล้ชิดมากเกินกว่าปกติไม่เคยทำ
  • § ทำตัวผ่อนคลายเกิน ปล่อยตัวเหมือนอยู่บ้านตนเอง ทั้งที่อยู่สถานการณ์บรรยากาศตึงเครียดจริงจัง
  • - Reduce Expressions or Freeze ลดการแสดงออก ค้างคล้ายถูกแช่แข็งไว้
  • § ใบหน้านิ่งเฉยนานเกิน จ้องมองสบตาไม่กระพริบนานเกิน
  • § ทำดวงตาว่างเปล่าไม่ได้โฟกัส มองไปด้านหลังของฝ่ายตรงข้าม นิ่งพยายามไม่เคลื่อนไหว
  • § ยืนตัวแข็งไม่กระดิก ไม่เคลื่อนไหว จนเกิดอาการเกร็ง กระตุกที่ใบหน้า ตา คิ้ว ปาก แก้ม กราม
  • § พยายามควบคุมใบหน้า และร่างกายให้ขยับน้อยที่สุด เพราะ กลัว กังวล ว่าเราจะจับพิรุธของเขาได้ ยิ่งบังคับผืนไม่แสดงออก ยิ่งทำให้เกิดความกดดันตึงเครียด ทั้งทางจิตใจและร่างกาย ทำให้เกิดอาการเกร็ง กระตุก กระพริบตาถี่ขึ้น เหงื่อไหล อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น หายใจถี่มากขึ้น เป็นต้น
  • - แกล้งถามกลับด้วยกริยาทางกายแทนคำพูด
  • § ทำตากลมโต ตาแป๋ว ยกคิ้วสูง ยกหยักไหล่ขึ้น แทนคำพูดว่า "ใช่ฉันหรือ, ฉันไม่ได้ทำนะ, ฉันไม่ได้โกหกนะ "
  • § ทำเป็นต่อต้าน แสดงความเป็นปรปักษ์อย่างชัดเจน หน้าถมึงทึง จ้องตาเขม็ง ขมวดคิ้ว หลิ่วตาหรี่จ้องมองทำตาขวางใส่ ยิ้มน้อยมาก หรือ ฝืนยิ้ม หน้าบูดบึ้ง เพื่อกลบเกลื่อนความผิด จึงทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับจิตใจของเขาที่กลัวมีความกังวลใจอยู่ภายใน
  • - แสดงออกเหมือนเด็ก ไร้เดียงสา ขาดความเคารพ ประชดประชัน โทษคนอื่น ใส่ความให้ร้ายผู้อื่น แกล้งทำอารมณ์เสียโกรธโมโห ทำกริยาที่ผิดแตกต่างจากปกติวิสัย
  • § ลิ้นดุนคาง ลิ้นดันภายในปากหน้าฟันล่าง ทำให้เห็นรอยนูน รอยย่นที่คาง ใต้ริมฝีปากล่าง เป็นการแสดงความไม่พอใจ ไม่สบายใจ ยั้งยับปรามไม่ให้พูดความจริง พยายามจะปกปิดซ่อนความจริงของเด็ก
  • § ทำหน้าบูดบึ้ง จมูกย่น หน้ามุ้ย แบะปาก ริมฝีปากยื่นบุ้ย แสดงความไม่พอใจ ไม่ยอมรับ ที่ถูกกล่าวหาว่าโกหก
  • § ประชดประชัน ทำปากแบะโค้งลง แสดงความไม่พอใจ
  • § แลบลิ้นเพื่อล้อเลียน เขินอายที่ถูกจับได้ หรือ ขบลิ้นเป็นการยอมรับว่าโกหก
  • § ไขว้นิ้วชี้ กับ นิ้วกลาง เป็นกากบาท ซ่อนอยู่ด้านหลัง เป็นเครื่องหมายของการโกหกอยู่ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครทำกันแล้ว เพราะ การโกหกมีแต่จะปกปิดซ่อน ไม่เปิดเผยให้ใครได้รู้ความเป็นจริง
  • § แกล้งทำเป็นเสียใจ สะเทือนใจ ร้องไห้ เมื่อถูกกล่าวหาว่าโกหก
  • - Denial ปฏิเสธ
  • § ชิงพูดปฏิเสธ คำว่า "ไม่"  ก่อนที่จะถูกตั้งคำถาม
  • § เน้นคำว่า "ไม่" ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ ในบทสนทนาที่คุยกัน แทบจะทุกประโยค
  • § ยอมรับความผิดที่เล็กน้อย แต่ปฏิเสธการกระทำที่เป็นเรื่องใหญ่ หรือ เรื่องโกหกที่สำคัญกลับปฏิเสธ
  • § เถียงกลับคอเป็นเอ็น ขึ้นเสียงดังใส่อารมณ์ (แต่ไม่ได้แสดงความโกรธถึงขั้นทำร้ายร่างกาย) ทำเป็นปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่ความเป็นจริงเพื่อกลบเกลื่อนความผิด
  • § ปฏิเสธ อย่างสุภาพ แต่น้ำเสียงผิดปกติ ลากเสียงสูงและยาว "ไม่ได้ทำททททททำ" หรือ เสียงอ้อย พูดไม่เต็มเสียง เบามาก
  • § ตอบคำถามไม่ได้ พูดอ้ำอึ้ง พูดติดขัด ไม่เต็มเสียง ว่า ไปไหน เมื่อไหร่ อยู่กับใคร
  • § ตอบคำถามไม่ชัดเจน อธิบายรายละเอียดไม่ค่อยได้ เช่น กลับดึก เมียถาม ทำไมกลับดึก ไปทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ไปกับใคร เพื่อที่จะเอาคำตอบของเขาสามีไปสอบถามว่าไปกับเพื่อนคนนั้นว่าเป็นเรื่องจริงไหม เช็คตรวจสอบว่าเพื่อนของเขาคนที่อ้างถึง ตอบคำถามตรงกันหรือไม่ ถ้าไม่ตรงกัน แปลว่า เขาโกหก และในระหว่างตอบคำถามเขามีท่าทางไม่สบายใจ อึดอัดลำบากใจ กังวลใจให้เห็นหรือไม่ ถ้ามีแปลว่า เขาโกหก
  • § แต่บางครั้งเขาก็เตี๊ยมกับเพื่อนไว้แล้ว เตรียมสร้างเรื่อง ซักซ้อมคำตอบที่คุณจะถามไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่เหลือก็ดูภาษาทางกายของเขาว่ามีพิรุธออกมาให้เห็นไหม เช่น กระวนกระวาย กระสับกระส่าย ชะงักกระตุก หรือทำท่าทาง ผ่อนคลายสบายใจเกินเหตุ แกล้งทำเนียน เพราะเตรียมคำตอบไว้หมดแล้วหายห่วง
  • - Leaking of Tensions กิริยารั่วไหลระบายความกดดันตึงเครียด จากความ ไม่สบายใจ ตึงเครียด รู้สึกผิด สับสนลังเล ประหม่า กระวนกระวาย อึดอัดใจ กลัว กังวล หงุดหงิดรำคาญ ไม่พอใจ โกรธ โมโห ระบายความเครียดออกมาทางภาษากาย ที่เกิดจากการโกหก
  • § กลืนน้ำลายบ่อยครั้ง ปฏิกริยาความตึงเครียด ปากแห้ง คอแห้ง กระแอมเคลียร์ลำคอให้โล่งบ่อยครั้ง
  • § ใจสั่น หัวใจเต้นแรงเต้นเร็ว หายใจติดขัด หรือหายใจถี่ขึ้น(ร่างกายต้องการอากาศมากขึ้นเพื่อไปปรับสมดุลในร่างกายและจิตใจ) อุณหภูมิสูงขึ้น เหงื่อซึมไหลออกมา(ทำให้เกิดอาการไม่สบายตัวคันระคายเคือง) มีเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าและร่างกายมากขึ้นกว่าปกติ (ทำให้เห็นสีหน้าแดง เขินอาย รู้สึกผิดหรือ โมโห โกรธอารมณ์เสีย แต่ถ้าเลือดไหลเวียนเดินติดขัดก็ทำให้หน้าซีดขาว กลัว วิตกกังวล หน้าเขียวได้รับบาดเจ็บ)
  • § การแสดงความไม่พอใจ ไม่ชอบ หงิดหงุด รำคาญ ไม่เห็นด้วย ความคิดด้านลบ ดูหมิ่น รังเกียจ อิจฉา ริษยา เบ่งข่ม เล็ดรอดรั่วไหลออกมาจากการแสดงอารมณ์หลักที่แกล้งทำ แต่ความไม่พอใจนั้นมาจากข้างในจิตใจของเขาจริง ๆ  ยิ่งปราบกดเก็บไว้ มันยิ่งจะตึงเครียดจนหาทางระบายออกผุดขึ้นมาให้เราสังเกตเห็นความผิดปกติ ที่แตกต่าง นูนโดดเด่นจากอารมณ์ปกติของเขา
  • § กริยาที่แสดงความไม่พอใจ ขมวดคิ้ว หรี่ตา ขยับมุมปาก ทำปากจู๋ มุ้ยปาก ริมฝีปากเบะ ยื่นริมฝีปาก หรือเม้มริมฝีปากเข้าไปในปาก ขบริมฝีปาก หรือ แลบลิ้น ขบลิ้น กัดฟัน หรือ สันจมูกย่น เป็นต้น
  • § กริยาที่แสดงความเครียด ส่วนต่าง ๆ ของใบหน้าเกร็ง กระตุก ตา คิ้ว จมูก หรือ มีรอยย่นยับที่หน้าผาก ขมับ โหนกแก้ม กราม คาง หรือ กระพริบตาถี่มากขึ้น หรือ กุมมือ ประสานมือ กำหมัดแน่น และมือกุม บีบนวด ศรีษะ หน้าผาก ขมับ ลำคอ ท้ายทอยเป็นต้น
  • § ลูบ สัมผัส ป้องปิด เกา ส่วนต่าง ๆ ของใบหน้า ตา คิ้วจมูก ปาก หู คอ บ่งบอกถึง การโกหก การคันระคายเคืองทางจิตใจ
  • § ฝืนยิ้ม ฝืนหัวเราะ ดูไม่เป็นธรรมชาติ ทำหน้าเจื่อน คืนหน้าสู่สภาวะปกติจังหวะติดขัดค้างนาน วางสีหน้าแสดงออกไม่ถูก
  • § กอดอก หรือวางมือบนโต๊ะ เพื่อเป็นการป้องกันตัว หาสิ่งที่เป็นเกราะกำบังตัว เช่น แก้วน้ำ สมุด กระเป๋า ปากกา เพื่อให้ตัวเขาสบายใจ รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น
  • § ร่างกายช่วงบนไม่ขยับ แต่ร่างกายช่วงล่างขยับเพราะระบายความเครียด อึดอัดไม่สบายใจ อยู่ไม่สุข ลุกลี้ลุกลน มีการเคลื่อนไหวอยู่ที่ใต้โต๊ะ ที่คุณไม่เห็น เช่น ขยับนิ้วมือไปมา เคาะนิ้วกับหน้าตักหน้าขา หรือ กำมือ กุมมือประสานมือแน่น หรือ ขยับขาไปมา หรือ ขาเกี่ยวพันกับขาเก้าอี้ เป็นต้น

***ขอยกตัวอย่างพอสังเขป ที่เหลือสามารถย้อนกลับไปดูในส่วนที่กล่าวถึงมาแล้วก่อนหน้านี้ Context ส่วนประกอบของภาษาทางกาย Cluster หมวดหมู่การแสดงอารมณ์และทัศนคติของภาษาทางกาย โดยเฉพาะทัศนคติด้านลบไม่ดี Congruency ความสอดคล้องเข้ากันได้ของภาษาทางกาย โดยเฉพาะ Pinocchio Effect กริยาอาการที่โกหกพีน็อคคีโอ่ และ Detecting Micro Expressions พิรุธ การจับตรวจสอบ การแสดงออกปลีกย่อยด้านลบไม่ดี ซึ่งในแต่ละคนจะแสดงออกไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะนิสัยในการใช้ Defense Mechanisms กลไกการป้องกันตัว เพื่อเอาตัวรอดของแต่ละบุคคลที่ไม่มีทางเหมือนกันได้ ตัวเราต้องศึกษาหมั่นสังเกต ฝึกฝนทักษะในการอ่านภาษาทางกาย อ่านเจตนาจุดประสงค์ให้ออก และตรวจสอบจับโกหกของคนอื่นให้ออก จะได้ล่วงรู้เท่าทันคน ไม่ตกเป็นเหยื่อของการหลอกลวง เอาเปรียบจากการโกหกของเขา***

           

https://www.psychologytoday.com/us/blog/spycatcher/201112/body-language-vs-micro-expressions

http://www.study-body-language.com/hand-gestures-9.html#sthash.hr4BS0vS.EQfX0mxb.dpbs

https://careers.workopolis.com/advice/the-pinocchio-effect-how-to-spot-a-liar/

http://changingminds.org/explanations/behaviors/lying/detecting_lies.htm

https://www.quickbase.com/blog/know-when-someone-is-lying-7-types-of-lies

หมายเลขบันทึก: 665280เขียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2019 13:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 สิงหาคม 2019 13:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท