@chokdeemeechai
วิชาชีวิตเพื่อความมั่นคงทางจิตใจ โชคชัย คงบวรเกียรติ

อ่านจุดประสงค์เจตนาที่แท้จริงของคนให้ออก4 ตอน การสังเกตดูคนด้วยการ อ่านสีหน้าตา การจ้องมอง และ การสบสายตา


การสังเกตดูคนด้วยการ อ่านสีหน้าตา

    การมอง สังเกตใบหน้า

1. สังเกตดูจากเค้าโครงหน้าเดิมปกติของเขา ใบหน้าของเขามีรอยย่น หรือความไม่สมมาตรในหน้าตาหรือไม่

 2. สังเกตดูการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวแต่ละส่วน และใบหน้าโดยรวมทั้งหมดของเขา

การจ้องมอง Looking on the Face ด้วยการจ้องมองพื้นที่ สามเหลี่ยม Triangles

                การจ้องมองแบบเข้าสังคม (Social Gaze)สามเหลี่ยมด้านแหลมชี้คว่ำลง เพ่งจ้องมองที่ตาทั้งสองข้าง จมูก และปาก เพื่อดูที่ตา ดูที่ปากว่าเขาพูดอะไร สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่ใบหน้าของคู่สนทนา เป็นการมองที่เป็นปกติวิสัยของคนโดยทั่วไป มีการยิ้มเพื่อสร้างสัมพันธภาพด้านดีต่อกัน

                การจ้องมองแบบธุรกิจ หรือการแสดงอำนาจ (Business Gaze or Power Gaze) สามเหลี่ยมด้านแหลมขี้ขึ้น การเพ่งมองที่ตาทั้งสองข้าง และหน้าผาก เป็นการจ้องมองแบบพิธีการ ดูจริงจัง จองเขม็งอย่างไม่ละสายตา กดตาดำลงมา ตามองต่ำลงที่คู่สนทนา โดยโฟกัสไปที่หน้าผากเป็นหลัก เป็นการแสดงอำนาจ คุกคาม เป็นการเผชิญหน้ากันระหว่างทั้งสองฝ่ายในการเจรจาตกลงกันทางธุรกิจ

                การจ้องมองสนใจเพศตรงข้าม (Intimate Gaze) สามเหลี่ยมด้านแหลมชี้คว่ำลง แต่มองต่ำกว่าคาง การเพ่งมองที่ตาทั้งสองข้างและจัดจุดสนใจไปที่ข้างล่าง คือ หน้าอก หรือเป้ากางเกง เป็นการจ้องมองแบบสร้างสัมพันธ์สนใจเพศตรงข้าม ต้องการหว่านสเน่ห์ดึงดูดเย้ายวนใจ

ตำแหน่งสายตาที่จ้องมองของผู้มอง (Eyes Position Gaze) ต่ำแหน่งของตาดำที่มองหยุดในตำหน่งส่วนใดภายในของดวงตาผู้มอง มีความหมายนัยบ่งบอก ดังนี้

                ตาจ้องมองบน   

                แบบปรปักษ์ คือ เปลือกตาหรี่ ตาจ้องเขม็ง เพ่งมองอย่างไม่ละสายตา  ตากดจิกลงต่ำเล็กน้อย คิ้วขมวดมีรอยหยักที่หัวคิ้ว มีรอยย่นบนหน้าผาก ปากมุ้ย หรือบูดบึ้ง ขุ่นเคือง เอียงศีรษะไปด้านข้างใดข้างหนึ่ง

                แบบคุกคาม ศีรษะก้มต่ำเล็กน้อย เหลือบมองบน ดวงตาดำขยายมองขึ้นบนเล็กน้อย จ้องเขม็ง หัวคิ้วหยักบ่งบอกการแสดงคุกคาม ท้าทาย เหมือนเป็นการถามให้แน่ชัดด้วยสายตา

                แบบรุกรานก้าวร้าว โน้มศีรษะไปข้างหน้า ทำไหล่กว้าง พ่องตัวให้ดูใหญ่ จ้องมองตาถมึงทึง จ้องมองไม่ละสายตา ตาดำโตมาดร้าย บางครั้งโกรธจนตาแดง จ้องเขม็งไปที่ตาของฝ่ายตรงข้าม คิ้วหยัก หน้าบูดบึ้ง ขึงขังดูน่ากลัว หมายมุ่งเข้าใส่

                แบบสงสัยมีการมองสูง ยกคิ้วขึ้น ทำตาโต แล้วก้มหัวเล็กน้อย หมายความว่า มีอะไรสงสัย เป็นคำถามกลับมา

                แบบเคืองขุ่น ต่อต้าน แต่สถานะต่ำกว่า (ถูกตำหนิว่ากล่าวขุ่นเคือง) ก้มหน้าเล็กน้อย แต่ใช้สายตาเหลือบมองบนไปที่ใบหน้าฝ่ายตรงข้าม ตาจ้องเขม็ง หัวคิ้วหยักเล็กน้อย

                มองบนแบบเบื่อหน่าย เหลืออด อยากให้ผ่านไปโดยเร็ว ตามองบนขึ้นไปข้างบนเหนือศีรษะ หรือ มองเพดาน อาจจะเม้มปากขยายออกด้านข้าง

                Seduction Gaze สายตายั่วยวนใจ เสน่หา

  • เปลือกตาพริ้มให้เห็นดวงตาเล็กน้อย ดวงตาดำมองขึ้นเล็กน้อย คางเชิดขึ้นเล็กน้อย คิ้วยกขึ้น เผยริมฝีปาก แยกจากกันเล็กน้อย ดวงตาจ้องมอง ด้วยความเสน่หา สื่อความหมายที่ดึงดูดใจ ลึกลับน่าค้นหา ขี้เล่น รักสนุก
  • การมองที่มีเสน่ห์ของผู้ชายที่ดึงดูดฝ่ายหญิง ต้องการแสดงความมั่นใจ ขี้เล่น หยอกล้อ เพื่อเป็นการเชิญชวน  สายตาที่สบาย ๆ ในการจ้องมอง เพื่อสร้างความประทับใจแรกพบ ยิ้มเล็ก ๆ ไม่เปิดเผยให้เห็นฟัน ไม่ถึงกับจ้องเขม็งเพียงแต่มองด้วยสายตาโอนโยนสบาย ๆ
  • ฝ่ายชาย ทำตาเจ้าชู้ ยิ้มด้วยตาที่กรุ้มกริ่ม ตาเป็นประกาย ยิ้มเล็กน้อย เชิงขี้เล่น หยักคิ้ว หลิ่วตาเล็กน้อย

                ตาจ้องมองลง

                Dominant Gaze การจ้องมองแสดงอำนาจเหนือกว่า ศีรษะเงยขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองลง สายตาจิก ดวงตาดำมองต่ำลงเล็กน้อย บ่งบอกแสดงอำนาจ ที่เหนือกว่ามองคนที่ต่ำกว่า บางครั้งเหมือนการดูถูก เย้ยหยัน ตำหนิ ด้วยสายตา อาจจะมีเอียงศีรษะไปด้านข้างด้านใดด้านหนึ่ง และอาจเหลือบมองคู่สนทนาจากด้านข้าง

                แบบมีคำถาม ถ้ามองต่ำ ยกคิ้วสูงทำตาโต ศรีษะเงยขึ้นคางเชิด ศีรษะเอนไปด้านหลัง หรือด้านข้างอย่างชัดเจน หมายความว่า " มีอะไรกับฉันหรือ ฉันเปล่าทำอะไรนะ"

ต่ำแหน่งการมองและการหลบสายตาของผู้ถูกจ้องมอง

                Looking Up โดยปกติ เมื่อคนกำลังใช้ความคิด ก็จะมองขึ้นบน เพื่อที่จะนึกถึงข้อมูลในความทรงจำ ในบางครั้งก็ก้มหัวต่ำเล็กน้อยมองขึ้นมา เป็นการอาย ไม่เชื่อมั่นในตนเอง และหมายถึงการยอมจำนน

            Looking Down การมองลงต่ำข้างล่าง หรือมองที่พื้น หมายความว่า การยอมรับ ยอมแพ้ยอมจำนน หรือ ความรู้สึกสำนึกผิด แต่ในกรณีที่คู่สนทนานั้นมีความสูงต่ำไม่เท่ากันอย่างมาก ก็ไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ได้ตรงตามที่เห็น เช่น คนสูงกว่าจ้องมองต่ำ มาที่คนตัวเตี้ยกว่า ก็ไม่ใช่หมายถึงการมองอย่างดูถูกเหยียดหยาม เพราะสายตาของเขาต้องมองต่ำเพื่อสบตาเรา หรือคนเตี้ยกว่าสบสายตาคนที่สูงกว่า ก็ต้องเงยหน้าขึ้น หรือมองบน เพราะต้องสบสายตากับคนที่สูงกว่า เป็นต้น เป็นความแตกต่างในเรื่องส่วนสูงต่ำไม่เท่ากันของบุคคล ซึ่งต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วยในใบหน้ารวมของเขามีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปในขณะที่พูดคุยกันด้วย

                Looking Sideway การมองระดับขนานไปด้านข้าง ส่วนใหญ่เกิดจากการสำรวจแหล่งที่มารบกวน หรือสิ่งที่ทำให้เกิดความสนใจ ทำให้วอกแวกเสียสมาธิ จากสิ่งรอบตัว

                การเคลื่อนไหวของดวงตา

                การมองสลับไปมา ด้านข้าง ซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย การเบี่ยงเบน หรือโกหก เพื่อหาช่องทางในการหลบหนีสายตา หรือหาคนสมรู้ร่วมคิด การกวาดสายตามองว่าไม่มีใครบุคคลที่สามอยู่ใกล้ตัวเขา เป็นการล่วงรู้ความลับระหว่างสองคน ไม่มีใครมาได้ยินสิ่งที่เขาจะพูด

                การมองขึ้นแล้วมองลง หรือ มองลงแล้วมองขึ้น หมายถึง การสำรวจร่างกาย หรือสำรวจการแต่งกาย ของฝ่ายตรงข้าม แต่ต้องระวังสายตาที่คุกคาม หรือสายตาที่ดูถูกเหยียดยามในแววตาด้วย อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกอึดอัดถูกรุกล้ำคุกคาม ที่กำลังถูกประเมินจากสายตาที่มอง อีกความหมายหนึ่งของการมองขึ้น คือ การนึกคิด ถึงเรื่องสำคัญ หรือกำลังคิดจิตนาการถึงภาพรวมในเรื่องราวนั้นอยู่

                การมองทะลุโฟกัสไปด้านหลังของคู่สนทนา เป็นการพักสายตาแทนการสบตา และมีอีกความหมายคือ เริ่มเบื่อสิ่งที่เขาได้รับฟังเล็กน้อย อยากให้เปลี่ยนหัวข้อเปลี่ยนเรื่องคุย

                การมองด้านข้างทั้งสองข้างพร้อมกัน เหมือนการมองกลับหลังโดยที่ไม่ได้หันหัวแต่เป็นการชำเลืองมองไปด้านหลัง สองข้างแทบจะพร้อมกัน เป็นการระมัดระวังตัว มองว่ามีใครจะเข้ามาใกล้ทางด้านข้าง และด้านหลังหรือไม่ จะมีใครมาได้ยินสิ่งที่เขาจะพูดไหม

Glancing การเหลือบมอง

  • การมองหาจุดสนใจ หรือสิ่งที่ต้องการปรารถนา เช่น เหลือบมองที่ประตู เพราะต้องการละการพูดคุยเพื่อจะออกไปจากห้อง
  • การเหลือบมองบุคคลอื่น เพื่อต้องการที่จะคุยกับเขาบุคคลที่สาม หรือคุยกับคู่สนทนา ด้วยการพูดกล่าวถึงเขาคนนั้นที่เป็นบุคคลที่สาม
  • เพื่อกลบเกลื่อนความปรารถนาที่จะจ้องมองคนอื่นเป็นระยะเวลานาน เพราะดูเหมือนไม่สุภาพ เป็นการคุกคาม จึงเลี่ยงด้วยการเหลือบมอง สลับกับการจ้องมอง
  • การเหลือบมองด้านข้างหางตา และยกคิ้วขึ้น ทำตาโต หมายถึง การดึงดูดใจอย่างเสน่หา แต่ถ้าไม่ยกคิ้ว และขมวดคิ้ว มีรอยหยักที่หัวคิ้ว หมายถึง ไม่พอใจ หงุดหงิด รำคาญ

                การเหลือบมอง (Sideway Glance) คือ การเหลียว ชำเลืองมองไปด้านข้าง ไปทางหางตา

1. การจ้องเหลือบมองแบบเป็นปรปักษ์ มีความสงสัย ระมัดระวัง หวาดระแวง คือ เปลือกตาหรี่ ตาจ้องเขม็ง เพ่งมองอย่างไม่ละสายตา  ตากดจิกลงต่ำเล็กน้อย คิ้วขมวดมีรอยหยักที่หัวคิ้ว มีรอยย่นบนหน้าผาก ปากมุ้ย หรือบูดบึ้ง ขุ่นเคือง เอียงศีรษะไปด้านข้างใดข้างหนึ่ง "บ่งบอกว่าอย่ามาใกล้ฉัน ฉันกำลังสงสัยคุณอยู่นะ"

2. การจ้องเหลือบมองแบบเป็นมิตร ส่วนใหญ่จะมองแนวด้านขนานระนาบกับระดับสายตา ดวงตาผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด ยิ้มให้

3. การจ้องเหลือบมองแบบเสน่หา ดึงดูดความสนใจเพศตรงข้าม หว่านเสน่ห์ เป็นการเหลือบมอง ทำตาโต ตาดำขยาย ชำเลืองมอง คิ้วยกขึ้นเล็กน้อย เพื่อแสดงถึงดวงตาไร้เดียงสา ยิ้มเล็กน้อย ยื่นริมฝีปากล่าง เป็นการบอกเป็นนัยว่าเป็นการเชิญชวน ถ้าคุณเห็นใครส่งสายตาแบบนี้ให้คุณรอให้เธอเหลือบมองคุณอีกครั้ง ให้ประสานสายตา จ้องมองเธอและยิ้มเล็ก ๆ ให้เธอ ถ้าเธอยิ้มตอบกลับมา คุณก็เข้าหาและสามารถพูดคุยกับเธอได้เลย

                Pupils Size ขนาดตาดำ รูม่านตา

                โดยปกติ รูม่านตาจะปรับตัวตอบสนองไปตามสภาพแสงที่มากระทบดวงตา

                ถ้ามีแสงมาก หรือแดดจ้า รูม่านตา หดเล็กลง เส้นผ่าศูนย์กลาง 2-4 มิลลิเมตร รูม่านตาเล็กลงเพื่อปรับสายตาไม่ให้ได้รับแสงมากเกินไปที่จะส่งผลกระทบต่อการมองเห็นของดวงตา และรักษาไม่ให้เกิดอันตรายผลเสียต่อดวงตาได้รับแสงมากเกินไป และเมื่อต้องโฟกัส ซูมเพ่งมองเพื่อมองให้เห็นชัดเจนมากขึ้น

                ถ้ามีแสงน้อย หรือ มืด ไม่ค่อยมีแสงออกสลัว รูม่านตา ขยายใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5-8 มิลลิเมตร รูม่านตาขยายเพื่อปรับให้ตาได้รับแสงมากขึ้น เพื่อให้ตามองเห็นได้ชัดขึ้นในสภาพแสงน้อย

                การควบคุมการทำงานของรูม่านตา ตาดำ ตาขาว เป็นการสั่งงานของ ระบบประสาทอัตโนมัติ ในการปรับแสง ความสว่าง สี และปรับระยะทางการโฟกัสในการมองใกล้ มองไกล ที่สั่งการทำงานด้วยสมอง ที่ควบคุมการทำงานและการเคลื่อนไหวของร่างกายทั้งหมด

                รูม่านตาขยายใหญ่

  • เวลาใช้ความคิด ครุ่นคิด
  • แสดงถึง ความสนใจ อยากรู้อยากเห็น ตื่นเต้น ประหลาดใจ ดีใจ พอใจ ชอบ มีความรักเสน่หา
  • การดึงดูดใจทางเพศ ยั่วยวนสเน่หา ทำตาโตบ๋องแบ๋ว และทำตาพริ้ม

รูม่านตาหดเล็กลง

  • การนับถือเลื่อมใส ความจงรักภักดี
  • รังเกียจ ชิงชัง อิจฉาริษยา
  • ความไม่พอใจ ไม่ชอบ หงุดหงิด รำคาญ
  • การปรับโฟกัสของสายตา ให้สามารถมองวัตถุความใกล้ของสิ่งของได้ชัดเจนมากขึ้น

รูม่านตา ขยายใหญ่ขึ้น บ่งบอกถึง ด้านดี

รูม่านตา หดเล็กลง บ่งบอกถึง ด้านลบไม่ดี

แต่มีกรณียกเว้นพิเศษ คือ โกรธ โมโห ตกใจกลัว ตาดำขยายใหญ่

                ลักษณะรูม่านตาขยาย จะสังเกตุได้ยาก หากคนนั้นมีตาสีดำ โดยเฉพาะคนเอเซีย และขึ้นอยู่กับขนาดของดวงตาที่เล็กก็จะทำให้สังเกตเห็นได้ยากมากขึ้น รูม่านตาPupils จะมีสีเข้มกว่า ม่านตา Iris ตาดำ

                รูม่านตา และการขยาย หรือหดเล็กของตาดำ นั้นโดยปกติ จะปรับไปตามแสงที่ผ่านเข้ามาในดวงตา ถ้ามีแสงสว่างมาก รูม่านตาและตาดำหดเล็กลงเพื่อปรับสายตาไม่ให้ได้รับแสงมากเกินไป อีกทั้งยังทำให้ต้องหรี่ตาลงด้วย แต่ถ้ามีแสงสว่างน้อย รูม่านตาและตาดำจะขยายกว้างเพื่อให้รับแสงได้มากขึ้นในที่สภาพแสงมีน้อย เนื่องจากเมืองไทยเป็นประเทศร้อน แดดจ้า คนจึงหรี่ตา หัวคิ้วอาจตกเล็กน้อย ตาดำหดเล็กลงได้ในสภาพแสงแดดจ้าร้อนจัด การใช้การวิเคราะห์โดยดูตาดำขยายหดในสภาพแสงจ้า) อาจต้องดูองค์ประกอบอย่างอื่นเพื่อช่วยพิจารณาด้วย อย่าเชื่อมั่นในสิ่งที่เห็นเพียงอย่างเดียว  (แต่ถ้าเป็นสภาพแสงปกติก็สามารถยึดหลักการมาใช้ประยุกต์ได้)

การสบสายตา Eyes Contact

                เพื่อควบคุมการไหลลื่อนของการสนทนา รักษาความสนใจ ดึงดูดใจของผู้ฟัง สัณญาณในความสนใจและสร้างสัมพันธ์ไมตรี ช่วยหยุดคนที่พูดพร่ำ คุยไม่ยอมหยุด พูดพล่ามเรื่อยเปื่อยไม่มีสาระ การจ้องเขม็ง และเป็นการดึงดูดใจ ยั่วยวน สเน่หา

                ถ้าคุณเป็นผู้ฟัง Listener ต้องแสดงความสนใจในคำพูดของเขา ด้วยการยื่นศีรษะโน้มเอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อย หรือการพยักหน้าตอบรับ เพื่อเป็นการบอกด้วยภาษากาย "ใช่, ฉันชอบ คุณพูดอะไรอยู่ พูดต่อไป"

1) การโน้มไปข้างหน้า ต้องคำนึงถึง พื้นที่ความเป็นส่วนตัวของบุคคล เพื่อไม่ให้ไปรุกล้ำ คุกคาม ความไม่บายใจของคนอื่น อาจจะทำให้ตึงเครียด และก้าวร้าวได้

2) ถ้าคุณพยักหน้า ยิ้ม โน้มตัวไปข้างหน้า ให้ความสนใจในการที่เขาแสดงให้เห็นความกระตือรือร้น และมองด้วยสายตาต่ำลงเล็กน้อย หรือมองใต้ดวงตาของเขา เป็นการแสดงว่าต้องการฟังมากขึ้นอีก

                ถ้าคุณเป็นผู้พูด Talker การรักษาการจ้องสบตาระหว่างพูดคุยกับบุคคลอื่น เพื่อเพิ่มความใน่ใจสนใจในสิ่งที่คุณพูด และเช็คตรวจสอบว่าเขาฟังในสิ่งที่คุณพูด คุณสามารถทำให้ผู้ฟังรู้สึกถึงเขาเป็นคนเดียวในโลกที่คุณให้ความเอาใจใส่มากที่สุดที่จะส่งสารไปยังเป้าหมายถึงเขา แต่ถ้าพูดคุยกันมากกว่า 2คนขึ้นไป กลุ่มคนก็ให้ใช้การกวาดสายตามองเหมือนกับแสงไฟประภาคารที่ฉายแสงไปรอบ ๆ ห้อง อาจจะหยุด เพื่อมองตา บ้างบางคน บางขณะ แล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ ใหม่อีกครั้ง หรือจ้องมองหน้ารายบุคคล หรือซุ่มจ้องบางคนแล้วกวาดตามองรอย ๆ เพื่อเป็นการบอกถึงเราต้องการให้เขาสนใจ เข้าใจในสิ่งที่เราพูด

                การสบตาที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดี ควรจะสบสายตาให้นานพอ ประมาณ 60-70 เปอร์เซ็นต์ ของบทสนทนา หรือ 2 ใน 3 ของบทสนทนา เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมิตร การหลบสายตา หรือการมองต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการสบสายตาควรที่จะไม่ใช้เวลาเกิน 1 ใน 3 ของบทสนทนา เพราะจะบ่งบอกถึง ดูไม่น่าเชื่อถือไว้วางใจ ขี้อาย หรือเก็บตัว อีกทั้งแสดงความไม่เป็นมิตร หรือปกปิดอะไรบางอย่าง

หมายเลขบันทึก: 665041เขียนเมื่อ 8 สิงหาคม 2019 11:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 สิงหาคม 2019 09:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท