สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลน ๙. กระตุ้นความหวังและการมองโลกในแง่ดี



บันทึกชุด สอนเข้ม เพื่อศิษย์ขาดแคลนนี้ ตีความจากหนังสือ Poor Students, Rich Teaching : Seven High-Impact Mindsets for Students from Poverty (Revised Edition, 2019)  เขียนโดย Eric Jensen ผู้ที่ในวัยเด็กมีประสบการณ์การเป็นเด็กขาดแคลนอย่างรุนแรง และมีปัญหาการเรียน    และเคยเป็นครูมาก่อน    เวลานี้เป็นวิทยากรพัฒนาครู    ผมคิดว่าสาระในหนังสือเล่มนี้ เป็นชุดความรู้ที่เหมาะสมต่อ “ครูเพื่อศิษย์” ที่สอนนักเรียนที่มีพื้นฐานขาดแคลน ผมเข้าใจว่าในประเทศไทยนักเรียนกลุ่มนี้เป็นนักเรียนส่วนใหญ่ของประเทศ   

บันทึกที่ ๙ กระตุ้นความหวังและการมองโลกในแง่ดี  นี้เป็นบันทึกที่ ๒ใน ๔ บันทึกภายใต้ชุดความคิดบวก (positivity mindset)    ตีความจาก Chapter 7 :  Boost Optimism and Hope     

ความหวัง (hope)  และ การมองโลกแง่ดี (optimism) แตกต่างกัน    แต่มีการสับสนกันบ่อยมาก แม้ในวงการวิจัยก็สับสน    ความหวังเป็นความรู้สึกว่า ในที่สุดเรื่องราวหรือเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปในทางดีขึ้น    ส่วนการมองโลกแง่ดี เป็นความเชื่อว่าเรื่องราวจะก้าวหน้าไปในทางที่ดีขึ้นจากฝีมือของตนเอง    นี่คือนิยามจากในหนังสือนะครับ    ไม่ใช่นิยามของผม   

บ่อยครั้งที่คนมีความหวังเป็นคนที่มีระดับของการควบคุมตนเองต่ำ คือหวังว่าจะมีคนอื่นมาทำให้ดีขึ้น    ไม่ใช่ฝีมือของตนเอง    ส่วนการมองโลกแง่ดี เป็นการเชื่อมั่นในตนเอง ว่าจะทำให้ดีขึ้นได้   

การมีความหวัง และการมองโลกแง่ดี ทำให้นักเรียนมีชีวิตชีวา และขยันทำงาน    เป็นสภาพที่ทำให้ชีวิตครูเป็นชีวิตที่ดี และมีผลงานดี  

หนังสือเสนอกลยุทธสร้างการมองโลกแง่ดีและมีความหวัง ๔ ประการคือ (๑) สร้างรูปแบบการมองโลกแง่ดีทุกวัน  (๒) สร้างความหวังทุกวัน  (๓) สร้างความคิดที่ดีต่อตนเอง  (๔) ส่งเสริมสนับสนุนการมีความฝัน

สร้ างรูปแบบการมองโลกแง่ดีทุกวัน

เมื่อเรามองโลกในแง่ดี  เท่ากับมองว่าเรื่องร้ายเป็นสิ่งชั่วคราว  มีข้อจำกัด และจัดการได้    การฝึกมองโลกแง่ดี เท่ากับการฝึกมองโลกจากมุมมองที่แตกต่าง    ครูต้องหาทางให้ถ้อยคำในการสนทนาประจำวัน เป็นวาทกรรมของการมองโลกแง่ดี    เช่น เมื่อนักเรียนทักทายครูว่า  How are you doing?   ครูตอบว่า Never be better  หรือ I am living my dream  หรือ  It’s a great day to learn    และอาจถามกลับว่า And how about you?    ครูแสดงตัวอย่างให้นักเรียนเห็นว่า ครูมีความพึงพอใจงานของตน  ชีวิตของตน   สภาพเช่นนี้ติดต่อไปยังคนรอบข้าง คือนักเรียน ได้มองโลกแง่ดี    

จุดสำคัญคือ จงใจละเลย ไม่สนใจ หรือมองข้ามเรื่องร้าย หรือข่าวร้าย    เพื่อสร้างบรรยากาศชั้นเรียนที่มองโลกแง่ดี

ต่อไปนี้เป็นเครื่องมือสร้างการมองโลกแง่ดี     

         สอนให้เด็กมองเรื่องต่างๆ เสมือนภาพสามมิติ (perspective)

                เรื่องราวต่างๆ มีความซับซ้อน มีหลายมิติ    ครูพึงฝึกให้นักเรียนหัดมองเรื่องราวต่างๆ จากหลายแง่หลายมุม     วิธีฝึกทำโดยจับคู่นักเรียน  ครูให้ฉากสถานการณ์ (scenario)    แล้วให้นักเรียนผลัดกันเสนอมุมมองต่อเพื่อน    ทั้งมุมมองด้านบวก และมุมมองด้านลบ    ตัวอย่างฉากสถานการณ์ เช่น

  • ตัวนักเรียนได้รับคะแนนผลการทดสอบต่ำ    นักเรียนจะใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองได้อย่างไร
  • ตัวนักเรียนไม่ได้รับคัดเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตามตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ระบุ    สภาพเช่นนั้นมีข้อดีอย่างไร
  • นักเรียนไปสมัครงาน แต่ไม่ได้รับเลือก   มองว่าเป็นเรื่องดีได้อย่างไร  

                ครูอาจเล่าเรื่องจริงในชีวิตของตนเอง     เพื่อให้เห็นว่าชีวิตจริงมีหลายแง่มุมจริงๆ    เปิดโอกาสให้นักเรียนซักถาม และให้ความคิดเห็น เพื่อให้ได้ซึมซับ

         ใช้คำที่สร้างพลัง

                ครูฝึกให้นักเรียนใช้คำพูดในชีวิตประจำวันที่สร้างพลัง หรือบ่งบอกถึงสิ่งที่สูงส่ง    ทั้งในภาษาพูดและภาษาเขียน    โดยมีตัวอย่างวิธีฝึกต่อไปนี้

  • ให้นักเรียนระดมความคิดหาคำหรือวลีที่มีพลังบวก ๑๐ คำหรือวลี
  • ให้นักเรียนใช้เวลา ๓ - ๕ นาที เขียนเล่าเรื่องดีๆ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
  • ให้นักเรียนใช้เวลา ๓ - ๕ นาที เขียนเล่าเรื่องที่ก่อปัญหา  และสะท้อนคิดบทเรียนจากเรื่องนั้น
  • ให้นักเรียนเลือก คำที่ก่อพลังประจำวัน และใช้คำนั้นอีก ๕ ครั้ง    

                จงอย่าให้คะแนนกิจกรรมเหล่านี้   เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมุ่งเรียนรู้เพื่อฝึกตนเอง ไม่ใช่ทำเพื่อคะแนน      

        เอาชนะความล้มเหลว

              ทุกคนเคยล้มเหลว   ประเด็นสำคัญคือเราทำอะไรหลังความล้มเหลวนั้น    ความลับคือ เมื่อเราล้ม เราลุกขึ้น    ดังนั้น บทเรียนจากความล้มเหลวคือ จงอย่าถอย    ท้อได้ แต่อย่าถอย   จงพยายามต่อไป โดยใช้ความผิดพลาดเป็นครู   

              แนะนำให้ครูแชร์เรื่องราวความล้มเหลวของตนในอดีต  แล้วให้นักเรียนแชร์ตัวอย่างเรื่องราวความล้มเหลวต่อเพื่อนทั้งชั้น  แล้วตั้งคำถามว่า ควรทำอย่างไรต่อไป   

              เทคนิค “เขียนอย่างเร็ว” (quick write) จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจตนเอง และมองโลกต่างออกไป    ทำโดยให้เวลา ๓ - ๑๐ นาที  เขียนวิธีเอาชนะความล้มเหลว เช่น ให้ตอบคำถาม ฉันจะแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญอย่างไร   หรือ ฉันจะยกระดับเกรดที่ได้ในการทดสอบครั้งต่อไปได้อย่างไร    แล้วให้นักเรียนแชร์ข้อเขียนกับเพื่อนเป็นกลุ่ม หรือแชร์กับเพื่อนทั้งชั้น  

               เขาแนะนำหนังสือ The Success Principles  เขียนโดย Jack Canfield (2015) สำหรับเป็นคู่มือหาวิธีการสร้างเจตคติเชิงบวก ในชั้นเรียนประจำวัน  เพื่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนักเรียน  

 สร้างความหวังทุกวัน

การสร้างความหวังทุกวัน เป็นกระบวนการปลูกฝังความเชื่อว่า ชีวิตคนเรามีโอกาสทำสิ่งที่มีคุณค่า ได้    ครูเริ่มโดยการสร้างปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน ในลักษณะที่ให้เกียรติ และเข้าใจความคิดของนักเรียน   แค่นี้ก็ช่วยให้นักเรียนมีความหวัง    นอกจากนั้นยังมีเครื่องมือสร้างความหวัง ดังตัวอย่าง

       สอนการตั้งเป้า

             การจัดการอนาคตของตนเองเป็นการสร้างความหวัง    ฝึกนักเรียนให้เขียนเป้าหมายใหญ่ของตน  และตารางเป้าหมายรายทางบนกระดาษ โดยมีช่วงเวลาของแต่ละเป้า    มีช่องให้กรอกความก้าวหน้า    ครูสอนนักเรียนให้ประเมินความก้าวหน้าเป็น   นำมาเป็นข้อมูลป้อนกลับ  เพื่อปรับปรุงวิธีทำงาน  สู่ผลงานที่ดียิ่งขึ้น    

       แสดงความก้าวหน้าประจำวัน

             ครูจัดให้มีแผ่นภาพแสดงเป้าหมายของชั้นเรียน  และความก้าวหน้าติดในห้องเรียน    อาจแสดงรายงานความก้าวหน้าของทีม   อาจแนะนำให้นักเรียนแต่ละคนเขียนรายงานความก้าวหน้าของตนเอง    การได้เห็นความก้าวหน้า เป็นการสร้างความหวัง

       ใช้คำยืนยันความหวัง

            ทำให้เป็นวัฒนธรรมของชั้นเรียน ว่าทุกคนจะพูดคำปลุกใจ ให้พลังแก่กันและกัน ในชั้นเรียนประจำวัน   เช่น “สวัสดีครับ คุณไฟแรง”   “ครูชอบบทกลอนของเธอ คุณกวีน้อย”   

             อาจจัดทำโปสเตอร์ มีคำปลุกใจ ติดในห้องเรียน เช่น “ยิ่งทำงานหนัก ฉันยิ่งโชคดี”    อาแนะนำนักเรียนให้อ่านหนังสือเกี่ยวกับความหวังและความสำเร็จ  

             อาจกำหนดให้นักเรียนผลัดกันเขียนคำหรือวลีแสดงความหวัง นำมาอ่านหน้าชั้น  

สร้างแนวความคิดของตนเอง และยกระดับความพยายาม

ครูต้องหมั่นยืนยันจุดแข็งของนักเรียนแต่ละคน    และต้องสนับสนุนให้นักเรียนสร้างแนวความคิดของตนเอง    และเพิ่มระดับความมานะพยายามของตน    การมุ่งส่งเสริมด้านที่เป็นจุดแข็ง จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้การแก้ไขจุดอ่อน และรู้จักใช้ประโยชน์ของคำแนะนำป้อนกลับ   

วิธีการสำหรับครูมีดังต่อไปนี้

         หนึ่งนาทีแห่งพลัง

               ให้นักเรียนเล่าเรื่องที่มีพลัง เรื่องละ ๑ นาที    ในประเด็นต่อไปนี้

  • o ความสามารถพิเศษของตน
  • o คนที่ตนได้ช่วยเหลือ เมื่อเร็วๆ นี้
  • o สิ่งที่ตนยกย่องในคนอื่น
  • o เรื่องราวการช่วยเหลือเพื่อน เมื่อเร็วๆ นี้
  • o การบรรลุเป้าหมายรายทางหรือเป้าหมายปลายทางเมื่อเร็วๆ นี้

               โดยจัดสัปดาห์ละครั้ง  ครั้งละ ๓ - ๔ นาที   เหมาะที่สุดในวันจันทร์ หรือวันศุกร์    ซึ่งหมายความว่า แต่ละครั้งมีนักเรียน ๓ - ๔ คน เป็นผู้พูด    โดยอาจพูดในเวทีแบบใดแบบหนึ่งใน ๔ แบบ ได้แก่  (๑) เขียน  (๒) บอกต่อเกลอเรียน  (๓) บอกในทีมร่วมเรียนรู้หรือทำโครงงาน  (๔) เล่าในชั้นเรียนทั้งชั้น    หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป    โดยต้องให้เกียรติความเป็นส่วนตัวของนักเรียนด้วย   รวมทั้งครูต้องไม่สรรเสริญความฉลาดของนักเรียน    แต่ชมความพยายาม กลยุทธ  การเลือกประเด็น   และเจตคติ ของนักเรียน    เพราะการชมความฉลาดจะก่อ “ชุดความคิดหยุดนิ่ง” (fixed mindset)    ส่วนการชมแบบหลังช่วยปลูกฝัง “ชุดความคิดเจริญเติบโต” (growth mindset)

         เชื่อมโยงความสำเร็จของนักเรียนสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่

              สิ่งที่ครูใช้คือ attribution ซึ่งหมายถึงการเชื่อมโยงการกระทำกับผลที่เกิดขึ้น     เพื่อให้นักเรียนตระหนักว่าสิ่งที่ตนกำลังทำนั้น จะนำไปสู่การบรรลุผลที่ตนใฝ่ฝัน   เป็นการยืนยันความสามารถของนักเรียน โดยอธิบายเชื่อมโยงรายละเอียดของการกระทำไปสู่ผลที่เห็น    ตัวอย่างที่ไม่ถูกต้องคือ “สมศักดิ์ เธอเขียนได้ดีมาก”    คำพูดที่มีพลังกว่าคือ “สมศักดิ์ เธอเขียนอธิบายกลยุทธ ทำให้ครูเข้าใจชัดเจนว่าเธอกำลังบอกอะไร   และกลยุทธนี้จะช่วยให้เธอประสบความสำเร็จในการตีพิมพ์หนังสือออกเผยแพร่”   

               ครูต้องใช้คำพูด attribution ที่เหมาะสมต่ออายุ หรือระดับความเข้าใจของนักเรียน    โดยมี ๔ ระดับคือ

  • o ระดับ ๑ (อายุ ๕ - ๖ ปี)   : พึงตระหนักว่า นักเรียนยังไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างความพยายามกับความสามารถ    หรือระหว่างเหตุกับผล
  • o ระดับ ๒ (อายุ ๗ - ๙ ปี)   : นักเรียนเชื่อมโยงผลสำเร็จกับความพยายามเท่านั้น
  • o ระดับ ๓ (อายุ ๑๐ – ๑๑ ปี)   : นักเรียนเริ่มแยกแยะความพยายามออกจากความสามารถได้    แต่บางครั้งก็สับสน
  • o ระดับ ๔ (อายุ ๑๒ ปีขึ้นไป)   : นักเรียนเข้าใจความแตกต่างระหว่างความพยายามกับความสามารถอย่างชัดเจน   

        นามานุกรมของชั้นเรียน

              ครูส่งเสริมให้นักเรียนทำแฟ้ม หรือ Facebook ระบุจุดแข็งหรือความสามารถพิเศษของนักเรียนแต่ละคน คนละ ๒ - ๓ อย่าง  และอาจเติมความสามารถพิเศษของเพื่อน หรือคนในครอบครัว    สามารถใช้เป็นแหล่งค้นหาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในชั้น ที่นักเรียนไปขอความช่วยเหลือได้   เช่นผู้เชี่ยวชาญการแก้ปัญหาโทรศัพท์มือถือ  ผู้เชี่ยวชาญการซื้อเสื้อผ้า  ผู้เชี่ยวชาญแบดมินตัน  รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญวิชาคณิตศาสตร์ ฯลฯ  

ส่งเสริมสนับสนุนการมีความฝัน

วิธีช่วยให้เด็กค่อยๆ พัฒนาความคิด เส้นทางชีวิต และความสามารถ ทำโดยตั้งคำถามเรื่องความฝันเรื่องอนาคตของตนเอง    คำถามเชิงขุดลึกเข้าไปภายในตน ที่นักเรียนถามตนเองต่อไปนี้  จะช่วยให้นักเรียนคิดถึงอนาคต และความสามารถในปัจจุบัน ของตนเอง

  • ฉันอยากเป็นอะไรใน ๕, ๑๐, และ ๑๕ ปี
  • ขณะนี้ฉันมีความสามารถพิเศษอะไรบ้าง
  • ฉันจะช่วยคนอื่นได้อย่างไรบ้าง
  • ฉันอยากเป็นคนชนิดไหน

นักเรียนอาจตอบคำถามเหล่านี้ออกมาเป็นเพลง  ภาพวาด  บทกวี  ข้อเขียน  หรือเล่า แชร์กับเพื่อนๆ    ซึ่งจะช่วยให้ความฝันชัดเจนยิ่งขึ้น    โดยต้องมีกติกาในชั้นว่า  ห้ามดับฝัน   เมื่อนักเรียนคนใดคนหนึ่งแชร์ความฝัน อาจไม่มีเพื่อนสนับสนุนเลย    แต่จะมีคนคนหนึ่งที่สนับสนุน คือ ครู    

เมื่อใดก็ตาม ที่นักเรียนเสนอความฝันที่ดูเสมือนเพ้อฝัน    ครูต้องชวนเด็กว่า “มา เรามาวางแผนกัน”

วิจารณ์ พานิช

๑๖ เม.ย. ๖๒

หมายเลขบันทึก: 662175เขียนเมื่อ 19 มิถุนายน 2019 17:29 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มิถุนายน 2019 17:29 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท