บุญบาปเป็นนามธรรมคงแสดงให้เห็นหน้าด้วยสายตาไม่ได้ แต่ผู้เขียนจะพยายามแสดงบุญและบาปให้ท่านผู้อ่านเห็นได้ด้วยปัญญา
ว่ามันเกิดขึ้น แสดงผล และดับไปอย่างไร
สัตว์ทุกชนิดในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นผี มนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ
ทุกชีวิตล้วนเป็นสัตว์โลก มีสติและปัญญาเท่าเทียมกัน หากมีความยึดมั่นถือมั่นในตัวไม่เท่ากัน อันเนื่องจากผลจากการกระทำของตนเอง
บุญและบาป ไม่ใช่ตัวเดี่ยวๆ มีเหตุที่เกิดและมีผลหลังเกิด ผูกพันกันไปกับสัตว์ผู้ก่อข้ามภพข้ามชาติไม่เสื่อมสลาย ผู้เขียนจึงพยายามรวบรวมเอาความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงมาเขียนให้กะทัดรัดที่สุด อาจจะยาวไปสักหน่อย
เพราะการอธิบายลักษณะของนามธรรมให้เห็นชัดแบบวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผลรองรับ และใช้อุปมาอุปมัยยกตัวอย่างให้เข้าใจตามแบบจินตมยปัญญานั้นยากหลาย
พระพุทธองค์จึงมีคำสอนที่ว่า "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ" รู้ได้เฉพาะตน(ภาวนามยปัญญา)
"ใครมีความยึดมั่นถือมั่นในตนมากจะมีสติปัญญาน้อยกว่า ใครมีความยึดมั่นถือมั่นในตนน้อยจะมีสติปัญญามากกว่า"
เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ล้วนเกิดขึ้นจริง ด้วยความเป็นจริงและเป็นธรรมอย่างใสสะอาด
ใครจะรู้เห็นความจริงที่เกิดขึ้น มีความเข้าใจอันเหตุที่เกิดและผลของมัน ก็คงอยู่ที่การยึดมั่นถือมั่นในตนที่มีมากน้อยของสัตว์ผู้นั้น
ความยึดมั่นถือมั่นในตนนั้นเกิดจากความไม่รู้ พุทธศาสนาเรียกว่า อวิชชา
การมีความยึดมั่นถือมั่นในตนมากน้อยนั้น เป็นเหตุให้มีการกระทำอันเป็นกุศลหรืออกุศลเกิดขึ้น
กุศลหรืออกุศลที่สรรพสัตว์กระทำอันเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนั้นแหละคือนามธรรมของบุญและบาป เมื่อเกิดการกระทำขึ้นแล้วไม่ว่าดีหรือร้ายมันย่อมต้องมีผล
บุญและบาปส่งผลอย่างไร..
บุญและบาป หนักเบาเกิดจากแรงของความยึดมั่นถือมั่นในตนนั้นหรือคือความปรารถนาของตนนั้น กระทำขึ้นมา ผลของมันกระทบไปเท่าไหร่มันสะท้อนกลับมาหาผู้กระทำเท่านั้น
ทำไมบุญและบาปจึงสะท้อนผลกลับมาหาผู้กระทำ..
อธิบายแบบจินตมยปัญญา(วิทยาศาสตร์)
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจากการตั้งใจมีลักษณะเป็นคลื่นพลังงาน เคลื่อนที่เป็นวนรอบ วนกลับมาจุดที่เกิดเสมอ เช่น โลกหมุนวนรอบดวงอาทิตย์ ฤดูกาลหมุนรอบเป็นเวลา หรือปฏิจจสมุปบาทการหมุนวนรอบเกิดดับของจิต เป็นต้น
ตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้นมีการหมุนรอบลักษณะเป็นอจินไตย ไม่รู้จุดกำเนิดและสิ้นสุด
อุปมาการเกิดและสิ้นสุดของบุญและบาปเหมือนพลังงานในถ่านไฟฉาย
กระแสไฟในถ่านไฟฉาย เมื่อออกมาพ้นขั้วบวก มันพยายามหาทางวิ่งกลับไปที่ขั้วลบของมันตามกฎ หากกระแสไฟนั้นไม่กลับไปถึงขั้วลบ จะไม่เกิดพลังงานใดๆขึ้นมา
ส่วนบุญและบาปนั้นเมื่อกำเนิดและให้ผลแล้วมันจะวนกลับมาหาจุดกำเนิดเช่นกัน แต่วนกลับมาในรูปของผลกระทบ
บุญนั้นจะเป็นแรงส่งในสิ่งที่ดี ส่วนบาปนั้นจะส่งผลในทางไม่ดี
และสัตว์ไม่อาจหนีพ้นบุญบาปของตัวเองไปได้
อุปมาอุปมัยเช่นเดียวกับกฎของแรงดึงดูดโลก
หากเราเอาเชือกผูกก้อนหินห้อยไว้ ก้อนหินจะถูกแรงดึงดูดโลกดึงไว้หยุดนิ่ง ไม่ว่าเราจะเหวี่ยงหินก้อนนั้นไปทางไหน ไม่อาจพ้นไปจากเชือกที่ผูกไว้ได้ มันจะเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา สุดท้ายมันจะหยุดนิ่งที่จุดเดิม คือจุดที่แรงโน้มถ่วงดึงไว้ ตามกฎของโลก
หรือไม่ว่าเราจะยืนอยู่ที่ใดบนโลก หากเคลื่อนที่ออกไปในอากาศเป็นเส้นตรงทำมุม ๙๐ องศากับระดับน้ำทะเล แรงดึงดูดโลกจะดึงกลับมาที่ตำแหน่งเดิมเสมอ และมนุษย์ไม่อาจเคลื่อนที่พ้นไปจากแรงดึงดูดโลกได้
ทุกสิ่งอยู่ภายใต้อำนาจกฎแรงดึงดูดของโลก
ทุกการกระทำอันเกิดจากแรงปรารถนาหรือความยึดมั่นถือมั่นก็อยู่ภายใต้อำนาจของกฎแห่งกรรมเช่นกัน
กฎแห่งกรรมนั้นอยู่ในโลกธาตุ ใหญ่กว่าโลกที่เรามองเห็นด้วยตา มีอำนาจครอบคลุมไปทั่วทั้งสังสารวัฏฏ(ทุกมิติที่สัตว์อาศัย)
ทุกการกระทำด้วยกาย วาจา ใจ อันเกิดจากแรงปรารถนาของสัตว์นั้นไปกระทบสิ่งใด เกิดผลเป็นบุญหรือบาปมีลักษณะเป็นคลื่นนามธรรมกระจายผลของมันออกไปทุกทาง
แต่ไม่ออกไปนอกกฎแห่งกรรม ลักษณะเดียวกับคลื่นของน้ำในกะละมัง
แต่ผลของบุญและบาปอาจจะเคลื่อนที่ไปตรงๆ และผลของมันกระทบตรงไหนก็สะท้อนหาทางกลับมาที่จุดกำเนิดเสมอ
เหมือนโต๊ะสนุ๊กเกอร์ที่มีลักษณะกลม ไม่มีหลุม ไม่ว่าลูกสนุ๊กเกอร์จะวางตรงไหนบนโต๊ะ เมื่อกระทบไม้แทง ลูกสนุ๊กเกอร์จะเคลื่อนไปกระทบขอบและสะท้อนออกไปกระทบขอบครั้งที่ ๒ แล้วสะท้อนไปกระทบขอบอีก หลายๆครั้งทำมุมสะท้อนเท่าๆกัน
การสะท้อนของลูกสนุ๊กเกอร์กับขอบที่เป็นวงกลม จะกระทบและสะท้อนเป็นมุมองศาเท่าๆกันนั้น เพื่อสะท้อนแรงกลับมาหาจุดกำเนิด อาจจะหมดแรงก่อนถึงจุดกำเนิด
หรือหากมีแรงไม่สิ้นสุด ลูกสนุ๊กเกอร์จะเคลื่อนที่ผ่านจุดกำเนิด ไปกระทบขอบที่จุดเดิมๆ อีก เพื่อกลับมาจุดกำเนิดอีก
ลักษณะการเคลื่อนที่ของมันจะเป็นวงรอบ เช่นเดียวกับปฏิจจสมุปบาท หรือการเคลื่อนของฤดูกาลก็เปรียบได้
แต่การเคลื่อนที่ของบุญกับบาปนั้น ไม่มีวันหมดแรง นัยยะเดียวกันมันจะสะท้อนผลกลับมาที่ผู้ก่อเป็นอันสิ้นสุด
หากอุปมาบุญบาปเปรียบเหมือนลูกสนุ๊กเกอร์
โต๊ะสนุ๊กเกอร์ก็เปรียบได้ดังสังสารวัฏฏนี้ทีเดียว
มนุษย์มิได้เกิดมาเพื่อเผชิญชีวิตอย่างที่เข้าใจกัน
เราเกิดมาเพราะผลสะท้อนของบุญหรือบาปที่เรากระทำ และจะต้องตายไปเกิดเป็นสัตว์อื่นในโลกอื่นตามผลสะท้อนของบุญหรือบาปนั้นบันดาลต่อไป
เพราะผลของบุญและบาปที่เราได้กระทำไว้แล้วในอดีตหรือจะกระทำต่อไปในอนาคต ผลของมันจะผูกเราไว้ในสังสารวัฏฏ รอรอบที่จะสะท้อนวนกลับมาแสดงผลสุดท้ายที่ผู้กระทำเป็นผู้ได้รับผลนั้นเป็นอันสิ้นสุดแรงของบุญและบาปที่ได้กระทำนั้น ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนก็ตาม..
พุทธศาสนาไม่ได้สอนให้เราทำบุญชาตินี้เพื่อเอาไปใช้ชาติหน้า หากพุทธศาสนาสอนเรื่องทาน ศีล ภาวนา ด้วยเหตุผลเพื่อให้เรารู้จักการทำบุญละเว้นบาป #เป็นหนทางเริ่มต้นสู่แสงสว่างแห่งปัญญา
ทาน ศีล ภาวนา อันเป็นบุญเบื้องต้นเพื่อให้จิตใจเราสงบ
หากใครรักษาทาน ศีล ภาวนา ได้อย่างบริบูรณ์พูนผลตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา
จะเกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอดรู้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติตามกฎไตรลักษณ์ ถือเป็นผู้รู้
ผู้ก้าวพ้นอวิชชาความไม่รู้ เป็นหนทางมุ่งสู่ความบริสุทธิ์นิพพานต่อไปตามกฎเกณฑ์
ความรู้นั้นมีอยู่ เราจะรู้หรือไม่รู้อยู่ที่เรา
ความจริงนั้นมีอยู่ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่ออยู่ที่เรา
ส่วนความเข้าใจนั้นขึ้นอยู่กับระดับของปัญญา
ความจริงอันเชื่อได้จากการเห็นด้วยตาหรือได้ยินด้วยหูนั้น เช่นเชื่อตามที่ตาเห็นว่าจริงนั้นเป็นความเชื่อของปัญญาระดับสัญญา จำได้หมายรู้ ว่าสิ่งที่เห็นนั้นคืออะไร
ความเชื่อรูปแบบนี้เป็นความเชื่อระดับปัญญาพื้นฐานของสัตว์ทั่วไปเรียกว่า สุตตมยปัญญา
ความเชื่ออันเกิดจากปัญญาวิเคราะห์ ไตร่ตรองด้วยเหตุและผลในสิ่งที่เห็น หรือเชื่อด้วยตรรกะความน่าจะเป็น
เป็นความเชื่อในระดับภูมิปัญญาของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปรวมถึงเทวดา เรียกว่า จินตมยปัญญา
ส่วนการจะรู้เห็นความจริงของสิ่งใดได้นั้น
และไม่มีความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นระดับปัญญาของพระอริยบุคคลคือ ภาวนามยปัญญา
รู้เห็นความจริงตามกฎไตรลักษณ์
หากท่านผู้อ่านอ่านแล้วไม่เข้าใจ
ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะความเข้าใจในระดับของความเชื่อยังเป็นอวิชชาหรือความไม่รู้อยู่นั่นเอง ยังไม่เห็นกฎไตรลักษณ์หรือความเป็นจริง
หลายคนส่วนใหญ่ยังสร้างบุญด้วยการหวังในผลของมัน หรือบางคนก่อบาปขึ้นโดยไม่รู้ผลของมัน ก็เกิดจากความไม่รู้ทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าสอนให้เราทำบุญเพื่อให้ใจสงบและมีสติปัญญาระลึกรู้ความจริงขึ้นมาได้ แต่สัตว์ผู้ยังไม่รู้ความจริงหากได้ทำบุญอยู่บ้าง จะยังช่วยบรรเทาชีวิตมิให้เกิดความลำบากไปตกในอบายภูมิ อันก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น เป็นบาปสะสมติดตัวรอผลของบาปต่อไปอีก
หากท่านผู้อ่านต้องการความกระจ่างเข้าใจอย่างถ่องแท้ ต้องศึกษาปฏิบัติศีล ทาน ภาวนา ให้ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา เพื่อคลายความยึดมั่นถือมั่นให้เบาบางลง จะเข้าใจได้ง่ายขึ้น
และอาจได้เข้าสู่หลักไตรสิกขา หากปฏิบัติตนในศีล สมาธิ สมบูรณ์พูนผล
ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงนั้นก็จะเกิดขึ้นมาเอง..
ถึงตรงนี้ท่านจะรู้เห็นบุญและบาปได้อย่างชัดเจนด้วยปัญญาของท่านเอง
.ธัมมานุสารี.
ไม่มีความเห็น