ผีเกาะขา?


ค่ำนี้ผมออกวิ่งตามปกติ คิดในใจว่าคงวิ่งเพียง ๔ กิโลก็พอ เพราะเมื่อวานซัดไป ๘ แล้ว

“เอ๊ะ ทำไมขามันหนักๆ ยกไม่ค่อยขึ้น มันเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาเกาะน่องเกี่ยวขาทั้ง ๒ ข้างของผมไว้”

ถึงเวลานั้น ขนทั้งร่างกายก็ลุกชัน 

ผมเหลือบมองนาฬิกา นั่นมันก็แค่ ๓ ทุ่ม ผู้คนในหมู่บ้านยังคงเดินออกกำลังกายกันหลายคน

แต่ผมกลัว

วิญญาณของใครหนามาเกาะน่องผม เกี่ยวแข่งเกี่ยวขาจะหาตัวก็ไม่พบ แต่มันเกาะอยู่แน่ๆ

ผมนึกไปถึงเมื่อตอนเช้า

หรือว่า เจ้าพ่อร่างนั้นจะหันมาเกาะผมแทน “เธอ”

..........

“หมอ หนูนอนไม่ได้ หนูนอนไม่หลับมา ๒ คืนแล้ว” เธอผู้เป็นเจ้าของเสียงบ่นกำลังนั่งหัวฟูอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่ผมเข้าไปเยี่ยมในช่วงเช้าของเมื่อวาน

“คนไข้เพิ่งรับการผ่าตัดมดลูกและรังไข่เพราะมะเร็งโพรงมดลูกมาเมื่อ ๓ วันก่อนค่ะอาจารย์” คุณหมอข้าวปุ้นผู้เป็นหัวหน้าทีมในการดูแลคนไข้ของพวกเรารายงานให้ผมรับทราบ

เธอผู้นั้นมีร่างผอมบาง ผิวสองสี ผมเผ้าดูยุ่งเหยิงเล็กน้อย ซึ่งก็น่าจะเป็นเพราะว่าคงยังไม่รับการดูแลสระสางกันสักทีตั้งแต่หลังผ่าตัด อันนั้นพอเข้าใจ แต่สายตาที่ดูหงุดหงิดและก้าวร้าวที่แสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนจากแววตาคู่นั้นต่างหากที่หยุดผมไว้ให้สงบกว่าปกติ

“หนูนอนไม่ได้ หนูนอนไม่หลับ นอนไม่หลับมา ๒ คืนแล้ว” เธอยังคงจ้องหน้าและบ่นให้ผมฟัง

“เจ็บแผลมากไปไหมครับ” ผมประเมินและคาดเดาเบื้องต้น

เธอไม่ตอบด้วยวาจา แต่ส่ายหน้าให้พอเข้าใจ

“เค้าไม่นอนเลยจริงๆค่ะหมอ พวกพี่นี่ก็เพลียไปหมดแล้ว” พวกพี่ที่ถูกอ้างถึงก็คือพี่สาวอีก ๒ คนที่รับหน้าที่ดูแลคนไข้อยู่ข้างๆ

“นี่เมื่อคืนก็ไม่ยอมอยู่ในห้อง ไปนั่งอยู่แต่ที่เคาเตอร์พยาบาลจนถึงเช้าเลย” พี่สาวคนนั้นยังคงเล่าให้ฟัง

“แล้วจะนอนได้ยังไง ก็เจ้าพ่อเสือแกมาเกาะหนูอยู่นี่ไงเล่า”

เชี่ย..เอาเข้าให้แล้วไหมล่ะธนพันธ์ ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้แต่เช้า กลัวนะเนี่ย

“เธอเห็นเหรอ” ผมจ้องดวงตาก้าวร้าวคู่นั้นแล้วรอคำตอบ

“ไม่เห็น แต่หมอ หนูเป็นคนค้าขาย หนูเคารพท่าน หนูเพิ่งไปไหว้ที่ศาลของท่านมา หมอดูสิ เจ้าพ่อขี่คอหนูอยู่ ขาห้อยพาดลงมาที่บ่า แล้วเอามือมาบีบอยู่ที่หัวที่ขมับอยู่เนี่ย” เธอไม่พูดเฉยๆ แต่เอามือ ๒ ข้างทำท่าเหมือนลูบหน้าแข้งของใครสักคนที่พาดจากบ่าลงมาที่หน้าอกจริงๆ 

“แล้วรู้ได้ไง ว่าคือเจ้าพ่อเสือ” ผมยังไม่เลิก

“หนูรู้” เธอตอบ

“ก็ไม่เห็นนี่นา เค้าพูดกับเธอเหรอ” ผมยังไม่ยอม

“ไม่พูด ไม่ได้ยิน แต่หนูรู้จักจริงๆ” คราวนี้เธอเอามือขยี้ผมตัวเองแรงประหนึ่งคนกำลังรำคาญ

“ดูนี่ นั่งจับหัวหนูอยู่อย่างนี้ แล้วจะไปนอนลงได้ยังไง หมอช่วยหนูหน่อย เอาเค้าออกไปจากหนูที” คราวนี้ดวงตาเธอเริ่มปริ่มชุ่มน้ำตา

เธอคงทรมานจริงๆนั่นแหละ

“ข้าวปุ้น แล้วเธอคิดว่ายังไง” ผมคงไม่ได้คาดเดาว่าลูกศิษย์จะอภิปรายเรื่องเจ้าพ่อเรื่องเข้าทรงออกมาหรอกหนา

“เราคงต้องหาสาเหตุของการเกิดภาวะภาพหรือหูแว่วกันก่อนค่ะอาจารย์ ปุ้นโทรไปปรึกษาเพื่อนที่จิตเวชแล้ว เค้าบอกว่าให้ดูอาการไปก่อน ยังคงไม่ต้องให้ยา” ลูกศิษย์บอกชื่อภาวะอะไรมาสักอย่างทางจิตเวช ที่คนไข้อาจจะแสดงอาการหลอนแบบนี้ออกมาได้ ผมจำชื่อมันไม่ได้ และไม่ได้อยากจะจำ

“บอกพยาบาลและญาติให้รับทราบเรื่องความเสี่ยงของคนไข้คนนี้ด้วย ระวังคนไข้จะเกิดอาการหลอนจนไปกระโดดตึก” ผมแจ้งคุณหมอในทีม รวมถึงพี่สาวทั้ง ๒ คนที่ยืนฟังผมอยู่ เธอพยักหน้าเชิงเข้าใจ

“บ้านเธออยู่ที่ไหนเหรอ ทำไมสำเนียงคุ้นๆจัง หมอเดาว่าไม่สุราษฎร์ก็นครฯตอนบนๆ” ผมปรับอารมณ์ของคนในห้อง

“นครฯค่ะหมอ” ผู้เป็นพี่เป็นคนตอบคำถาม

“เออ บ้านเราใกล้ๆกัน หมอรู้สึกคุ้นเคยและสบายใจทุกทีที่ได้ยินสำเนียงแบบนี้” ทั้ง ๓ คนในห้องคงได้คลายความตึงเครียดจากการสนทนาเมื่อครู่ลง และยิ้มให้ผม 

“เอาอย่างนี้ หมอแนะนำให้ลงเธอลงไปกราบหลวงปู่ทวดที่ศาลาด้านล่างนะครับ ไปบอกท่านว่าน้องสาวเป็นยังไง ทำไมจึงถูกเจ้าพ่อตามมาขี่ไหล่อยู่แบบนี้ บอกให้ท่านมาช่วยหน่อย” ผมทิ้งไว้เท่านี้ เพราะไม่รู้เหมือนกัน ว่าการขอให้ท่านมาช่วยนั้น ท่านจะช่วยในอีรูปแบบไหน แบบว่าไม่อยากก้าวก่ายหลวงปู่

“ท่านศักดิ์สิทธิ์มากนะครับจะบอกให้” ผมทิ้งท้ายแบบให้ดูน่าเลื่อมใส

ถ้าใครที่ฟังแบบผ่านๆ คงคิดว่า “ผมไม่เต็ม” หมอบ้าอะไรจะมาพูดหรือเชื่อเรื่องแบบนี้ แต่หากจะมองในอีกด้านหนึ่ง นั่นคือ ผมกำลังบำบัดคนทั้งครอบครัวนี้อยู่จริงๆ

“ฟังให้ดีนะครับ คืนนี้ผมขออนุญาตให้คนไข้กินยานอนหลับอ่อนๆ จะได้นอนหลับได้นะครับ การไม่ได้นอนมา ๒ คืนนี่มันไม่สบายเอามากๆเลยใช่ไหม” ผมมองไปยังเธอ และเธอก็พยักหน้าตอบรับ

“หากดูวุ่นวายมาก ผมเกรงว่าเธออาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้ คงต้องขอย้ายขึ้นไปนอนในห้องรวมแบบสามัญนะครับ และอาจจะต้องให้ยาเพื่อให้สงบ” ผมยังคงอรรถาธิบายไป มองแววตาของคนข้างหน้าไปพร้อมๆกัน

“และเธอ หากเจ้าพ่อสั่งให้ทำอะไรที่มันไม่ควร แกให้เดินไปไหนต่อไหน ช่วยบอกพี่สาวของเธอด้วยทุกครั้งนะครับ” เธอผู้เป็นผู้ป่วยพยักหน้าตอบรับ

“ข้าวปุ้นครับ พรุ่งนี้เรามาดูกัน ว่าคนไข้ของเราจะดีขึ้นเพราะยานอนหลับ หรือจากหลวงปู่ แต่เอ๊ะ เราจะรู้ได้ยังไงนะว่าเป็นฝีมือใคร” ผมท้าหมอในทีม

...........

“พ่อจ๋า แม่สั่งผ้ายืดรัดน่องมาให้พ่อแล้วนะ คู่นึงตั้ง ๕๐๐ บาท” เสียงแจ้วมาจากโซฟาในห้องรับแขก

“อ้าว ไหนว่าจะลองแบบราคาถูกๆ ก่อนล่ะ” ผมสงสัย

“ก็แม่อยากให้พ่อใช้ของดีๆไง แม่ว่าผ้ามันน่าจะดีกว่านะพ่อ” เธอมีกติกาที่น่ารักในการหาซื้อของให้ผัวแบบนี้เสมอๆ

“แต่แม่กำลังเกรงว่ามันจะเล็กไปหน่อยนะพ่อ” เสียงนั้นแปรเปลี่ยนไปจากเมื่อตอนแรก

ผมรับผ้ารัดน่องคู่นั้นมา

สีฟ้าสดใสสวยงาม มันสะท้อนแสงด้วย น่าจะปลอดภัยเมื่อใช้วิ่งช่วงกลางคืน

แต่มันเล็กจริงๆ แน่นและอึดอัดน่องมากๆ

เอาเหอะ ลองออกไปวิ่งดูสักทีก่อนดีกว่า คนซื้อมาให้น่าจะพอใจ

แต่ว่า ตั้งแต่ช่วงครึ่งกิโลเมตรแรกผมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ

“เอ๊ะ ทำไมขามันหนักๆ ยกไม่ค่อยขึ้น มันเหมือนมีตัวอะไรสักอย่างมาเกาะน่องเกี่ยวขาทั้ง ๒ ข้างของผมไว้”

ถึงเวลานั้น ขนทั้งร่างกายก็ลุกชัน 

ผมเหลือบมองนาฬิกา นั่นมันก็แค่ ๓ ทุ่ม ผู้คนในหมู่บ้านยังคงเดินออกกำลังกายกันหลายคน

แต่ผมกลัว

วิญญาณของใครหนามาเกาะน่องผม เกี่ยวแข่งเกี่ยวขาจะหาตัวก็ไม่พบ แต่มันเกาะอยู่แน่ๆ

ผมเลิกวิ่ง และเปลี่ยนมาเป็นเดินเร็วๆ ระยะรอบวงที่ผมใช้วิ่งนั้นอยู่ที่ ๑.๑ กิโลเมตร ผมมองหันหลังกลับไปมอง ไม่เห็นมีใครเดินตามมา ผมยังคงกลัวและขนลุกเป็นช่วงๆ

บ้านอยู่ตรงนั้น จึงตัดสินใจเข้าบ้านดีกว่า และเมื่อเข้าเขตประตูบ้านก็รู้สึกปลอดภัย ถอดผ้ารัดน่องคู่นั้นออก 

โอว.. ถึงกับคราง

หายเป็นปลิดทิ้ง 

...................

“เป็นไงบ้าง” ผมทักทายเธอในเช้าวันนี้

“หายแล้วค่ะหมอ ไม่มีใครมาเกาะหนูอีกแล้ว เมื่อคืนหลับได้แล้วนะหมอ” หน้าตาของเธอดูแจ่มใสผิดกับเมื่อวาน

“หนูคงต้องลงไปแก้บนกับหลวงปู่ เมื่อวานขอท่านไว้” ผมไม่ได้ถามว่าเธอบนบานอะไรเอาไว้

“ดีจังครับ” ผมบีบมือเธอเบาๆ

“เมื่อวานก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าพูดอะไรไม่ดีออกไปบ้าง หนูต้องขอโทษหมอทุกคนด้วยนะคะ” เธอยกมือไหว้พวกเรา สำเนียงเสียงใสไร้ซึ่งความก้าวร้าวผิดจากเมื่อวานยิ่งนัก

แล้วพวกเราก็ออกจากห้องเธอเพื่อไปดูคนไข้คนอื่นต่อไป

“ตกลงว่า เมื่อวานเราเจาะเลือดไปตรวจและพบว่าโพแทสเซี่ยม แคลเซี่ยม และแม็กนีเซี่ยมของคนไข้ต่ำหมดเลยค่ะอาจารย์ เลยค่อยๆแก้ไขไป เข้านี้อาการก็เลยดีขึ้น ไม่มีภาพหลอน ไม่ได้ยินเสียงแว่วอีกเลย เป็นอย่างที่เห็น” คุณหมอข้าวปุ้นรายงาน

“แล้วตกลงว่าคนไข้ดีขึ้น เพราะเราแก้สมดุลย์เกลือแร่ไป หรือว่าเค้าดีขึ้นจากการไปกราบหลวงปู่ทวดที่ด้านล่างมาล่ะข้าวปุ้น” ผมยิ้มน้อยๆพอให้ดูเท่เหมือน “บอนด์ เจมส์บอนด์” แล้วพวกเราก็ไปดูคนไข้คนอื่นต่อไป

ธนพันธ์ ชูบุญทีมหลวงปู่ไม่ใช่ทีมเจ้าพ่อนะครับ

๑๓ พย ๖๑

คำสำคัญ (Tags): #ภาพหลอน
หมายเลขบันทึก: 657939เขียนเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2018 23:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2018 23:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ยังคงสงสัยต่อไปครับ อะไรเกิดก่อนกัน … ระหว่างจิตใจที่ผ่อนคลายมลายทุกข์หรือสารแห่งความสุขในสมอง….

อ่านสนุกมากครับ … ขอแชร์ให้แม่….อ่านบ้างครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท