ภูเก็ตเสน่หา


วันก่อนครับ ผมไปบรรยายเรื่องการใช้กำไลพยุงช่องคลอดในคนไข้ที่มีปัญหามดลูกโผล่ทึ่จังหวัดภูเก็ต

“ภูเก็ตมีคนสูงอายุอยู่เยอะ มดลูกโผล่ก็เป็นปัญาหนึ่งที่พบบ่อย” คนที่อยู่ต้นทางบอกมาอย่างนั้น

ใช่ครับ คนแก่เป็นกลุ่มที่มีปัญหามดลูกโผล่มากกว่าคนสาวๆ เพราะเขาผ่านการตั้งท้องมาก่อน ผ่านการคลอดลูกมาก่อน ผ่านการทำงานมาอย่างหนักมาก่อน และผ่านการแก่มาก่อนไงครับ (เอ๊ะ ยังไง) มดลูกจึงโผล่แลบออกมานอกช่องคลอดได้

และเมื่อไหร่ที่ไม่อยากผ่าตัด หรือผ่าตัดไม่ไหวเพราะมีโรคเยอะ เราก็สามารถเอากำไลพยุงช่องคลอดใส่เข้าไปไว้ในช่องคลอดได้ครับ

“ผมจึงต้องมาที่นี่ไงล่ะ” 

ในวันที่เขาติดต่อเชิญให้ไปบรรยายนั้น ผมตอบรับไปมันแทบจะทันทีเลย เพราะผมรักภูเก็ต

ผมมาภูเก็ตครั้งแรกเมื่อสิ้นเทอม ๒ ของการเรียนแพทย์ชั้นปีที่ ๑ นั่นก็อยู่ในช่วงรอยต่อของปี ๒๕๓๓ เข้า ๓๔

ต้องนั่งรถทัวร์ติดแอร์มาจากสุราษฎร์ฯพร้อมไอ้กุ้งเพื่อนสนิท ผมจำได้ว่าเส้นทางรถวิ่งออกไปทางเขื่อนรัชประภา เข้าตะกั่วป่า ก่อนข้ามสะพานรักสารสินและเข้าเมืองภูเก็ต

พังงาและภูเก็ตคงเป็นเมืองหนาวกระมัง เพราะผมรับรู้ถึงความเย็นเมื่อรถผ่านพ้นสันเขาที่กั้นระหว่างภาคใต้ฝั่งตะวันออกและตะวันตกออกจากกัน บ้านเรา ๒ ฝั่ง อากาศคล้ายๆกัน แต่ไม่เหมือนกัน เพราะมันอยู่คนละฝั่งทะเล หรือจะว่าที่รู้สึกหนาวเพราะแอร์รถมันเย็นจนเกินไปก็ไม่น่าจะใช่ แต่ทำไมมันขนลุกจัง

ยิ่งเข้าใกล้ตัวเมืองตามการบอกระยะทางจากป้ายทางหลวง ผมยิ่งรู้สึกหนาวเหน็บ 

เหน่งซึ่งเป็นเจ้าบ้านบอกว่า มาถึงขนส่งเมื่อไหร่ให้รีบโทรฯหา มันจะออกมารับทันที สมัยนั้นมือถือคือจินตนาการในหนังไซไฟเท่านั้น

รถทัวร์หันหัวเลี้ยวเข้าสู่ช่องจอด ผมบอกไอ้กุ้งให้โทรเรียกเพื่อนมารับ เพราะผมหนาวจนไม่สามารถจะเดินหาตู้โทรศัพท์ได้อีกต่อไป

“มึงช่วยบอกไอ้เหน่งให้เหาะมารับเลย กูขี้จะแตกอยู่แล้ว” ออ คำว่า “หนาวขี้” ในภาษาใต้มันเป็นความหนาวถึงไขกระดูกอย่างนี้นี่เอง

นั่นคือความทรงจำในการไปภูเก็ตครั้งแรกของชีวิต

แล้วผมก็ได้เข้าภูเก็ตอีกหลายครั้งมาก ตั้งแต่ไปเที่ยวกับเมียตั้งแต่ยังไม่ท้อง ไปอีกครั้งตอนออกลูกมาแล้ว ไปทำงาน ไปเพราะถูกเพื่อนบังคับให้ไปใช้คูปองนอนโรงแรมหรูฟรีๆ ก็ไปมาแล้ว

ผมเคยเดินทางด้วยเครื่องบินใบพัดของบริษัทภูเก็ตแอร์ซึ่งบินผ่านเข้าไปในพายุฝนโครมครามกลางอันดามัน เพราะการจัดประชุมในช่วงโลว์ซีซั่นนั้นสามารถควบคุมรายจ่ายได้ดีกว่าในช่วงไฮ

“พ่อจ๋า แป้งกลัวจังเลย” ผมยังจำมือเล็กๆที่บีบมือผมอย่างแน่น ลูกสาววัย ๔ ขวบของผมเหงื่อซึม เครื่องบินที่ถูกขับโดยกัปตันฟาสิโน่มันแกว่งไปแกว่งมา บางครั้งดูเหมือนมันไถลไปทางด้านข้างราวกับนั่งในเครื่องร่อน

“พ่อก็ว่ามันน่ากลัวเหมือนกันนะลูก แต่อีกอึดใจเราก็คงออกจาพายุนี้ได้แล้ว” ผมก็คงทำได้เพียงการปลอบใจ เพราะยังไงก็ขับเครื่องบินไม่เป็นอยู่ดี แต่เจ้าจ้าคงสนุกกว่าใคร เพราะมันอยู่ในมดลูกแม่มันในตอนนั้น คงนึกว่าแม่นั่งไกวเปลอยู่

คราวนี้ผมบินด้วยบางกอกแอร์เวย์จากหาดใหญ่ บอกได้เลย ว่ามันดีต่อใจมากๆ ฟ้าโปร่ง ไม่มีพายุ อีกทั้งเครื่องรุ่นนี้ผมก็อยากนั่งมานานแล้ว ATR 72 และที่สำคัญกว่านั้น เคบินครูวสวยมาก นั่นเอง

เอาเหอะ มาเข้าเรื่องกันต่อไป

“ฝนครับ กรุณาบอกตำแหน่งร้านขนมจีนอร่อยๆ หรือไม่ก็เย็นตาโฟที่อยู่ใกล้ๆโรงพยาบาลกรุงเทพฯให้พี่หน่อย อยากกิน” มุขแบบนี้ผมใช้มันบ่อย หึหึ

“จารย์ขา เดี๋ยวหนูซื้อเข้าไปให้เลยคร่า ตอนนี้หนูอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแป๊วแถวพอดีเลย” นั่นไง เพียงไม่นานนัก หมอฝนก็ตอบกลับมา 

“อูย เกรงใจจัง พี่ขอเส้นหมี่ฮุ้นน้ำเย็นตาโฟก็ได้จ๊ะ” ผมตอบกลับไป

ผมมาบรรยายที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตครับ ที่นี่มีหมอสูติอยู่หลายคน หัวหน้ากลุ่มงานคือรุ่นพี่ที่จบมาจาก ม.อ.เหมือนกัน ผมได้เจอลูกศิษย์ ๓ คน ได้เจอเพื่อนซึ่งเป็นหมออายุรกรรมโรคไตอยู่ที่นี่ อันที่จริงก็อยากเจออีกหลายคน แต่นึกไม่ทันเลยไม่ได้เรียกมาพบกัน (อันที่จริง มันนึกไม่ออกต่างหาก สมองมันทึบๆยังไงไม่รู้ ตั้งแต่เริ่มแก่มาระยะหนึ่ง)

“ตอนที่ผมกำลังจะเรียนจบ เคยคิดว่าจะมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่ อยากมาเป็นหมอสูติที่วชิระภูเก็ตมากครับ” ผมทักทายทุกคนด้วยประโยคนี้ 

ภูเก็ตในตอนนั้น ต่างจากตอนนี้มาก 

ผมยังจำคราวที่ขี้แตกในวันแรกนั้นได้ เพราะหลังจากจัดการผ่องถ่ายลำไส้จนเสร็จ เจ้าเหน่งก็พาออกทัวร์ในทันที ทั้งเที่ยว ทั้งกิน มีเพื่อนสาวอีก ๔ คนมาร่วมในการกินเที่ยวคราวนั้นด้วยกันอย่างสนุกสนาน อย่าลืมว่า ที่นี่คือเมืองคนจีน เค้ากินกันอย่างลืมอ้วนเลยเชียว โอ๊ะเอ๋ว โลบะ เต้าส้อ แต่เตี้ยม หมี่ฮกเกี้ยน ขนมจีนน้ำยาหลากชนิด และเฉาก๊วยเหนียวๆกลิ่นหอมฉุน อูย..นึกแล้วหิว

หาดที่มันดังๆตอนนี้ เช่น หาดสุรินทร์ หาดกมลา ในตอนนั้นมันยังรกร้างอยู่เลย

เย็นวันหนึ่ง ไอ้คุณเหน่งขับรถพาขึ้นไปแหลมพรหมเทพ ครั้นในช่วงขาลงมา ผมสังเกตเห็นเวิ้งอ่าวด้านข้างลงมานั้นมันมีเรือยอร์ชจอดอยู่มากมายหลายลำ ดูหรูรวยสไตล์นักท่องเที่ยวยุโรปมาก

“หาดในหาน มันมียอร์ชคลับอยู่ตรงนั้น” เจ้าเหน่งบอกมา

“แหม่ อยากนอนโรงแรมแถวนั้นบ้าง” ผมรำพึง แม้นรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ขอให้ได้พร่ำพรรณา

แต่ใครจะไปรู้ ว่าวันหนึ่งผมก็ได้มายืนและนอนอยู่ที่อ่าวแห่งนี้กับเขาด้วย

“โก้ครับ” ผมส่งข้อความมาหาน้องรหัสของเมียคนปัจจุบัน (เอ๊ะ ลืมไป ผมมีเมียคนเดียวนี่นา)

“พี่มาบรรยายที่ภูเก็ต นอนคืนนึง เรามากินข้าวด้วยกันไหม” ผมถามออกไปผ่านกล่องข้อความ

“ได้เลยครับ พี่พักที่ไหน” เพียงอึดใจ น้องก็ตอบกลับมา

“น่าจะนอนในเมืองมั้งครับ เพราะต้องกลับไฟล้ท์เช้ามืด โรงแรมน้องอาจจะอยู่ไกลไปมั้ย” ผมจำได้ว่าเที่ยวบินขากลับออกราว ๗ โมงครึ่ง

“จากในหานไปสนามบินตอนเช้า น่าจะใช้เวลาราวชั่วโมงนึงครับ ออกจากโรงแรมผมสักตีห้า ไหวมั้ยพี่” 

“แล้วราคาประมาณเท่าไหร่ได้ครับ” ผมคงต้องล้วงกระเป๋าตรวจสอบราคาก่อน (อันที่จริง มีคนออกค่าโรงแรมให้นะครับ ผมบอกเขาไปว่า ส่วนต่างจากงบที่จะเบิกได้นั้นผมจะจ่ายเอง เลยต้องตรวจสอบกระเป๋าตัวเองจริงๆ)

“ราคาไม่ใช่ปัญหาครับ พี่มาให้ถึงก่อน นอกจากนั้นเดี๋ยวผมจัดการให้ หรือพี่หนีมาเฉยๆ ได้ไหม”

เอา เอาเข้าไป ทำยังกะจะให้หนีตามกันเสียอย่างนั้น

เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน โรงแรม SUNSURI อยู่หาดในหานกระนั้นรึ

ผมยังคงนึกไปถึงวันที่จอดรถบนถนนขาลงจากแหลมพรหมเทพในคราวนั้นได้ติดตา 

ทริปวิชาการงานภูเก็ตคราวนี้จึงเป็นที่ประทับใจ

“ทริปนี้เพื่อสตรีฉี่เล็ดและมดลูกโผล่แลบ”

ที่ว่าเด็ด เพราะนี่คือวชิระภูเก็ต สถานที่ที่เคยอยากมาเป็นหมอที่นี่

เพราะในหานคือด้านที่พระอาทิตย์ตกน้ำสวยพอๆกับที่ยืนมองบนแหลมพรหมเทพ

เพราะผมได้นอนในห้องที่มีสระส่วนตัว ผมไม่ได้เอากางเกงว่ายน้ำมา และค้นพบว่าการว่ายน้ำโดยไร้พันธนาการนั้น มันโคตรฟิน

เพราะได้กินข้าวกับน้องรหัสเมียอันเป็นที่รัก กับเมียของน้องรหัสเมีย และ “ติโต” หนุ่มน้อยผู้หลงไหลในการมองโครงสร้าง การสร้างระบบ และมีความละเมียดในการทำสิ่งเล็กสิ่งน้อย

“พี่แป๊ะว่าเจ้าโต้ โตขึ้นจะเป็นอะไรดี” แม่เขาถามผมขณะใช้ส้อมจ้วงแทงทูน่าชิ้นโตจากสลัดจานนั้นตักเข้าปากอย่างน่าอร่อย

“ไม่รู้ว่ะ พี่เป็นหมอสูติ มิใช่หมอดู พี่ดูจิ๋ม ไม่ดูเด็กผู้ชาย แฮร่ ล้อเล่น จะเป็นอะไรก็ช่างมันน้อง แต่ท่าทาง มันจะ organize เก่งเอาเรื่อง” ผมตอบแบบกวนๆ

และท้ายที่สุด มันเด็ดได้ก็เพราะ ที่นี่คือภูเก็ต นั่นเอง

......................

“นี่เธอ หลังจากผ่าตัดไปแล้ว เป็นยังไงบ้าง” ผมถาม

เธอคนที่ผมกำลังพูดด้วยอยู่นี้มีปัญหาเรื่องปัสสาวะเล็ดที่เกิดจากหูรูดท่อปัสสาวะมันหลวมกว่าปกติ เวลาไอหรือจามแต่ละครั้ง ฉี่ก็จะไหลออกมาเป็นหยดๆ 

เธอมีความทรมานด้วยเรื่องนี้มาตั้งแต่คลอดลูกคนสุดท้องเมื่อ ๗ ปีที่แล้ว อาการมันเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ จนช่วงหลังๆนี้ต้องใส่แผ่นรองซับขนาดใหญ่ 

“ดีค่าคุณหมอ” สำเนียงเสียงใต้เคล้าความจริงใจดังขึ้นมา

“ดียังไงครับ มันไม่เล็ดเลย หรือว่ายังเล็ดอยู่แต่น้อยลง” ผมกำลังประเมินผลการผ่าตัดที่ทำไป

“มันก็เล็ดอยู่บ้างเวลาออกแรงหนักๆ หรือว่าจามแรงๆค่า” เธอนังคงตอบมาอย่างได้อรรถรส

“แล้วเธอจัดการตัวเองยังไงล่ะ” ผมยังคงบันทึกไปถามไป

“ก็ใส่ผ้าอนามัยเวลาไปทำงานค่ะหมอ แต่กลางคืนไม่ต้องใส่เลย”

“แล้วเปียกมากมั้ยครับ” 

“เปียกค่า เปียกชุ่มทุกวัน” 

ผมหยุด แล้วหันหน้ามามองเธอให้เต็มตา ขมวดคิ้วนิดหนึ่งพอให้ดูดี ดูเหมือนหมอกับเขาบ้าง

“อ้าว ไหนว่ามันดีขึ้น แต่นี่เล่นเอาผ้าอนามัยเปียกชุ่มทุกวัน หมอคิดว่าการผ่าตัดคราวนี้มันล้มเหลวน่ะสิ” แล้วผมก็บันทึกข้อความลงไปใหม่

“ก็เปียกค่า แต่ไม่เหม็นฉี่” เอ๊ะ ยังไง?

“เวลาทำงานกลางวัน มันร้อนน่ะหมอ เหงื่อออกเยอะ ออกเต็มหลังเลย แล้วก็ไหลย้อยลงมาในร่องตูด ผ้าอนามัยมันก็เปียกชุ่มเลยสิคะ เรามันคนเหงื่อเยอะค่ะหมอ”

ถะแลม ถะแลม ถะแลม

คนไข้ผมแต่ละคน เด็ดๆทั้งนั้น

ธนพันธ์ ชูบุญหัวเราะน้ำตาเล็ด

๓๑ ตค ๖๑

หมายเลขบันทึก: 656953เขียนเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2018 15:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2018 15:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท