หญิงตาม


“พี่แป๊ะ ผู้หญิงผมยาวคนนึง เค้าตามพี่อยู่พักหนึ่งแล้วนะ”

เชี่ย..ผมเย็นวาบที่สันหลัง

หากเป็นเพื่อนคนอื่นพูดมา ผมคงหัวเราะร่วน เพราะการมีผู้หญิงสักคนมาตามนี่มันแสดงว่าเราหน้าตาดี  สินะ หึหึ (ผมแอบยิ้มมุมปากที่หน้ากระจกเล็กน้อย) แล้วถ้ามันยังบอกต่อด้วยว่า เธอหน้าตาดี หุ่นดี สะโพกผาย นมใหญ่ ผมอาจจะมีอาการไข่จ้องตามมาด้วย เอา เอาเข้าไป

แต่นี้เป็น “น้อง” ญาติผู้น้องซึ่งมักจะมองเห็นอะไรที่เรามองไม่เห็นได้ทักออกมา

..............

“พ่อ จ้าอยากไปงานหนังสือ” เสียงพูดเบาๆแบบหยั่งเชิงแว่วมา

“เราน่าจะไปได้วันเดียวนะลูก วันหยุดที่ ๒๓ ไปเช้า เย็นกลับ” ผมรีบดูปฏิทินบันทึกตารางทำงานแล้วตอบออกไป

แล้วเสียงเจ้าตัวนั้นมันกรี๊ดลั่นบ้าน ด้วยคงจะไม่คิดว่า ทำไมมันจึงได้ง่ายดายนัก

แล้วเธอก็เริ่มนับถอยหลังตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วนู้น

๒๓ ตค ๖๑

ผมพาน้องจ้าขึ้นมางานหนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์

เราออกจากบ้านกันตั้งแต่ ๗ โมงเช้า

“เจ้าเตรียมอะไรมาบ้างลูก” ผมสงสัยว่าเธอสะพายกระเป๋าคล้ายย่ามเดิมลงมาจากชั้น ๒ มันบรรจุอะไรดูตุงๆ

“อ๋อ จ้าใส่งานวาดภาพที่วาดเอาไว้ ไปขอลายเซ็นกัลฐิดา”

ขอขยายความนิด

กัลฐิดา คือนักเขียนที่เธอคลั่งไคล้เอามาก ๆ ส่วนภาพวาดที่ถูกเอ่ยถึงนั้น คือรูป “ร้านกาแฟ” สถานที่ในนิยายที่เธออ่านของเขาอยู่ เปิดในเน็ตแล้ววาดเอง ลงสีน้ำด้วยตัวเอง

“ก็พ่อไม่ยอมให้จ้าซื้อสมุดภาพของเค้า จ้าเลยต้องวาดเองยังไงล่ะ” เจ้าตัวบ่นแบบตัดพ้อนิดๆ แบบนี้อยู่เสมอที่เมื่อขอซื้อสมุดภาพดังกล่าวแล้วพ่อปฏิเสธทุกครั้ง

“จะบ้าเหรอเธอ สมุดภาพก็เอามาแค่นั่งดู จะอะไรกันนักกันหนา ถ้าเป็นหนังสืออ่านก็ว่าไปอย่าง ตัวเองก็วาดเองได้นี่นา วาดต่อไปเถอะ” ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน (อันที่จริงก็มีเหตุผลบางอย่างซ่อนเอาไว้ลึกๆ)

แล้วเราก็มาถึงในงาน

เดินทางสะดวกครับ เราลงสุวรรณภูมิ เพราะตั้งใจจะใช้แต่รถไฟ ไม่เอาแท้กซี่ โคตรเบื่อ 

ที่สนามบินไฟดับต้อนรับเราพ่อลูก ระบบสายพานทุกชนิดหยุดสนิท บันไดเลื่อนก็ตาย

“เกิดอะไรขึ้นเหรอพ่อ” คนตัวเล็กถาม 

“ไม่รู้สิลูก แต่พ่อเห็นพนักงานดับเพลิงวิ่งกัน พ่อได้ยินเสียงสัญญาณไฟไหม้ด้วย สงสัยไฟไหม้ที่ไหนสักที่” ผมสังเกตเห็นอย่างนั้น

“แล้วจะทำไงดี ไปพ่อ วิ่งหนีกัน” เธอทำน้ำเสียงตกใจ

“ไม่ต้อง ใจเย็นๆและมีสติ ลูกดูสิ คนอื่นก็ดูเฉยๆ ไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย พ่อว่ามันอาจจะไหม้เฉพาะจุด หรือไม่ก็ซ้อมแผนดับเพลิง หรือไม่ก็ระบบบันไดเลื่อนและสายพานเสีย เลยหาเรื่องเปิดสัญญาณไฟไหม้แล้วบอกว่าซ้อม” เอ่อ..เรื่องหลังนี่แดกดันนะครับ

“นี่จ้าจะมีโอกาสเชื่อพ่อได้จริงๆสักครั้งมั้ย” เสียงบ่นดังออกมา

“โถลูก ทำยังกะเราไม่ใช่พ่อลูกกันซะอย่างนั้น” แล้วเราก็หัวเราะเดินลงไปชั้นใต้ดินกัน

“ไม่ใช่ไฟไหม้ว่ะลูก ไฟดับมืดตึ๊ดตื๋อ” ครับ บริเวณสถานีรถไฟฟ้าไฟมืดสนิท ไม่เห็นไฟสำรอง ไอ้ที่เห็นแสงไฟแวบๆนั้น รปภ. และผู้โดยสารต่างใช้ไฟจากมือถือเอาเองทั้งนั้น

น่าเอ็นดู 

บ้านผมเรียกกันว่า “จุดไฟกันตามยถากรรม” 

ซื้อตั๋วก็ลำบาก คือมันใช้การระบบซื้อตั๋วได้ แต่มองหน้าจอเครื่องขายไม่เห็นไง

ลงไปขึ้นรถชั้นล่างก็อันตราย เพราะไปจากมือถือก็ส่องได้ไม่ไกล ผมมองเห็นไฟฉุกเฉินไม่กี่ดวง แต่มันส่องไม่ถึงที่ที่คนต้องยืนรอขึ้นรถ

ดีที่รถไฟเข้ามา แล้วแสงไฟในรถช่วยให้สถานีมันสว่างขึ้นมาได้บ้าง

นี่ถ้าเป็นระบบโรงพยาบาล ผมคงไม่ให้ผ่าน HA ๕๕๕

เอาเรื่องงานหนังสือต่อ ไปเสียไกล

เจ้าจ้าตื่นเต้นมาก 

เธอพาผมเดินไปยังบูทที่เธอต้องการเจอนักเขียน

น้องจ้าตื่นเต้นมาก เพราะนักเขียนในดวงใจของเธอนั่งอยู่ที่บูทนั่นแหละ เธอกำลังทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ 

ขำ 

คุณกัลฐิดาเธอคงยืนมาจนเมื่อย ขอนั่งเก็บตังค์ค่าหนังสือดีกว่า โถ..

จ้าเลือกหนังสือได้เล่มหนึ่ง และมาหยุดที่หนังสือภาพเล่มที่เธออยากได้มานานมากแล้ว

“พ่อ จ้าอยากได้จริงๆนะ” 

ผมยิ้ม

“เอาดิ ของขวัญวันเกิดไงลูก” ผมบอก

แววตาโตเท่าไข่ห่านส่องประกายออกมาตามแบบฉบับของเธอ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เล็กๆ ผมจดจำมันได้

“น้องครับ” ผมเรียกน้องที่เป็นพนักงานขาย ในใจก็งง ทำไมเธอหน้าเหมือนคุณกัลฐิดาจังวะ

“คือลูกสาวผมเค้าวาดรูปตามหนังสือเล่มนี้มารูปหนึ่ง ผมว่ามันสวยมาก เธออยากให้คุณกัลฐิดาได้ดูและเซ็นชื่อให้ที่ด้านหลังหน่อยครับ” ผมเป็นคนบอก แต่เจ้าจ้าเหงื่อซึมแผ่นหลัง

“ลูกร้อนเหรอ” 

“เปล่าพ่อ แต่จ้าตื่นเต้นมาก จ้ารู้สึกเหมือนเมาบก”

เสียงคนในบูทชื่นชมภาพวาดที่เธออุตส่าห์หิ้วขึ้นมาจากหาดใหญ่ 

คุณกัลฐิดาเซ็นชื่อให้ที่ด้านหลัง

“อยากถ่ายรูปกับพี่มั้ยคะ” และโดยที่ไม่ได้รอคำตอบ เธอก็เดินออกมาหาน้องจ้าแล้วถ่ายรูปกันรูปหนึ่ง

ลองเดาดูสิ ว่าลูกสาวผมมันจะมีความสุขสักขนาดไหน

นั่นเป็นภารกิจหลัก

แต่ภารกิจรองที่อยู่ในใจของผมในวันนี้คือการขึ้นมาเจอญาติผู้น้องคนหนึ่ง

เธอคนนี้เค้าว่ามีสัมผัสที่หก

เธอคนนี้มักจะเห็นอะไรที่ใครๆอาจจะมองไม่เห็น

ผมก็ไม่รู้สักเท่าไหร่ ว่าทำไมจึงอยากจะเจอน้องนัก เออใช่ มันชื่อ ”น้อง”

“น้อง เธอเห็นเด็กๆตามพี่มากี่คน” ผมเริ่มต้นด้วยความหวิว

“แบบ เด็กที่พี่ทำแท้งน่ะ เธอรู้ไหม มีคนกลุ่มหนึ่งเค้าบอกว่าเห็นเด็กเดินตามพี่ด้วยนะ” ผมกำลังเท้าความถึงเรื่องบางเรื่องที่ทำให้ผมหงุดหงิด และรู้สึกสมเพชคนบางกลุ่มนั้น

“พี่แป๊ะ ไม่มีหรอก นั่นมันเป็นเรื่องเป็นกงกรรมกงเกวียนของพ่อแม่เค้า ไม่ได้เป็นเรื่องของพี่สักหน่อย พี่เป็นแค่คนเดินทางผ่านเข้ามาเพียงชั่วครู่เท่านั้น ไม่มี” เธอยืนยันพร้อมน้ำเสียงอารมณ์ดี

“น้อง มองให้ดีๆ เด็กที่พี่ทำแท้ง ก็ตัวเท่าปลายนิ้วก้อยทั้งนั้น อาจจะใหญ่กว่ามดนิดเดียว เธอก้มดูดีๆรึยัง” ผมแดกดันใส่อย่างเมามัน

“ไม่มีจริงๆ” เธอมั่นใจอย่างนั้น

“เออพี่แป๊ะ แล้วเคยมีคนไข้ที่มาทำแท้งแล้วตายมั่งไหมล่ะ” เธอเริ่มเป็นผู้ถามบ้าง

“ไม่มีนะน้อง ทำแท้งในโรงพยาบาลน่ะ ปลอดภัยมากๆ เราลดการตายจากการทำแท้งเถื่อนได้จริงๆนะ แต่ถ้าทำมาแบบแรงๆจากที่อื่น แล้วมาตายที่พี่น่ะ พอมีบ้าง” ผมอธิบายออกไป

“พี่แป๊ะ” เธอมีน้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ผู้หญิงผมยาวคนนึง เค้าตามพี่อยู่พักหนึ่งแล้วนะ”

เชี่ย..ผมเย็นวาบที่สันหลัง

“ใครวะ ไม่น่าจะมีนะน้อง ไม่มีใครตายคามือพี่สักคนในช่วงนี้” ผมแย้ง อาการเย็นวูบที่หลังยังคงมีอยู่

“จริงนะพี่ น้องเห็นอย่างนั้น” จะว่าไปผมก็แอบเชื่อเธออยู่เหมือนกันนะ

“ถ้าแบบว่า ยังไม่ตาย แต่เธอยังไม่ตื่นล่ะน้อง เป็นไปได้ไหม” ผมเริ่มนึกถึงใครสักคน

“พี่มีคนไข้คนหนึ่ง เธอหัวใจหยุดเต้นไปก่อนจะมาถึงเรา พวกเราช่วยปั๊มจนหัวใจเธอกลับมาเต้นได้ แล้วเรารีบพาเธอไปผ่าตัดเอาลูกในท้องออก” ผมคิดถึงเธอคนนั้นจริงๆนะ

“เด็กรอด แต่แม่ ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลยว่ะ สมองขาดอากาศนานไปหน่อย” ผมได้เล่าเรื่องราวของเธอคนนั้นให้เจ้าน้องฟังจนจบ

“ใช่พี่ คนนี้แหละค่ะ” เธอสรุปในทันที

“บ้าเหรอ เค้ายังไม่ตาย” ผมแย้งออกไป

“จิตค่ะพี่แป๊ะ จิตเค้าติดมากับพี่ เค้ายังคงคิดว่า พี่ยังคงช่วยเค้าได้อีก”

“น้องกำลังหมายความว่า เค้าคงเห็นพวกเราตอนกำลังรุมช่วยชีวิตอยู่ แล้วพี่คือคนที่เค้ายึดเอาไว้ใช้ไหม” ผมสรุปบ้าง

เธอหยุดเว้นช่องไฟพองามก่อนตอบคำถาม แต่ผมนี่ลุ้นจนกรดในกระเพาะเริ่มไหลย้อนกลับ

“ค่ะพี่”

“ชิปหายแล้ว แล้วพี่ต้องทำยังไงต่อไปวะ พี่นอกใจพี่จิ๋มไม่ได้หรอก น้องบอกไปหน่อย” เฮ้ย ล้อเล่นครับล้อเล่น

“เค้าคงอยากให้พี่สื่อสารกับครอบครัวเค้านะพี่ ช่วยแล้วก็ช่วยต่อไปนะพี่แป๊ะ” 

ผมนั่ง คิด ตั้งสติ ตรึกตรอง

เจ้าจ้ามันมองดูท่าทีของผมอยู่ตลอด   มันออกอาการกลัวให้เห็น แต่ผมต้องเป็นฮีโร่ของมัน จะมาตุ๊ดแต๋วแตกกรี๊ดสลบเพราะกลัวเรื่องแบบนี้ไม่ได้ 

แต่ก็แปลก ทำไมผมจึงไม่มีความรู้สึกกลัวเช่นนั้นเลยนะ ทั้งๆที่ผมน่ะ โคตรกลัวผีเลย

“ออ เธอยังไม่ตายนี่นา” ผมสรุปด้วยตัวเองแบบแถๆ

“พี่ตั๋น ช่วยนัดสามีคนไข้คนนี้ให้เจอเราหน่อยดิ” ผมบอกพี่สาวพยาบาลอันเป็นที่รักให้ทำธุระให้

“สวัสดี ไม่ได้เจอกันหลายวัน ภรรยาถูกตัดผมเสียจนผมจำไม่ได้เลยนะครับ” ผมทักทายชายหนุ่มคนที่มาดูแลเมียอยู่ข้างเตียงทุกวัน เออใช่ เธอผมยาวในวันที่เราผ่าตัดเธอ

ผมเริ่มต้นถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบระยะหนึ่ง และแผนในการที่จะดูแลกันต่อที่บ้านเมื่อเธอสามารถหายใจได้เองโดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอันนั้น

มาเข้าเรื่องกัน

“ผมกำลังจะบอกว่า ตอนนี้จิตของภรรยาคุณติดตามผมอยู่นะครับ” ผมขนลุกซู่เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป แล้วก็เล่าเรื่องราวที่ผมคุยกับน้องให้เขาฟัง

“ต้องขอโทษที่มาพูดเรื่องแบบนี้นะครับ พวกเราเป็นคนสายวิทยาศาสตร์ แต่ต้องมาพูดกับคุณในเรื่องแบบนี้” ผมรู้สึกอย่างที่พูดนั่นแหละ

“แล้วคุณหมอจะให้ผมทำยังไงล่ะครับ” ชายผู้อยู่ตรงหน้ามีน้ำตาคลอ

“ผมอยากจะบอกว่า ทางวิทยาศาสตร์นั้น ปาฏิหารย์ในการให้เธอตื่นขึ้นมาแล้วได้ใช้ชีวิตต่อแบบเราๆนั้น มันไม่น่าจะมีนะครับ สมองเธอเสียหายมาก ยังไงก็ไม่น่าจะตื่นได้จริงๆ” ผมหยุดเพื่อกลืนน้ำลาย มันเหนียวๆชอบกล

“ผมคิดว่า บางครั้งเราต้องทำใจ และปล่อยเธอไปหากมันถึงเวลา เธอคงอยากให้ทุกคนที่ยังอยู่นั้นปล่อยให้เธอไปโดยไม่ผูกมัดเอาไว้” ผมก็งงว่าทำไมจึงได้พูดแบบนั้นออกไป แต่เมื่อมองดูย้อนหลัง มันก็เป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ จิตที่เธอตามผมมาคงเข้าใจเหมือนผม ว่าการทำให้ตัวเองตื่นขึ้นมานั้นมันคงทำไม่ได้ แล้วยังไงล่ะ ผมคิดเอาเอง ว่าเธอคงต้องการการสื่อสารกระมัง

พวกเราเก่งมากถึงขนาดที่สามารถพยุงสัญญาณชีพคนไข้ที่สมองเสียหายให้อยู่ได้อีกนานนะครับ

เราดูดเสมหะที่ติดหลอดลมได้ เราใช้เครื่องช่วยหายใจหากการหายใจคนไข้เกิดมีปัญหา เราให้ยาฆ่าเชื้อได้ เราพลิกตัวไม่ให้เกิดแผลกดทับได้ เราให้สารอาหารเธอได้ทางสายยางผ่านรูจมูกเข้าไปในหลอกอาหารและกระเพาะ พวกเราทำได้จริงๆ คนไข้ยังมีชีวิตอยู่ได้แบบนั้นจริงๆ

“พวกเรา พวกคุณก็ดูแลเธอให้ดีที่สุดในวิถีแห่งความเป็นจริงนะครับ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่หมอต้องตัดสินใจ หรือเกิดเหตุอะไรสักอย่างที่มันถึงวาระที่ผมพูดถึงนั้น พวกเราควรต้องปล่อยให้เธอไปอย่างสงบ และปล่อยวาง แบบนี้น่าจะเป็นการกระทำที่เกิดกุศลนะครับ” ผมยังคงสงสัย ใครสอนให้ผมพูดออกมาแบบนี้

“ครับหมอ” เราจับมือกัน ในช่วงเวลานั้น ผมส่งกำลังใจให้เขาอย่างท่วมท้นและปล่อยให้เวลาที่เหลือทำงานของมันต่อไป

.....................

“ลูกครับ อสูรอะไรขยายพันธุ์ได้ดี” ผมถามเจ้าจ้าในขณะที่เราเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับบ้านพร้อมหนังสือเต็มเป้หลังผม

“อสูรกาย” เธอตอบแบบไร้ตรรกะ

“ผิด” 

“อะไรล่ะพ่อ จ้ายอม”

“อะสูระจิ” ผมเฉลย 

“ผ่าม!” เธอหัวเราะ

“ไง ผ่านมั้ย” ผมประเมินตัวเอง

“ผ่านพ่อ เดี๋ยวจ้าเอาไปใช้บ้าง” เธอบอก

“จ้าครับ พ่อตาพร่ามากเลย กาแฟแก้วนี้มันต้องใส่สารอะไรแปลกๆมา แล้วพ่อมีอาการแพ้แน่ๆ พ่อเริ่มมองหน้าลูกไม่เห็นด้วยนะ” ผมกระซิบเสียงกระเส่า บนความสูงที่ไต่ขึ้นไปน่าจะเกือบสามหมื่นฟิต

“พ่อ...” เสียงสาวน้อยทอดยาว

“นี่จ้าจะเชื่ออะไรพ่อได้บ้างมั้ย” เธอหัวเราะร่วนเมื่อเห็นหน้าพ่อมันพร้อมแว่นตาที่ไอน้ำจากกาแฟแก้วนั้นละเลงมาจนพร่ามัว

ผมมีความสุขจัง

ธนพันธ์ ชูบุญจะมีหญิงมาติดบ้างมั้ย

๒๔ ตุลาคม ๖๑

หมายเลขบันทึก: 656952เขียนเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2018 15:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2018 15:50 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ดีใจกับน้องจ้า. สนุกมากค่ะ … แต่ก็เสียวสันหลังตามค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท