ความสุขของกะทิ เล่าเรื่องราวของน้องกะทิ เด็กหญิงวัย 9 ขวบที่กำลังจะต้องสูญเสียแม่ ซึ่งป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง แม่รู้ตัวดีว่าไม่สามารถเลี้ยงดูกะทิได้ จึงฝากกะทิให้ตากับยายเลี้ยง กะทิเติบโตมาด้วยความรักของตาและยาย มีชีวิตอย่างสุขสบายในบ้านหลังน้อยริมคลองอันอบอุ่น
กะทิมีครอบครัวที่เอาใจใส่ ดูแลกะทิด้วยความรัก และความห่วงใยจากใจจริง เธอมีคุณตาที่เคยเป็นทนาย ซึ่งสามารถเรียกเสียงหัวเราะจากกะทิและครอบครัวได้อยู่เสมอๆ คุณยายของกะทิเป็นคนที่เคร่งครัด และหัวโบราณ แต่ถึงกระนั้นก็สอนกะทิเรื่องต่างๆนานา อาทิเช่น การทำอาหาร การอยู่ในสังคม เป็นต้น พี่ทองเป็นคนที่เข้าอกเข้าใจกะทิเป็นอย่างดี และเป็นคนที่มีบุญคุณต่อกะทิ เพราะว่าพี่ทองเคยช่วยชีวิตกะทิไว้ตอนกะทิเป็นเด็กเล็ก น้าฎา และน้ากันต์ซึ่งเป็นคนที่ห่วงใยกะทิ และคอยหาสิ่งดีๆให้กะทิอยู่เสมอๆ และเป็นคนที่พูดปลอบใจกะทิในยามที่กะทิเศร้าโศกเสียใจ และที่ขาดไม่ได้ก็คือ แม่ของกะทิ ที่ถึงแม้จะจากไปก่อนวัยอันควรแต่ก็จัดสิ่งต่างๆไว้ให้กะทิอย่างดิบดี ด้วยความรัก และเอาใจใส่จากใจ
กะทิ กะทิ หรือมีชื่อจริงว่า เด็กหญิง ณกมล พจนวิทย์ : เกิดเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2536 หลังเวลาเที่ยงคืน เป็นบุตรีของมารดาชาวไทย ชื่อ ณภัทร พจนวิทย์ กับ บิดาชาวพม่าที่ตั้งรกรากอยู่ในประเทศอังกฤษเมื่ออายุ 4 ขวบ ได้รับการเลี้ยงดูโดยตาและยาย ซึ่งอาศัยอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในชีวิตแรกเกิด กะทิ ได้รับการเลี้ยงดูจากมารดา และได้รับการช่วยเหลือเกื้อกูลโดยเหล่าญาติและเพื่อนของแม่กะทิ
แม่ แม่ของกะทิ มีชื่อจริงว่า ณภัทร พจนวิทย์ มีอายุประมาณ 30-40 ปี ทำงานเกี่ยวกับโฆษณา ก่อนที่แม่ของกะทิจะกลับมาที่ประเทศไทยอีกครั้ง ได้ทำงานที่ฮ่องกง เป็นที่สุดท้าย พร้อมกับตั้งครรภ์กะทิกลับมายังประเทศไทยด้วย เมื่อกะทิอายุได้ 9-11 ปี แม่ของกะทิเริ่มเกิดภาวะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (motor neurone disease: ALS/MND) จึงเป็นจุดตัดสินใจหนึ่งที่แม่ของกะทิให้ตากับยายเป็นผู้เลี้ยงดู
ตา พิทักษ์ อดีตทนายนักเรียนนอก วัย 65 ปี ที่หันหลังให้กับชีวิตเมืองกรุงมะกอก และย้ายกลับมาใช้ชีวิตเรียบง่ายในอยุธยา กับภรรยา และ “กะทิ” หลานสาว ที่ “ณภัทร” ลูกสาวคนเดียวฝากไว้ในความดูแล ชีวิตบั้นปลายของพิทักษ์จึงมีสีเข้มขึ้นกว่าที่เจ้าตัวคิดไว้ และทุกนาทีมีค่าเมื่อต้องประคับประคองชีวิตหนึ่งที่เพิ่งเริ่มต้นให้ออกก้าวเดิน
ยาย ลัดดา อดีตเลขานายใหญ่โรงแรมห้าดาว วัย ๖๔ ปี ยายของ “กะทิ” ที่พอใจกับชีวิตเรียบง่าย รอยยิ้มของลัดดาหายไปเมื่อรับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และภาระความรับผิดชอบในการเลี้ยงดูหลานชวนให้ต้องใช้สติในการตัดสินใจ
พี่ทอง ทอง หรือ สุวรรณ วินัยดี(หน้า ๘๐ ย่อหน้าที่ ๒)
เด็กวัด วัย ๑๔ ปี ทองกลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวกะทิโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาได้ช่วยชีวิตกะทิไว้ในวันฝนตก ทองมีนิสัยชอบช่วยผู้อื่นโดยธรรมชาติและโดยการอบรมของหลวงลุง เขารับกะทิเป็นน้องเล็กตั้งแต่วันแรกที่ได้เห็นเมื่อมารับบิณฑบาตกับหลวงตา และความรู้สึกนี้ไม่เคยแปรเปลี่ยนตามกาลเวลาเลย
ลุงตอง ทิฆัมพร วงศ์ภิรมย์
ลุงตอง ลุงของกะทิ วัย ๓๙ ปี เป็นลูกพี่ลูกน้องของ “ณภัทร” แม่ของกะทิ โดยนิสัยเป็นคนใจดี รักพี่น้องและพวกพ้องมาก ผูกพันกับณภัทรมาตั้งแต่เล็ก เป็นคนมีอารมณ์ขันหยิกแกมหยอก แต่ลุงตองมีสายตาแหลมคมและมองโลกในมุมปรัชญาเสมอ
น้าฎา
หญิงสาววัย ๒๗ ปี เป็นเลขาฯ ให้ณภัทรและกลายเป็นมือขวาในทุกเรื่องให้เธอจนถึงวาระสุดท้าย หัวใจเธอสลายเมื่อรู้ว่าณภัทรป่วยหนัก แต่ก็เป็นเวลาที่ทำให้เธอได้รู้จักความเข้มแข็ง ความเสียสละ และรักแท้ที่แม่มีให้ลูก เธอไม่อาจห้ามใจผูกพันกับเพื่อนรุ่นน้องของณภัทรได้ และรู้ว่ามีโอกาสน้อยเหลือเกินที่เขาจะมองมา แต่นั่นก็เป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเธอที่ได้ใกล้ชิดเขาในช่วงเวลาหนึ่ง
น้ากันต์
หนุ่มโสด พูดน้อย เก็บตัว รุ่นน้องที่สนิทสนมกับณภัทรตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย กันต์ชื่นชมในความเก่งและยกให้ณภัทรเป็นผู้หญิงในดวงใจ เขาพร้อมเสียสละความสุขส่วนตัวหากจะทำให้เพื่อนรุ่นพี่จากไปโดยสงบ และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการดูแลกะทิ กันต์ไม่เคยมองหาหญิงคนไหน แม้จะมีสาวสวยน่ารักอยู่ใกล้ตัว จนเมื่อภาพความจริงคมชัดว่าชีวิตไม่ควรโดดเดี่ยวนัก เขาจึงถอนสายตาจากหญิงในดวงใจมายังหญิงใกล้ตัว
เป็นหนังสือที่ให้แง่คิดได้ดีครับ
รางวัลซีไรต์ อีกเล่มแล้ว เล่มนี้ก็สนุกค่ะ
เป็นหนังสือที่ให้แง่คิดได้ดีค่ะ
หนังสือดี มีมากกว่าความรู้
หนังสือน่าสนใจมากค่ะ
สนุกมากคะ ^^
เป็นหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งค่ะ
ขอบคุณคะ @DocAutomotive
ขอบคุณคะ @kwanthai
ขอบคุณคะ @รจนา ตาสุยะ
ขอบคุณคะ @สุพิชฌาย์
ใช่คะ @เมษา ใจโอบอ้อม
ขอบคุณคะ @myfernz
ใช่แล้วคะ @sirisopa minmunin
ขอบคุณคะ @Khanitta
ขอบคุณคะ @Sukanya C.
หน้าสนใจมากค่ะ
หนังสือเล่มนี้ดีมากเลยคะ
นี่ผมก็ชอบครับ
เขียนบันทึกนี้เองกับมือเลยหรือครับ เนื้ือหาดูหนักแน่นมาก
เป็นหนังสือที่น่าอ่านอีกเล่มหนึ่งค่ะ
เป็นหนังสือน่าสนใจอีกเล่มค่ะ