ในปัจจุบันเป็นสังคมแห่งการแข่งขันทางเศรษฐกิจ โลกกำลังก้าวเข้าสู่ระบบบริโภคนิยม ผู้คนที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นต่าง ๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สอดคล้องกับความเป็นพลวัตในสังคม ท้องถิ่นห่างไกลเริ่มมีการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมเมืองสู่สังคมชนบท
ผู้คนในสังคมเมือง เริ่มอิ่มตัวกับวิถีความเป็นอยู่ สภาพโหยหาธรรมชาติเริ่มมากยิ่งขึ้น ((รวมทั้งตัวหนูเองก็โหยหาป่าเขาลำเนาไพรที่เคยป่ายปีนสมัยเด็กๆ)) เพราะการให้อาหารปอดด้วยคาร์บอนมันไม่ได้อิ่มอร่อยหรือทำให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาได้เลย คนเมืองทุกวันนี้จึงเริ่มหันเข้าหาธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ไปหาซื้อที่ต่างจังหวัดเพื่อใช้สำหรับเป็นที่พักผ่อนในวันหยุด หาแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่จะทำให้ปอดในร่างกายมีออกซิเจนที่บริสุทธิ์เข้าไปบ้าง แต่ในทางตรงกันข้าม กลุ่มคนชนบทที่อยู่ป่าเขาลำเนาไพร ก็โหยหาและใฝ่ฝันที่จะเข้ามาอยู่ในเมือง เพราะเห็นว่าสังคมเมืองมีความเจริญ ดูมั่งคั่ง ดูทันสมัยเจริญหูเจริญตา ผิดเขาบริบทสิ่งแวดล้อมของตัวเองที่เต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้า เหตุนี้เองคนในชนบทจึงไหลเข้าเมืองมามหาศาลเพื่อหาความเจริญให้แก่ชีวิต
ในฐานะที่หนูเองก็อยู่ทั้งเมืองทั้งชนบท ยอมรับว่า สองสังคมมีความจำเป็นและมีเสน่ห์ที่แตกต่างกัน สังคมเมืองเป็นสังคมอำนวยความสะดวกทุกอย่าง อย่างได้ก็อะไรก็ได้ อย่างกินอะไรก็กิน อยากไปไหนก็ไปได้อย่างรวดเร็ว แต่ถามว่าหนูอยากใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบไหน หนูตอบได้เต็มปากและเต็มใจเลยว่า หนูรักที่จะอยู่สังคมชนบท หนูรักป่าเขา หนูรักใบไม้ หนูรักวิถีแห่งวัฒนธรรมของความเป็นชาวบ้าน ((เคยปีนต้นไม้มาตั้งแต่เด็ก โตมาจะให้มาปีนปูนปีนตึกมันไม่ใช่ตัวตนของเราเลยจริง ๆ )) แต่ถึงอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังทำงานและอาศัยอยู่ในสังคมเมือง ซึ่งหวังสักวันจะพาชีวิตและหัวใจตัวเองกลับไปสร้างประโยชน์ให้กับสังคมชนบทได้มากกว่านี้
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านที่กำลังสร้างฝันของตนเองนะคะ อยู่ที่ไหนไม่สำคัญ ขอให้ทุกวันสร้างสิ่งที่ดีสู่สังคม ——> น้องจิ ^_^`