ชวนกินผักร.ร.วัดเปร็งราษฎร์บำรุง


ช้ากว่าอนุบาลก็สายเกินไป

วิธีชวนกินผักจาก “วัดเปร็งราษฎร์บำรุง”

            การกินผักและผลไม้นั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่สำหรับเด็กๆ แล้ว การกินผักและผลไม้ดูจะเป็นเรื่องยาก เพราะผักสีเขียว คือสิ่งที่เด็กๆ ร้องยี้ โดยเฉพาะการกินครั้งแรก หากไม่ชอบแล้ว ครั้งต่อๆ ไป เด็กๆ ก็จะปฏิเสธการกินผักไปตลอด

            การส่งเสริมเด็กกินผักและผลไม้ให้ได้นั้น จึงต้องมีวิธีและความตั้งใจมากเป็นพิเศษ และจะใช้วิธีเก่าๆ ไม่ได้อีกแล้วที่โรงเรียนวัดเปร็งราษฎร์บำรุง (วรพินิจวิทยาคาร) ริมถนนอ่อนนุช-เทพราช ต.เปร็ง อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ เป็นโรงเรียนหนึ่งที่มีอาจจะด้วยสาเหตุ พ่อ แม่ หรือผู้ปกครอง เร่งรีบในการทำงาน จึงละเลย ขาดความเอาใจใส่ หรือไม่พิถีพิถันต่อการเตรียมของกินของลูกหลานมากนัก โดยเฉพาะเมนูอาหารจากผักและผลไม้ แม้บางครอบครัวอาจพยายามให้ลูกกินผักบ้าง แต่เมื่อลูกไม่ยอมกิน ก็ปล่อยเลยตามเลย ทำให้ลูกค่อยๆ ห่างออกจากผัก

            ภายในห้องเรียนระดับอนุบาล สุรัตน์ ทิพย์อุทัย ครูปฐมวัยนั่งอยู่กลางห้อง รายล้อมด้วยหนูน้อยตัวเล็กๆ จ้องมองคุณครูของพวกเขาอย่างไม่วางตา ช่วงเวลานี้คุณครูสุรัตน์จะเล่านิทานเกี่ยวกับผักและผลไม้ให้ลูกศิษย์ตัวน้อยฟัง ซึ่งเป็นอุบายอย่างหนึ่งที่จะช่วยสอนให้เด็กๆ กินผักตั้งแต่ระดับอนุบาล

            “เด็กไม่ชอบกินผักและผลไม้ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากที่บ้านไม่ส่งเสริม” สุรัตน์ ทิพย์อุทัย ครูปฐมวัย บอกถึงสาเหตุหนึ่งที่เด็กไม่ชอบทานผัก และเล่าต่อไปว่า ถ้าเด็กมาโรงเรียนอย่างน้อยๆ มื้อกลางวันจะต้องได้ทานผักและผลไม้อย่างแน่นอน แต่การให้เด็กกินผักและผลไม้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ จะต้องมีวิธีการ

            วิธีการที่ว่านั้น คือลูกล่อลูกชนที่คุณครูจะต้องงัดมาใช้ รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการบริโภคผักและผลไม้เพื่อสุขภาพในโรงเรียน ซึ่งทางโรงเรียนวัดเปร็งฯได้ขอรับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มาทำโครงการด้วย

ช้ากว่าอนุบาลก็สายเกินไป

           เด็กในวัยอนุบาล เวลาบอกหรือสอนให้ทำอะไร ก็จะเชื่อฟังและทำตาม ซึ่งครูสุรัตน์ บอกว่า เริ่มให้เด็กๆ ได้ลงมือปลูกผักด้วยตัวเอง ร.ร.มีพื้นที่สำหรับทำแปลงผัก แม้จะเป็นพื้นที่เล็กๆ แต่สิ่งที่ได้มีมากมาย โดยใช้ตระกร้า วงบ่อซีเมนต์ ควบคู่แปลงดินเล็ก เป็นพื้นที่เพาะปลูกเด็กๆ จะได้เรียนรู้ตั้งแต่เตรียมดิน หว่านเมล็ด เฝ้าดูแลรดน้ำทุกวันจนสามารถเก็บกินได้ เด็กๆ ก็จะเกิดความภูมิใจที่ได้กินผักที่เขาปลูกด้วยตัวเอง

            การสอนในห้องเรียนด้วยเช่นกัน ครูสุรัตน์ บอกว่า จะสอนด้วยหนังสือและกระดาษแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว บางครั้งต้องใช้ผักและผลไม้จริงมาให้เด็กได้หยิบจับ ได้กินจริงๆ ตามสัมผัสทั้ง 5 ถือเป็นการสร้างความคุ้นชิน จะช่วยให้เด็กผักและผลไม้เป็นของใกล้ตัว ซึ่งวิธีนี้ดีกว่าการสอนด้วยรูปภาพกระดาษ หรือคำบอก

            “เชื่อว่า “1 คนกิน 1 คนตาม” นะ คือ ถ้าเด็ก 1 คนกินได้ แล้วเราชมว่า “เก่งมาก” แค่นี้เขาก็มีความสุข ถือว่าสิ่งนั้นมีมีความสำคัญกับเขา เด็กคนอื่นๆ ก็จะกินตามกันในที่สุด เพราะทุกคนอยากเป็นคนเก่ง อยากเป็นคนสำคัญ” ครูสุรัตน์ บอก

            นอกจากนี้ในยุคที่โซเชียลมีบทบาทกับชีวิต ทางโรงเรียนวัดเปร็งฯ ก็ไม่พลาดที่จะอิงกระแสโซเชียล เพื่อรณรงค์และปลูกฝังให้เด็กกินผักและผลไม้ ซึ่งวิธีการนี้ ครูสุรัตน์บอกว่า ได้ตั้งนักเรียนแกนนำจำนวน 10 คนเพื่อช่วยทำกิจกรรม ทุกวันพุธและศุกร์ ก่อนเข้าห้องเรียน ก็จะมี พี่ๆ “หน้ากากผักและผลไม้ 5 สี” มาเชิญชวนให้น้องๆ ทานผักและผลไม้ 5 สี และยังมีน้องๆ มาเต้นประกอบเพลงสอดแทรกให้ความรู้ด้วยเช่นกัน

            เช่นเดียวกับเวลาจัดกิจกรรมเนื่องในวันต่างๆ ก็จะมีการไลฟ์สดเฟซบุ๊ก ทางเพจของโรงเรียน เช่น วันคริสต์มาส ก็ได้มีการจัดกิจกรรม “เท่ห์น่ารัก กินผักและผลไม้ต้อนรับวันคริสมาสต์” ซึ่งได้รับความสนใจจากพ่อแม่ ผู้ปกครองพอสมควร

บูรณาการทุกกลุ่มสาระให้ว่าด้วยเรื่องผัก

            อีกหนึ่งสิ่งสำคัญ คือ การบูรณาการเข้ากับกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยใช้ผักและผลไม้มาสอดแทรกรายวิชาในทุกระดับใช้ ได้ทั้งความสนุกและความรู้ วิชชาที่น่าเบื่อก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

            อัจฉรา สีไว ครูสอนภาษาอังกฤษ กล่าวว่า ทุกรายวิชาเราสามารถนำเอาผักและผลไม้เข้าไปสอดแทรกสาระการเรียนรู้ได้ทั้งหมด เช่น ภาษาอังกฤษก็ได้เรื่องของคำศัพท์ วิชาวิทยาศาสตร์ก็ได้เรื่องของโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต หรือคณิตศาสตร์ก็จะเป็นเรื่องของการนับจำนวน สัดส่วน หรือการคำนวนแคลอรี่ ศิลปะก็จะเป็นการวาดภาพระบายสีอย่างสร้างสรรค์ เป็นต้น

            ครูอัจฉรา ยอมรับว่า การบูรณาการเข้าในรายวิชา บางอย่างก็ไม่สามารถเอามาสอนได้ทั้งหมด และความสนใจและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กจะสู้การทำกิจกรรมไม่ได้ เพราะในรายวิชาเด็กไม่ได้ลงลึกที่ผักและผลไม้โดยตรง แต่ถ้าเป็นกิจกรรม ได้ปลูก ได้สัมผัส จะมีแนวโน้มที่ดีกว่า

            ขณะที่ ประวัติพงษ์ รอดกลาง ผอ.ร.ร.วัดเปร็งราษฎร์บำรุง (วรพินิจวิทยาคาร) อีกหนึ่งคีย์แมนสำคัญที่ส่งเสริมกิจกรรมการทานผักและผลไม้เพื่อสุขภาพ ด้วยแนวคิด “เด็กสุขภาพดีทั้งร่างกายและจิตใจ ย่อมส่งผลดีต่อการเรียน” บอกว่า ถ้าเด็กกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ร่างกายก็จะแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย มีสุขภาพจิตดี ก็จะเรียนได้อย่างมีความสุขและสนุกกับการเรียนรู้สิ่งรอบตัว โดยทุกปีเวลามีประชุมผู้ปกครองก็จะเชิญเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลมาให้ความรู้เรื่องโภชนาการกับผู้ปกครองให้ได้รับทราบและนำไปปฏิบัติที่บ้าน เพื่อช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้กับลูกหลาน

            ส่วนกิจกรรมโครงการการส่งเสริมการบริโภคผักและผลไม้เพื่อสุขภาพ อย่างน้อยๆ อาหารมื้อกลางวันเด็กๆ จะได้รับประทานผักและผลไม้ทุกวัน เมื่อเด็กคุ้นเคยแล้วสามารถต่อยอดเวลากลับไปที่บ้านเขาก็จะกินผักและผลไม้ได้ ซึ่งผู้ปกครองก็ต้องช่วยส่งเสริมด้วยเช่นกัน

          ภายหลังรณรงค์และส่งเสริมให้เด็กกินทานผักและผลไม้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้วันนี้ นักเรียนโรงเรียนวัดเปร็งราษฎร์บำรุง (วรพินิจวิทยาคาร) สามารถกินผักและผลไม้ได้เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 75 เป็นร้อยละ 85 อันเป็นผลมาจากความร่วมมือ ร่วมใจ ของคณะครูที่ช่วยกันอย่างจริงจัง เพื่อให้ลูกศิษย์ตัวน้อยๆ มีสุขภาพดีทั้งกาย ใจ และปัญญา

หมายเลขบันทึก: 647844เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2018 11:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 มิถุนายน 2018 11:16 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

น่าชื่่นใจครับ /
ขอให้กำลังใจกับการเริ่มต้นที่สำคัญของชาติ  เด็กๆ วัดเปรื่องโชคดีนัก มีหลายโรงเรียนประสบปัญหาใหญ่เรื่องเด็กทุพโภชนาการ อ้วนไป ผอมไป ตกมาตรฐาน BMI  แต่นี่นี่เชื่อว่ามีจุดเร่ิมต้นที่ดี 

ขออภัย แก้ไขคำผิด วัดเปรื่อง ขอแก้เป็น วัดเปร็ง...5555  อภัยให้คนกินผักน้อยด้วยนะครับ ตาก็ลายเป็นธรรมดานะครับ..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท