"คนเฮามันกะมีแนวเฮ็ดเพื่อคนอื่นหลายทาง
ทางกายกะได่ ทางใจกะดี ทางวจีกะเเม่น
เฮ็ดให้มันครบเด้อคนเฮา"
เมื่อโลกเจริญล้ำยุคทางเทคโนโลยีมากมาย สิ่งที่แปลกที่สุดอย่างหนึ่ง
คือ เราอยู่ในยุคที่การสื่อสารพัฒนาก้าวหน้าไปได้ไกลที่สุดของมนุษยชาติ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเราสามารถส่งข้อความหากันได้ มองเห็นหน้ากันได้
แต่เรากลับอาจอยู่ในยุคที่การสื่อสารล้มเหลวที่สุด เพราะแค่การพูดในสิ่งที่เราต่างรู้สึกต่อกัน
เรายังทำไม่ค่อยได้ แต่การที่เราได้ร่วมกลุ่มกันทำกิจกรรมเพื่อสังคมและชุมชน
การคิดถึงส่วนรวมแล้วมองย้อนกลับมาที่ตัวเรา เราอยู่บนโลกเสมือนจริง
ภัยแล้งที่เกิดขึ้นที่บ้านโคกกลาง ตำบลจันทร์เพ็ญ อำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร
ก็เป็นพื้นที่หนึ่งที่ทำให้เราได้ใช้บริบททางสังคม ร่วมเรียนรู้และแก้ปัญหาร่วมกัน
จนเกิดการผลักดันระหว่างเครืือข่ายนิสิตจิตอาสาเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทำดีเพื่อพ่อทำดีเพื่อแผ่นดิน
คณะสงฆ์ ชาวบ้านคริสต์ และพุทธศาสนิกชน ร่วมกันต่อท่อน้ำดื่มน้ำใช้ระยะทางกว่า 400 เมตร โดยสำเร็จด้วยดี
น้ำที่ต่อมาก็ได้จากน้ำซับน้ำแร่จากภูเขา ซึ่งก็อยู่บนธรรมชาติเราก็พึ่งพาธรรมชาติ นิสิตของเราคือแรงผลักดัน
ถึงแม้ความลำบาก ความเหนื่อยจะมีบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้เราได้อ่อนแอท้อแท้ กลับทำให้เราเข้มแข็ง อ่อนโยน มีความรัก
มีเมตตาปรารถนาดีต่อส่วนรวม มีความสามัคคีช่วยเหลือแบ่งปันกัน
จึงทำให้รู้ว่ามนุษย์เราสามารถทำเพื่อคนอื่นได้หลากหลายช่องทาง ทางกาย วาจา และใจ
เราก็ทำให้ครบทุกด้านสมกับเป็นอาสาสมัครจิตอาสาอย่างแท้จริง และยังใช้ประโยชน์เพื่อตน เพื่อส่วนรวม
ยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนเพื่อนนิสิตให้ทำกิจกรรมแบบมิติหนึ่ง ซึ่งเป็นการเรียนรู้คู่กับการให้บริการ
การถอดบทเรียนความคิด และสร้างมนุษยสัมพันธ์
และยังสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการเข้ามาเป็นอาสาสมัครอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายภาพรวมกิจกรรมระหว่างวันที่ 29-31 มีนาคม 2561 ภายใต้โครงการ"แบ่งปันน้ำใจ ต้านภัยแล้ง"
มีความสอดคล้องบูรณาการอย่างสร้างสรรค์ การทัศนศึกษาดูธรรมชาติ การศึกษาแหล่งประวัติศาสตร์ชุมชน
การเรียนรู้บริบทชุมชนความหลากหลายทางความเชื่อ ความเป็นอีสาน การเป็นอาสาสมัครจิตอาสา กิจกรรมต่อท่อน้ำดื่มน้ำใช้
กิจกรรมการแสดงละครสะท้อนสังคมพร้อมถอดบทเรียน กิจกรรมทำบุญตักบาตร บายศรีสู่ขวัญ
ที่กล่าวมา คือ เครื่องมือที่สร้างผลผลิตที่งดงามและลงตัว
การงานบนฐานใจที่บริสุทธิ์ จะงดงามเสมอ แม้ชิ้นงานนั้นจะไม่ใหญ่โตในเชิงกายภาพ และมูลค่าและคุณค่าจะทบทวีคูณเสมอ
การเกิดเครือข่ายฯ คือความสำเร็จของวิถีนอกหลักสูตร หรือเรียนนอกฤดูอย่างน่าชื่นชม สำเร็จได้ ไม่ใช่ว่าเป็นนโยบาย แต่สำเร็จได้ก็ด้วยทีมเครือข่ายฯ ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้ารับผิดชอบ และกล้าหาญที่จะเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง นั่นเอง
สำคัญมากที่เห็นการทำงานมีกระบวนการเรียนรู้คู่บริการอย่างสม่ำเสมอ เอาง่ายๆ ทุกกิจกรรม ทักเวทีมักจะให้คนร่วมงานได้เรียนรู็ผ่านโจทย์ใดโจทย์หนึ่งแล้วสะท้อนผลการเรียนรู้ร่วมกัน ฝึกการทบทวนงาน ทบทวนตัวเอง และฝึกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างน่ายกย่อง
คล้ายกับว่า นี่คือพื้นที่ต่อยอดกิจกรรมเดิม ใช่หรือไม่ครับ