ประสบการณ์ปฏิบัติธรรม ตอนที่ ๒


            แขร์ประสบการปฏิบัติธรรม

            ฉันได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมครั้งแรก จากการชักชวนของคุณอาซึ่งไปปฎิบัติธรรมที่วัดเป็นประจำ ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาชีวิตอะไร ไม่ได้อกหัก ไม่ได้เป็หนี้ ไม่ได้มีปัญหากับคนในครอบครัว ไม่ได้มีปัญหาเรื่องงาน แต่ตอนนั้นไปด้วยความอยากรู้ว่าเขาไปทำอะไรกันที่วัด

            ปฏิบัติครั้งแรกตามหลักสูตร ๘ วัน ๗ คืน ของคุณแม่สิริ ทำตามสติปัฎฐาน ๔ หลักใหญ่คือเดินจงกลม นั่งสมาธิให้รู้เท่าันปัจจุบัน กำหนดอริยาบทยอยตั้งแต่ตื่นนอน อาบน้ำ กินข้าว จำได้ว่าตอนนั้นเช้าวันที่ ๔ รู้สึกว่าจิตใจสงบมาก รู้สึกสงบเย็น มีความสุขแบบบอกไม่ถูก รุ้สึกว่าโลกนี้สดใส ตั้งใจมาปฏิบัติทุกปี

           พอมาทำประจำทุกปี ก็เร่ิมเห็นตัวเอง จากแต่ก่อนไม่เคยเห็นส่วนไม่ดีของตัวเอง ก็เริ่มเห็นข้อเสียแล้วเกิดอาการซึ่มเศร้า รุ้สึกผิดที่ตัวเองเป็นแบบนั้น จากแต่ก่อนเป็นคนที่มีความมันใจในตัวเอง ความมั่นใจก็ลดลง นอกจากเห็นข้อไม่ดีของตัวเองแล้ว ก็ไปเห็นข้อไม่ดีของคนอื่นที่เยหลอกใช้เรา หลอกเราให้ทำเพื่อประโยชน์ของเขา ทั้งที่แต่ก่อนไม่เยเห็นในมุมนี้เพราะเป็นคนโลกสดใส กลายเป็นโกรธแค้นคนอื่นที่เยาำกับเราโยที่เราไม่รุ้ตัวมาก่อน ่วงนั้นไม่มีความสุขกับชีวิตเลยเพราะจมอยู่กับความรุ้สึกเสียใจและโกรธแค้นจนวันหนึ่งถึงคิดขึ้นมาได้ว่าต้องฝึกมีเมตตากับตัวเองและผุ้อื่น รู้จักให้อภัยตัวเอง ให้อภัยผุ้อื่น และนึกถึงคำสอนที่ว่าเมตตาธรรมค้ำจุนโลก

          มาถึงตอนนี้เลยเข้าใจแล้วว่า การปฏิับัติธรรมหลักให่คือทำเพื่อให้เข้าใจตวเอง เข้าใจผู้อ่น มองเห็นตัวเอง มองเห็นผุ้อื่น และให้นำหลักธรรมคำสังสอนมาปรับใช้กบชีวิต สิ่งที่สำคัญและเป็นส่วนทียากคือต้องฝึกสิให้ไวเพื่อที่จะรู้เท่าทันปัจจุบัน เพื่อที่จะไม่จมอยูในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งนานเกินไป...https://pantip.com/topic/30532...

            ประสบการณืการปฏิบัติธรรม 

            เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่าเรื่องทางโลกและเรื่องทางธรรมแยกต่างหากจากันถาอยากปฏิบัติธรรมก็ต้องเข้าวัดถือศีลทำสมาธิภาวนา แต่ถ้าเรายังต้องทำงานอยู่กับทางโลกก็เป็นเรื่องยากที่จะรักษาใจให้สงบได้ ต่อมาได้ศึกษาธรรมะมากขึ้น จึงได้เรียนรู้ว่า ธรรมะสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันหลักการสำคัญคือ การมีสติอยู่กับปัจจุบัน เหตุผลแรกที่ไปปฏิบัตะรรมก็ือ คิดว่าถ้าเราปฏบัติธรรมจนใจสงบแล้วก็จะมีสมาธิในการอ่านหนังสือ ในการทำงานจึงได้ไปปฏิบัตธรรมเป็นประจำ ครั้งแรก ฉันฝึปฏิบัติวปิัสนากรรมฐาน..เป็นเวลา๗ วัน การอบรมครั้งทำให้มุมมองเกี่ยวกับการศาสนาของฉันแตกต่างไปจากเดิมอย่างิส้นเชิงสมัยเด็กฉันเคยตามยายไปทีวัด และมักจะได้รับฟังคำเทศนาในทำนองว่า ทำบุญจะได้ขึ้นสวรรค์ ทำบาปจะตกนรก พูดแต่เรื่อง เกิด แก่ เจ็บตาย ฉันได้แต่สงสัยว่าทำไมมีคนบอกง่าไปวัดแล้วสบายใจ ฉันไปวัดที่ไร รู้สึกไม่สบายใจทุกทีกลัวตกนรก กลัวตา่ย

             การอบรมครั้งนั้น พระท่านเทศน์เรื่องกฎแห่งกรรม ท่านเแรียบเทียบว่า กรรมเก่าที่ไม่ดีก็เปรียบเหมือนเกลือ กรรมเก่าที่ดีก็เกมือน้ำ ถ้าเรามีเกลือ(กรรมไม่ดี) อยุู่ครึ่งแก้ว มีน้ำ (กรรมดี) อยู่ครั้งแก้ว น้ำในแก้วก็เค็ม นั้นหมายถึง ถ้าเรามีกรรมไม่ดี เท่ากับกรรมดี ผลคือ เราต้องรับผลของกรรมไม่ดีก่อนแต่การให้ผลของกรรมนั้นไม่ได้ขึ้นอยุ่กับกรรมเก่าเพียงอย่างเดียวแต่ขึ้นอยุกับกรรมปัจจุบันด้วย (เรียกอีกอย่าว่าสิงที่เราทำในปัจจุบัน) นั่คือ หากเรามีเกลือและน้ำอยู่อย่างละเท่าไ กัน ถ้าเราแลาดหมั่นเติมน้ำลงไปเรื่อยๆ จนมีน้ำมากมายมีเกลือนิดเดียว น้ำก็จะไม่เค็ม ดื่อได้ แต่ถ้าเราไม่ฉลาหมั่นเติมเกลือลงไป น้ำก็ไม่มีทางกลายเป็นน้ำจืดไปได้ ฉันฟังแล้วรู้สึกว่าฉันไมเคยรู้มาก่อนว่าศาสนาพุทธ จะสอนเป็นมีเหตุมีผลขนาดนี้ 

            พระอาจารย์บอกว่า การปฏิบัติวปัสสนา เป็ยอดของการบูชา เป็นการปฏิบัติตามรอยบาตรพระพทุธองค์ แต่ตอนนั้นฉันฟังแล้วไม่ค่อยเข้าใจธรรมะมากมายหรอก อาจจะเป็นเพราะเริ่มต้นปฏิบัติทีไรก็ ทรมาน เจ็บปวด เมื่อย ง่วงนอน ดูแตนาฬิกาว่าเมื่อไหรจะถึงเวลาพัก เมื่อไหร่จะครอบเจ็ดวันจะได้กลับบ้าน..ฉันบอกตัวเองี่เป็นแบบนี้คงเป็นเพราะฉันังไม่รู้วิะีที่ถูกต้อง ตอนนั้น ฉันรู้แค่ว่า ถ้าฉันได้ปฏิบัติธรมบ่อยๆ จะทำให้จิตใจ สงบ ผ่องใส เยือกเย็น มีความจำดี ข่วยให้การศึกษาเล่าเรียนดี มีสติปัญญาเฉียบแหลม ตอนนั้นฉันจึงตั้งใจว่าจะฝึกวิปัสสนาเพื่อเตรียมตัวสอบ..

             ตั้งแต่ฉันปกิบัตธรรม ฉันโกรธง่ายกว่าตอนไม่ปฏิบัติธรรม ฉันจึงไปถามพระอาจารย์ ท่านก็ยิ้มไม่ตอบกระไร..ฉันคิดไปเองว่าการปฏิบัติธรรมของฉันยังไ่ก้าวหน้า..พอสอบผ่านแล้วการปฏิบัติธรรม ก็เลิกไปเลย แต่ยังคงหาโอกาสไปปฏิบัติธรรมอยุเสมอ...

            ต่อมามีเพื่อนชวนไปปฏิบัตะรรมที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ในช่วงวันเข้าพรรษา เป็นเวลา ๕ วัน ครั้งนี้รุ้สึกว่าปฏิบัติธรรม ได้ดีกว่าคราวก่อนๆ มาก ทั้งที่คนเยอะๆ มาก เพราะเป็นวันหยุดยาวแต่จิตใจก็ไม่ว้าวุ่น แม้ทุกสิ่งรอบตัวดุวุ่นวาย รู้สึกว่าตัวเอง ได้มีโอกาสได้บำเพ็ญขันติบารมี ฝึกวามอดทน ความมีน้ำใจ การให้อภัย แก่นรอบข้าง สรุปว่าในคราวนี้รู้สึกดีกับการปกิบัตะรรมมากๆ ใจเย็นขึ้นเยอะ และคิดว่าจะหาโอกาสไปย่อยๆ 

            เพื่อนเล่าว่า มีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่น่าสนใจมากอีกท่เหนึ่ง คือศุนย์วิปัสสนาฯ สอนโดยอาจารย์โกเอ็นก้า ครั้งแตกต้องเข้าปฏิบัติ ๑๐ วัน ปิดวาจา สนิด พักห้องเดี่ยว รับสมัครผุ้ปฏืบัติครั้งะไม่มาก เร่ิมปฏิบัติตีสี่ครึ่ง ถึงสามทุ่ม นั่งสมาธิอย่างเดียว ไม่มีเดินจงกรม ปิดวาจาเป็นเวลาสิบวัน อนนั้นคิดว่าตัวเองคงทำไม่ได้ เพราะปกติเป็นคนนั่งสมาะิไม่ได้ หลับตาก็เป็นอันหลัย ปกติจะขอบเดิจจงกรมมากว่า  แต่พอจะไม่ไปอีกใจหนึ่งก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งเคยอยากมีโอกาสปฏิบัตแบบระยะยาวและเข้มขน เลยคิดว่า น่าจะไปลองดุสักครั้ง  เลยตัดสินใจสมัคร ครั้งแรกที่ไป แต่ละวันของการปฏิบัต ิมีความรุ้ใหม่ๆ ให้ศึกษาตลอดเวลาสิ่งที่เรียรุ้ตอบข้อสงสัยที่เคยมีในใจเกือบหมด วันสุดท้ายของการอบรมเพ่ิงู้ว่า ที่นี่เปิดมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ ปัจจุบันม่ ๙ ศูนย์ทั่วประเทศ นึกแปลกใจว่าเราก็ปฏิบัตธรรมมานานทำไม ไม่เคยได้ยินชือาจารย์โกเอ็นก้ามาก่อนเลย ในเวลาต่อมาก็เพ่ิงนึกได้ว่า เราเคยได้ยินชื่อ มากหลายครั้งแล้วเพียงแต่ไม่ได้ใส่ใจเท่านั้น เพื่อนของฉันบอกว่าคงเป็นเพราะก่อนหน้ายังไม่ถึงเวลาที่ะพบที่นี้่เราอาจจะยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะรับธรรมะที่นี่ ถ้าเราเจอที่นี่ก่อนหน้านี้ เราอาจจะไม่สนใจ และไม่ไดรับประโยชน์เลยก็ได้่..ฉันทบทวนดู ก็คงจะจริง.https://web.facebook.com/notes...

             

            

หมายเลขบันทึก: 645856เขียนเมื่อ 20 มีนาคม 2018 20:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 มีนาคม 2018 20:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท