วิเคราะห์วรรณกรรม เรื่อง ความรักใดจะไม่ปวดร้าว


วิเคราะห์วรรณกรรม

เรื่อง ความรักใดจะไม่ปวดร้าว

โครงเรื่อง >> แก่นเรื่อง >> ตัวละคร >> บทสนทนา >> ฉาก >> บรรยากาศ

          ความรักใดจะไม่ปวดร้าว เป็นพระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากนวนิยายของชวนหนี  หรือมีนามจริงว่า “หลิวชุนเฟิ่ง” ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์

          ความรักใดจะไม่ปวดร้าวเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว โดยหมิ่นมินเป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อมั่นในความรักของตนกับอยู่ตง โดยทั้งคู่ได้ตัดสินใจแต่งงานกัน แม้ว่าพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจะไม่ยินยอม ซึ่งหมิ่นมินเป็นคนที่ไม่ชอบเด็ก เมื่อหมิ่นมินท้องจึงตัดสินใจไปทำแท้งถึงสองครั้ง เพราะคิดว่าไม่พร้อมจะเป็นแม่ เมื่อท้องอีกครั้งจึงตัดสินใจเอาลูกไว้ เนื่องจากเห็นว่าสามีของเธอเหมือนจะรักเด็กมาก เมื่อคลอดลูกแล้ว สามีของเธอก็เปลี่ยนไป ไม่เคยสนใจเธอเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งหมิ่นมินก็มีรูปร่างที่เปลี่ยนไป ทั้งหมิ่นมินและอยู่ตงทะเลาะกันแทบทุกเวลา ความรักที่เคยหวานแว๋วก็กลับกลายเป็นจืดชืดจนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธและเกลียดกัน เมื่ออยู่ซีซึ่งเป็นลูกชายอายุได้สองปี หมิ่นมินจึงตัดสินใจออกไปทำงานนอกบ้านแต่ก็ทำได้เพียงสองเดือนก็ลาออกมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก เธอตัดสินใจจะหนี แต่เมื่อที่พึ่งสุดท้ายของเธอคือเพื่อนที่ป่วยหนักมาก ดูแลตัวเองไม่ได้ เธอจึงกลับมาบ้านอยู่กับลูกและสามีเหมือนเดิม

          สำหรับนวนิยายแปลเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าว มีโครงเรื่องที่น่าสนใจคือ เปิดเรื่องโดยที่หมิ่นมินได้เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของเธอ ที่ว่าชื่อของเธอเองก็ไม่มีใครจำชื่อของเธอได้แล้ว แต่ตัวของเธอนั้นก็คอยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าต้องจำชื่อของตนเองให้ได้ เพราะสามีของเธอก็เรียกเฉพาะเวลาที่โกรธกันเท่านั้น ซึ่งในส่วนของการเปิดเรื่อง ผู้เขียนน่าจะต้องการให้เห็นถึงเรื่องราวชีวิตความหดหู่เกี่ยวกับความรักในชีวิตของหมิ่นมิน ที่เมื่อเธอมีลูกแล้ว ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป รูปร่างก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทั้งนี้ความรู้สึกระหว่างเธอกับอยู่ตงซึ่งเป็นสามีก็เปลี่ยนไป อยู่ตงคนที่เคยอ่อนโยนเรียกชื่อของเธอด้วยความรักและทะนุถนอม กลับกลายเป็นการเรียกชื่อเสมือนโกรธแค้นมานานหลายปี เหมือนไม่เคยมีความรักให้แก่เธอเลย ซึ่งก็ทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ “ความรัก” ของหมิ่นมิน ซึ่งเป็นส่วนที่จะนำให้ผู้อ่านได้เริ่มต้นรับรู้เรื่องราวชีวิตของเธอ ผ่านการเล่าเรื่องด้วยตัวของเธอเอง ในส่วนของการปิดเรื่องก็เป็นส่วนที่สอดคล้องกับการเปิดเรื่องอย่างลงตัว เนื่องจากพูดถึงเรื่องราวที่เป็นปริศนาให้ผู้อ่านได้สงสัยตั้งแต่เปิดเรื่อง แล้วในตอนปิดเรื่องก็คลี่คลายเรื่องราวให้ผู้อ่านได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

          ความรักใดจะไม่ปวดร้าวยังสอดแทรกให้เห็นถึงการใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้คนในสังคมต่างต้องพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดไปให้ได้ในแต่ละวัน จึงส่งผลให้ผู้คนในสังคมเกิดความเห็นแก่ตัว แบบใครดีใครได้ เช่น อยู่ตงที่มุ่งแต่ทำงานโดยไม่สนใจครอบครัว ทั้งนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวที่สะท้อนให้ผู้อ่านได้เห็นว่าครอบครัวของคนจีนนั้นอยู่แบบส่วนตัวต่างคนต่างอยู่แทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันกันเลย แม้กระทั่งคนในครอบครัว โดยเห็นได้จากครอบครัวของหมิ่นมินและอยู่ตง ซึ่งเมื่อทั้งสองได้แต่งงานกันแล้วก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวอีกเลย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อลูกๆ แต่งงานก็จะออกมาสร้างครอบครัว และไม่มีความผูกพันกันมากนัก ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าครอบครัวในสังคมจีนค่อนข้างแตกต่างจากสังคมไทยเพราะสังคมไทยนั้น บางคนแต่งงานแล้วก็ยังเลือกที่จะอยู่ดูแลพ่อแม่ หรือถึงแม้ต้องแยกบ้านไปไม่เคยทิ้งพ่อแม่ไปไหน ซึ่งในส่วนนี้ก็ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณีของสังคมด้วยเช่นกัน

          ทั้งนี้ความคิดความเชื่อเกี่ยวกับศีลธรรมคือ การทำแท้ง จะเห็นได้ว่าผู้เขียนได้เล่าเรื่องราวของการทำแท้งอย่างชัดเจน โดยเห็นได้จากตัวละครของหมิ่นมินที่เธอนั้นได้ทำแท้งถึงสองครั้ง ในส่วนของการทำแท้งประเทศจีนถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ถ้าหากว่าไม่พร้อมก็สามารถเอาลูกออกได้โดยไม่ผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น  ซึ่งจากการเล่าเรื่องของหมิ่นมินก็ทำให้ผู้อ่านได้รู้สึกว่าในส่วนของเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรกับชีวิตสองชีวิตที่เธอทำลายลงไป ส่วนใหญ่จะพูดแต่เพียงเรื่องความเจ็บปวดของร่างกายเสียมากกว่าเรื่องราวทางจิตใจ จะมีก็แค่เพียงพูดถึงว่าฝันเห็นเด็กคนหนึ่งอยู่บ่อยๆ แต่สักพักก็หายไปเอง ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลย  จากเรื่องราวในส่วนนี้ผู้เขียนก็แสดงผู้อ่านได้เห็นถึงความเป็นไปของชีวิตสังคมหรือกระทั่งจิตใจของตัวละครในเรื่องว่า เขาก็ไม่รู้สึกผิดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็แตกต่างจากสังคมไทยที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องผิดศีลธรรมที่ขึ้นเกิดขึ้นอย่างมาก ด้วยความเป็นอยู่และศาสนาที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคนไทยและการทำแท้งก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในสังคมไทย

          สำหรับเรื่องความขัดแย้งในเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าวก็จะมีความขัดแย้งหลักก็คือ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างหมิ่นมินกับอยู่ตง จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งที่มีให้เห็นตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลูก หรือความรักระหว่างคนสองคนที่มีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  ในส่วนเรื่องของลูกก็จะเห็นได้ว่าหมิ่นมินให้ความสำคัญกับลูกและสามีทุกอย่าง ยอมเหน็ดเหนื่อยยอมอดทนเพื่อลูกเพื่อครอบครัว แต่อยู่ตงนั้นเลือกจะไม่ให้ความสำคัญในส่วนนี้ แต่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับงานของตน คิดแต่เพียงว่าใช้เงินเป็นเครื่องดูแลภรรยาและลูก แต่ไม่เคยนึกถึงจิตใจเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ขัดแย้งหลักของตัวละครในเรื่องอย่างชัดเจน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ยังมีในคู่ของเถ้าแก่เกาหลีกับคิมยองฮี ที่เป็นความขัดแย้งในรูปแบบเดียวกันกับคู่ของอยู่ตงและหมิ่นมิน อีกทั้งยังมีเรื่องความขัดแย้งภายในจิตใจของหมิ่นมิน เห็นได้จากตอนที่เธอเลือกที่จะเก็บลูกไว้ ซึ่งเธอเองนั้นไม่อยากเก็บลูกไว้เลย แต่เพราะเห็นว่าสามีของเธอนั้นรักเด็กมาก เธอจึงต้องเลือกความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่อยากเก็บลูกไว้เพราะไม่ชอบเด็ก หรือต้องเก็บลูกไว้เพราะนึกถึงความรู้สึกของสามีที่อยากมีลูก แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเก็บลูกไว้เพราะเธอรักสามีของเธอมาก จึงเป็นจุดที่นำไปสู่เรื่องราวความรักที่ขมขื่นของเธอนั่นเอง

                นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เน้นตัวละครเป็นหลัก โดยเน้นที่ความรู้สึกของตัวละคร โดยพิจารณาจากการเล่าเรื่องของตัวละคร ซึ่งก็มีหมิ่นมิน เป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนชี้ให้ผู้อ่านได้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง โดยตัวละครหลักอย่างหมิ่นมินจะเล่าเรื่องความรักที่สมหวัง เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ที่เธอเองทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ความรักของเธอออกมาดีที่สุด ซึ่งในส่วนนี้ส่วนนี้ก็ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอิ่มเอมกับเรื่องราวที่เธอเล่า แต่เมื่อเธอพูดถึงเรื่อราวความรักเกี่ยวกับครอบครัวของเธอก็ชี้ให้เห็นความรักที่ปวดร้าวว่าเธอนั้นไม่ได้รับความใส่ใจจากครอบครัวมากนัก เธอจึงไม่ผูกพันกับครอบครัว และเลือกที่จะหาความรักที่เธอต้องการ ในส่วนนี้ก็ทำให้ผู้อ่านรู้สึกเศร้าและสงสารตัวละคร ทั้งนี้ยังมีเรื่องราวความรักที่เคยหวานจนมดขึ้นต้องกลับกลายมาเป็นความรักที่ขมเกินที่จะอยากลองชิม ที่เธอและสามีต่างก็เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม จึงทำให้ความรักทั้งสองคนแทบพังทลาย จนทำให้หมิ่นมินต้องจมปลักอยู่แต่ในบ้าน คิดฟุ้งซ่าน ไม่เป็นอันทำการงานอะไร ยิ่งเมื่อเธอคิดถึงเรื่องที่พบเจออย่างคิมยองฮีและแม่ของไหลไหลก็ยิ่งทำให้เธอจิตตกมากขึ้น ในส่วนนี้ก็เร้าอารมณ์ผู้อ่านให้รู้สึกเศร้าอย่างมาก และทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงที่ต้องทนทุกข์ต้อทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีปากไม่มีเสียงที่ทำต่อต้านได้ ซึ่งความรู้สึกของตัวละครก็เป็นสิ่งที่สอดคล้องเข้ากับชื่อของเรื่องได้อย่างลงตัวก็คือ “ความรักใดจะไม่ปวดร้าว” เป็นชื่อที่บ่งบอกถึงความรู้สึกของตัวละครได้อย่างชัดเจน

          ตัวละครสำคัญ  คือ ตัวละครเอกฝ่ายหญิง ได้แก่ หมิ่นมิน ตัวละครฝ่ายชาย ได้แก่ อยู่ตง

          หมิ่นมิน ผู้เขียนได้สร้างให้หมิ่นมินเป็นตัวละครที่มีความมั่นใจในตนเอง เป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างได้สัดส่วน หุ่นดีและยังหน้าตาดี มีบุคลิกของหญิงแกร่ง หมิ่นมินเป็นลูกสาวคนที่สามของครอบครัว ซึ่งก็ไม่ได้รับความใส่ใจจากครอบครัวมากพอ บาดแผลในวัยเด็กจึงทำให้เธอนั้นไม่มีความผูกพันกับครอบครัว มีพ่อแม่ก็เหมือนไม่มี เมื่อเรียนจบเธอจึงเลือกที่จะอยู่ปักกิ่งกับคนรักของเธอ เมื่อเธอตั้งใจว่าจะแต่งงาน ซึ่งแม้ว่าครอบครัวจะไม่ยินยอมแต่เธอก็ดื้อรั้นที่จะแต่งงานให้ได้เพราะมีความเชื่อมั่นในตนเองและเชื่อมั่นในความรักโดยไม่ฟังพ่อแม่ หมิ่นมินมีเพื่อนรักชื่อเฉินจื่อซิน ซึ่งเป็นคนที่ช่วยเหลือเธอทุกอย่างอยู่เคียงข้างเสมอ และยังหางานให้หมิ่นมินได้ทำอีกด้วยเมื่อครั้งหลังคลอดลูก ด้วยความมั่นใจในตนเองและทะเยอทะยานของเธอจึงทำให้เธอมีหน้าที่การงานที่ดีและมั่นคง

          ในช่วงเวลาที่เธอทำงาน หมิ่นมินถือว่าเป็นพนักงานที่มีความอดทนมาก เห็นได้จากตอนที่เป็นเลขาของเถ้าแก่เกาหลีซึ่งเปรียบเสมือนเป็นคนใช้ด้วย แต่เธอก็ยังทำหน้าที่ไม่ได้ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เธอทำงานที่นั้นถึงสองปี จึงตัดสินใจลาออกมาทำงานกับบริษัทที่ใหญ่กว่า จะเห็นได้ว่าหมิ่นมินเป็นพนักงานที่ตรงต่อเวลา ไม่เคยทำงานผิดพลาด ทำงานดีมาโดยตลอด เมื่อเธอทำงานดีก็ส่งผลให้เธอนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า แต่เมื่อเธอเป็นหัวหน้าได้ไม่นานเธอก็ท้อง และเมื่อเธอแพ้ท้องหนักมาก จึงทำให้เธอต้องลาออกจากงาน

          สำหรับความสัมพันธ์ของหมิ่นมินกับอยู่ตงนั้น หมิ่นมินได้รู้จักกับอยู่ตงตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยโดยมีเพื่อนแนะนำ และอยู่ก็ได้เล่าเรื่องราวกระต่ายที่ตนรักมากให้หมิ่นมินฟัง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ทั้งสองคนเป็นไปมากกว่าคำว่าเพื่อน จะเห็นได้ว่าทั้งสองได้มีความรักที่มั่งคงต่อกัน เมื่อถึงวันครบรอบอยู่ตงไม่เคยลืมเลย จะมีของขวัญให้กับหมิ่นมินอยู่เสมอ จึงทำให้หมิ่นมินเทิดทูนความรักของเธอกับอยู่ตงมาก เมื่อถึงวันที่เธอตั้งท้อง อยู่ตงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป อยู่ตงสนใจแต่ลูกไม่สนใจหมิ่นมิน และยิ่งเมื่อคลอดลูกอยู่ตงยิ่งไม่สนใจหมิ่นมินเลย และเมื่อเวลาล่วงผ่านเลยไป อยู่ตงสนใจแต่ทำงานไม่สนใจภรรยาและลูก จึงทำให้ความรู้สึกที่เคยมีของหมิ่นมินเริ่มเป็นความโกรธ และโมโหร้ายอย่างที่ไม่เคยจะเป็นมาก่อน เพราะเธอน้อยใจเสียใจ ที่อยู่ตงไม่สนใจเธอเลย

          หมิ่นมิน เป็นตัวละครที่มีหลายลักษณะ คือเป็นตัวละครที่มีหลายอารมณ์ความรู้สึก มีความรัก ความอ่อนโยน ความเมตตา มีอารมณ์โกรธ น้อยใจเหมือนกับตัวละครทั่วๆ ไปหรือเหมือนกับชีวิตจริงของใครหลายๆ คน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าหมิ่นมินเป็นคนอารมณ์ร้ายกาจ เพราะหมิ่นมินไม่ได้เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก แต่หมิ่นมินเพิ่งจะเริ่มเป็นเมื่ออยู่ตงเปลี่ยนแปลงไป ไม่สนใจเธอ มองเธอเหมือนสัตว์ประหลาด ก็ยิ่งตอกย้ำให้เธอน้อยใจตนเองมากขึ้น และยิ่งอยู่ตงไม่สนใจก็ยิ่งทำให้หมิ่นมินโมโหร้าย และเหมือนเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหมิ่นมินเองก็เป็นผู้หญิงที่อ่อนไหว ไม่เคยมีปากมีเสียงกับอยู่ตงเลย ยอมรับในการตัดสินใจของอยู่ตง และมีเหตุผลให้อยู่ตงเสมอ ฉะนั้นจะบอกว่าหมิ่นมินร้ายกาจไม่ได้เพราะสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีอารมณ์แปรป่วนก็เพราะสามีของเธอเอง ในเรื่องของการใช้ชีวิต  หมิ่นมินค่อนข้างที่จะไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งใดเลย คือยึดถือความมั่นคงอย่างเดียว หมิ่นมินไม่กล้าที่จะเสี่ยงหรือไม่กล้าพอที่จะทำแบบเฉินจื่อซิน คือการเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนคนรักบ่อยๆ ในส่วนของงานหมิ่นมินเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก และยังพอมีหวังว่าสักวันบริษัทจะเห็นคุณค่าในตัวเธอ และหมิ่นมินเองก็เป็นคนที่รักสวยรักงาม ชอบในการแต่งตัวเพื่อให้อยู่ตงพอใจในตัวเธอ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตัวละครหมิ่นมินก็เหมือนๆ กับผู้หญิงทั่วๆ ไปทุกคนที่ห่วงสวย รักสวยรักงาม ศรัทธาในความรัก และยึดมั่นในความมั่นคงในชีวิต  

                ส่วนอยู่ตง เป็นตัวละครฝ่ายชายที่มีบทบาทสำคัญอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่า อยู่ตงอยู่เป็นลูกคนที่สามของครอบครัว ก็ไม่ได้รับความใส่ใจจากครอบครัวมากนัก อยู่ตงจึงเสมือนเป็นเด็กผู้ชายที่อยู่ตัวคนเดียว เพราะไม่ได้รับการใส่ใจจากครอบครัว จึงทำให้เขากลายเป็นคนที่ดื้อรั้นที่จะทำตามใจของตนเองมากกว่า ยึดมั่นในตนเอง เช่น ตอนที่จะแต่งงานกับหมิ่นมิน เขาก็ไม่ได้ฟังความคิดเห็นของครอบครัวเพียงแต่แจ้งให้ทราบเท่านั้น ครอบครัวจะคัดค้านก็ไม่สนใจ เพราะเขาเชื่อมั่นใจตนเองสูง 

          ในขณะที่อยู่ตงเชื่อมั่นในตนเอง จึงทำให้อยู่ตงเป็นคนที่ไม่มีความอดทนในหน้าที่การงาน หรือไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของหัวหน้า ในบางครั้งหัวหน้าสั่งอีกอย่าง แต่เขาก็ลงมือปฏิบัติอีกอย่าง เพราะเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง จึงทำให้อยู่ตงต้องเปลี่ยนงานอยู่บ่อย แต่ถึงอย่างไร อยู่ตงก็ยังมีหมิ่นมินอยู่เคียงข้างอยู่เสมอ เพราะหมิ่นมินมักจะเอาเงินมาใส่ไว้ในกระเป๋าของอยู่ตง เพราะไม่กล้าที่จะให้ต่อหน้า ซึ่งทุกวันสำคัญอยู่ตงก็ไม่เคยลืมเลย มักจะมีของขวัญให้กับหมิ่นมินอยู่เสมอ

          ความรู้สึกของอยู่ตงที่มีต่อหมิ่นมินเป็นเหมือนความรักที่บริสุทธิ์ ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อคนที่รัก และยังนำเรื่องราวเกี่ยวกับกระต่ายที่ตนรักมากมาเล่าให้หมิ่นมินฟัง ซึ่งไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เหมือนกับให้ความสำคัญกับหมิ่นมินแต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เรื่องราวอาทังที่เคยเล่านั้นเป็นเพียงเรื่องโกหกที่จะได้ใกล้ชิดกับหมิ่นมิน ถึงแม้ว่าอยู่ตงจะจำวันสำคัญได้เสมอ ชอบเข้าไปเล่นกับเด็ก แต่ก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น เพราะหลังจากที่มีลูกอยู่ตงก็เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม ไม่สนใจลูกอย่างที่เคยแสดงว่ารักเด็กนักรักเด็กหนา เมื่อมีลูกจริงๆ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจเขามากพอ เช่นเดียวกับหมิ่นมินหลังจากที่เธอมีรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตงก็เริ่มไม่ใส่ใจเธอและไม่สนใจเธอในที่สุด จึงทำให้ความรักที่เคยหวานกลับขมได้อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งก็บ่งบอกว่าอยู่ตงนั้นอาจจะชอบเด็กแต่ก็ไม่ได้อยากที่จะเลี้ยงเด็ก แต่กับหมิ่นมินอยู่ตงนั้นรักที่สัดส่วนรูปร่างของหมิ่นมินมากกว่าจิตใจของเธอ

          อยู่ตงเป็นตัวละครที่มีหลายลักษณะ คือ มีหลายอารมณ์ความรู้สึกซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ จะเห็นได้ว่าอยู่ตงเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองสูง เห็นได้จากตอนทำงานที่ไม่ฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่นยึดแต่ความคิดของตนเอง และยังเห็นได้ชัดว่าอยู่ตงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก เห็นได้จากตอนที่มีปัญหาเรื่องลูก อยู่ตงกลับโยนความรับผิดชอบให้กับหมิ่นมิน แล้วบอกว่าตนไม่ได้บอกให้เก็บไว้หมิ่นมินต่างหากที่เลือกจะเก็บลูกไว้เอง ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่รับผิดชอบและเห็นแก่ตัวของอยู่ตง ซึ่งถ้าจะบอกว่าอยู่ตงเป็นคนที่ไม่ดีก็ไม่ใช่โดยทั้งหมด เพราะเขาก็ตั้งใจทำหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ในส่วนนี้อยู่ตงก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่องเพียงแต่เขานั้นละเลยและไม่ใส่ใจในครอบครัวด้านความรู้สึก อาจจะเป็นเพราะสังคมที่มีแต่ความดิ้นร้น แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น จนทำให้ผู้คนเห็นแก่ตัว และผู้ชายในเมืองนั้นมุ่งหน้าที่จะทำงานอย่างเดียวจนลืมครอบครัว และส่งผลให้ผู้หญิงกลายเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดในที่สุด

          บทสนทนาในเรื่องผู้เขียนใช้เพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ซึ่งทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามกับความรู้สึกของตัวละครที่สื่อออกมาผ่านบทสนทนานั้นเอง สำหรับเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าวค่อนข้างมีบทสนทนาน้อย เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการบรรยายผ่านตัวละครมากกว่า ทั้งนี้บทสนทนาในเรื่องก็เป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร

          บทสนทนาของหมิ่นมินกับอยู่ตง ที่อยู่ตงนั้นปล่อยให้หมิ่นมินตัดสินใจว่าจะเก็บลูกไว้หรือไม่ “ฉันเคารพการตัดสินใจของเธอ (หน้า ๓๑-๓๒) จะเห็นได้ว่าอยู่ตงนั้นให้อิสระกับหมิ่นมินในการตัดสินใจ แต่เมื่อหมิ่นมินได้ท้องเป็นครั้งที่สาม อยู่ตรงก็ยังพูดกับหมิ่นมินว่า “เธอคิดเอาเองแล้วกัน  เธอตัดสินใจอย่างไรฉันก็เคารพความคิดของเธอ”(หน้า ๕๕) ซึ่งฟังแล้วดูดี แต่ในความจริงคือ บอกปัดความรับผิดชอบ  แต่ถ้าหากหมิ่นมินเอาเด็กออกอยู่ตงก็ทำเหมือนกับเศร้า แต่สำหรับครั้งที่สามที่หมิ่นมินเลือกที่จะเก็บลูกไว้ อยู่ตงก็ไม่พูดอะไร หากแต่แสดงออกกับหมิ่นมินเหมือนดีใจมากที่เก็บลูกไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหมิ่นมินคลอดลูก อยู่ตงก็เริ่มไม่สนใจ พอเริ่มบ่นเรื่องลูก อยู่ตงกลับพูดว่า “เธอเป็นคนตัดสินใจมีลูก  ฉันไม่เคยกดดันอะไรเลย  เธอตัดสินใจเองแล้วจะมาบ่นทำไม” (หน้า ๕๕) ทั้งนี้ยังมีบทสนทนาที่อยู่ตงได้พูดออกมา ซึ่งเป็นคำพูดที่สร้างความปวดร้าวให้กับหมิ่นมินมากที่สุด “ขอโทษนะ เราไม่น่ามีลูกเลย” (หน้า ๖๔) จากบทสนทนาระหว่างหมิ่นมินกับอยู่ตง เป็นคำพูดที่ชี้ให้เห็นถึงการเป็นคนที่มีความเห็นแก่ตัวของอยู่ตง เป็นคนที่ปัดความรับผิดชอบ แรกๆ อาจจะคิดว่าดี แต่สุดท้ายกกลับไม่ใช่ กลับเป็นคำพูดที่เรียกว่า ปัดความรับผิดชอบมากกว่า

          ทั้งนี้ยังมีบทสนทนาที่ชี้ให้เห็นว่าอยู่ตงนั้นเห็นงานสำคัญกว่าภรรยาและลูกเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากตอนที่อยู่ซีป่วย แต่อยู่ตงก็เร่งรัดแต่หมิ่นมินฝ่ายเดียว บอกแต่ว่าอยู่นานไม่ได้ มีงานต้องรับผิดชอบ และอยู่ตงยังตั้งคำถามกับอยู่มินว่า “เธอยังจำได้อยู่รึเปล่าว่าเธอเป็นแม่ของอยู่ซี อยู่ซีไข้ขึ้นจนเพ้อ” (หน้า ๘๖) จากบทสนทนาจะเห็นได้ว่าอยู่ตงนั้นผลักภาระให้หมิ่นมินทั้งหมด โดยที่อยู่ตงนั้นอ้างแต่งาน ซึ่งจากบทสนทนาข้างต้นก็ทำให้ผู้อ่านก็อยากตั้งคำถามย้อนกลับอยู่ตงเช่นกัน ว่าเขาลืมไปแล้วหรือว่าเขาก็เป็นพ่อของอยู่ซีเช่นกัน ทั้งนี้ยังมีบทสนทนาที่ชี้ให้เห็นว่าอยู่ตงนั้นสนใจแต่งานมากกว่าเมื่อหมิ่นมินขอคำปรึกษาว่าจะหาทางออกอย่างไร “ฉันไม่มีทางอะไร แล้วแต่เธอ ทิ้งอยู่เอาไว้ที่โรงพยาบาลก็ดี  พรุ่งนี้ยังไงฉันก็ลาพักไม่ได้  ถ้าฉันไม่มีงานทำเธอจะเลี้ยงครอบครัวได้ไหม ฉันว่าแล้วว่าเธอไม่ควรจะไปทำงานเลย แต่เธออยากจะไปเอง”  จากบทสนทนาก็เป็นบทสนทนาที่บ่งบอกว่าอยู่ตงยึดตนเองเป็นหลัก และบ่งบอกว่าผู้หญิงต้องอยู่บ้านเลี้ยงดูลูก ไม่ควรออกมาทำงานนอกบ้าน ถึงออกมาทำงานนอกบ้านก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ซึ่งอยู่ตงก็ควรจะคิดถึงช่วงเวลาที่หมิ่นมินเคยทำงานคนเดียวทั้งยังส่งให้อยู่ตงจบปริญญาได้ ทำไมอยู่ตงถึงไม่คิดถึงตรงนี้บ้าง เอาแต่ความคิดของตนเองเป็นใหญ่โดยที่ไม่ใส่ใจความรู้สึกของภรรยา เมื่อยากให้เขาอยู่บ้านก็ควรจะดูแลเขาดีๆ ใส่ใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ไม่สนใจทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนใช้ที่คอยปรนนิบัติตลอดเวลา เพราะคิดแต่ว่าอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร

          บทสนทนาของหมิ่นมินกับเฉินจื่อซิน เป็นบทสนทนาที่เฉินจื่อซินเป็นห่วงหมิ่นมินมาก เพราะหมิ่นมินนั้นได้โทรหาเฉินจื่อซิน แต่น้ำเสียงของเธอไม่ปกติ “หมิ่นมินเป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น” (หน้า ๗๖) เมื่อเธอรู้เหตุผลเธอก็รีบมาหาหมิ่นมิน เมื่อได้คุยกันเฉินจื่อซินก็เลือกที่จะหาทางออกให้โดยบอกว่า “หมิ่นมิน เธออยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้วละ เธอจะต้องไปทำงาน เธอต้องดูแลตัวเอง น่าจะจ้างพี่เลี้ยงมาอยู่ดูแลอยู่ซี” ซึ่งหลังจากนั้นเฉินจื่อซินก็คอยถามข่าวหมิ่นมินเสมอ และยังหางานให้ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของเพื่อนที่ไม่เคยทิ้งกัน

          ส่วนฉากต่างๆ ในเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าว เป็นฉากที่กระจายโดยทั่วไป แต่ฉากที่พูดถึงบ่อยที่สุดก็คือฉากที่บ้านของหมิ่นมินกับอยู่ตง เนื่องจากฉากที่บ้านเป็นฉากที่มีกลิ่นอายของความรักที่เคยหอมหวานของทั้งสองคน แต่วันหนึ่งบ้านก็กลับกลายเหมือนป่าช้าที่มีความเงียบสงบ มีเพียงแต่เสียงเด็กร้องไห้ที่แว่วผ่านโสตประสาทไปโดยแทบไม่ใจ ซึ่งฉากนี้ก็มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้จากช่วงที่อยู่ตงเปลี่ยนแปลงไป และหมิ่นมินก็พยายามที่จะปรับความเข้าใจกัน หากแต่อยู่ตงไม่ทำเป็นเฉยชา ไม่สนใจ ซึ่งในแต่ละวันก็แทบไม่ได้คุยกัน จึงทำให้หมิ่นมินรู้สึกอึดอัดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งนี้อาจจะเพราะว่าเธอนั้นไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา อยู่แต่ในบ้าน เมื่อสามีกลับมาก็ไม่สนใจเธอเหมือนอย่างแต่ก่อนก็ทำให้บ้านที่มีความสุขก็กลับกลายเป็นมีแต่ความทุกข์ ทั้งนี้บรรยากาศในบ้านก็เป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ ไร้ซึ่งความสุข มีแต่ความอึดอัด และเป็นบรรยากาศส่งผลให้คนในบ้านอาจจะเป็นบ้าหรือมีอารมณ์ร้ายได้ตลอดเวลา

          จะเห็นได้ว่าเมื่อมีฉากเกี่ยวกับเนื้อหาก็ต้องมีบรรยากาศเพื่อสร้างสถานการณ์นั้นให้สมจริง ทั้งนี้ยังมีอีกฉากที่สำคัญก็คือสวนสาธารณะในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่หมิ่นมินพาอยู่ซีไปบ่อยๆ เมื่อผ่อนคลาย แต่ก็ไม่ได้ต้องการที่จะพูดคุยกับใคร แต่ขอเพียงได้อยู่มุมใดมุมหนึ่งที่เงียบสงบและทำให้อารมณ์ที่มีความวุ่นวายในหัวสมองได้หยุดพักบ้าง ซึ่งฉากในสวนสาธารณะก็เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย มีดอกไม้ปลิวไสวที่ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกสบายตา ซึ่งก็ช่วยให้ผ่อนคลายด้านอารมณ์ได้อย่างมาก หากไม่เกิดโศกนาฏกรรมเรื่องแม่ของไหลไหล ซึ่งฉากนี้ก็เป็นฉากที่สื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพอย่างชัดเจน และเป็นฉากที่ทำให้หมิ่นมินติดตา จนไม่สามารถที่จะลืมเรื่องราวได้ บรรยากาศในฉากนี้ยิ่งทำให้ทั้งตัวละครและผู้อ่านรู้สึกหดหู่ เศร้าไปพร้อมๆ กัน

          นวนิยายเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าวได้พูดถึงเรื่องราวของความรักอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักหลากหลายรูปแบบทั้งความรักแบบครอบครัว หนุ่มสาว ซึ่งความรักเหล่านี้ทุกคนคงคิดว่าจะเป็นความรักที่ดีที่สุด ไม่มีความปวดร้าว แต่แท้จริงของชีวิตคือไม่ใช่ ทั้งนี้ผู้เขียนก็ได้เขียนด้วยความรู้สึกตัดพ้อ ท้อแท้ และเหนื่อยใจกับชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตที่คิดว่าจะมีความสุขที่สุดกับความรัก แต่สุดท้ายก็เป็นความรักที่แสนจะปวดร้าว ซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่องก็คือ “ความรักใดจะไม่ปวดร้าว” ได้อย่างชัดเจน

          สำหรับเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าว จะเห็นการบรรยายความรู้สึกของตัวละครหลักอย่างหมิ่นมินชัดเจน และในส่วนของการบรรยายก็สอดแทรกการอุปมาโวหารไปด้วย คือการเปรียบเทียบตัวละครให้เห็นอย่างชัดเจน หรือการเปรียบเทียบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของตัวละคร เช่น การเปรียบเทียบความรักของหมิ่นมินและอยู่ตงที่เหมือนกับการแสดงละคร แต่ทั้งสองนั้นเลือกนั้นเลือกที่จะแสดงต่อแม้ว่าพ่อแม่จะพยายามฉุดลากทั้งสองคนลงจากเวทีก็ตาม (บทที่ ๓) การเปรียบชีวิตของหมิ่นมินและอยู่ตงหลังแต่งงานที่อยู่อย่างลำบากเหมือนปลาในน้ำแห้ง (บทที่ ๕) การเปรียบชีวิตหลังคลอดของหมิ่นมิน    “กลางวันสีขาวเหมือนแม่น้ำที่มีคลื่นแรง  กลางคืนสีดำสงบเหมือนกับฝั่งแม่น้ำที่นิ่งเงียบ” (หน้า ๔๕) (บทที่ ๑๐) เปรียบชีวิตที่ไม่ได้ดูแลตนเองของหมิ่นมิน “ชีวิตฉันเปลี่ยนเป็นผักดองจอมอยู่ในโอ่งน้ำเกลือ” (หน้า ๔๘) (บทที่ ๑๑) การเปรียบชีวิตของคน “ชีวิตคนไม่ใช่หนังสือที่จะได้พลิกกลับไปดูหน้าที่มีสีสันซ้ำไปซ้ำมาได้” (หน้า ๗๕) (บทที่ ๑๖) เป็นต้น

          เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของเรื่องราวทั้งหมดทุกองค์ประกอบจะเห็นได้ว่าทุกองค์ประกอบมีความสอดคล้องกันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โครงเรื่อง แก่นเรื่อง ตัวละคร บทสนทนา และฉากบรรยากาศ ผู้เขียนได้บรรจงวางให้องค์ประกอบสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน ทั้งในเรื่องของการใช้ภาษา ภาษาที่ใช้ในการดำเนินเรื่องก็เป็นภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย เข้าใจได้โดยไม่ต้องแปล และยังทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพอย่างชัดเจน ในส่วนของการบรรยายก็สามารถทำให้ผู้อ่านคล้อยตามเรื่องราวและตัวละครได้ชัดเจน ทั้งยังมีการเปรียบเทียบให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น ส่วนเรื่องบทสนทนาก็เป็นบทสนทนาที่มีมีความรู้สึกโกรธ เศร้า หรือเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ และเหมาะสำหรับตัวละครในเรื่อง ทั้งยังให้ผู้อ่านได้เข้าใจได้ง่าย จึงกล่าวได้ว่าเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าวเป็นเรื่องราวที่เข้าถึงผู้อ่านได้อย่างชัดเจน สะท้อนให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความไปเป็นของชีวิต ว่าชีวิตก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ทั้งยังทำให้ผู้อ่านได้คล้อยตามทั้งสนุกและเข้าใจความรู้สึกตัวละครได้ และทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวของ “ความรัก” อย่างชัดเจน

วิเคราะห์วรรณกรรม

เรื่อง ความรักใดจะไม่ปวดร้าว

โครงเรื่อง >> แก่นเรื่อง >> ตัวละคร >> บทสนทนา >> ฉาก >> บรรยากาศ

          ความรักใดจะไม่ปวดร้าว เป็นพระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จากนวนิยายของชวนหนี  หรือมีนามจริงว่า “หลิวชุนเฟิ่ง” ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ สำนักพิมพ์นานมีบุ๊คส์

          ความรักใดจะไม่ปวดร้าวเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว โดยหมิ่นมินเป็นหญิงสาวที่มีความเชื่อมั่นในความรักของตนกับอยู่ตง โดยทั้งคู่ได้ตัดสินใจแต่งงานกัน แม้ว่าพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจะไม่ยินยอม ซึ่งหมิ่นมินเป็นคนที่ไม่ชอบเด็ก เมื่อหมิ่นมินท้องจึงตัดสินใจไปทำแท้งถึงสองครั้ง เพราะคิดว่าไม่พร้อมจะเป็นแม่ เมื่อท้องอีกครั้งจึงตัดสินใจเอาลูกไว้ เนื่องจากเห็นว่าสามีของเธอเหมือนจะรักเด็กมาก เมื่อคลอดลูกแล้ว สามีของเธอก็เปลี่ยนไป ไม่เคยสนใจเธอเหมือนแต่ก่อน อีกทั้งหมิ่นมินก็มีรูปร่างที่เปลี่ยนไป ทั้งหมิ่นมินและอยู่ตงทะเลาะกันแทบทุกเวลา ความรักที่เคยหวานแว๋วก็กลับกลายเป็นจืดชืดจนกระทั่งแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธและเกลียดกัน เมื่ออยู่ซีซึ่งเป็นลูกชายอายุได้สองปี หมิ่นมินจึงตัดสินใจออกไปทำงานนอกบ้านแต่ก็ทำได้เพียงสองเดือนก็ลาออกมาอยู่บ้านเลี้ยงลูก เธอตัดสินใจจะหนี แต่เมื่อที่พึ่งสุดท้ายของเธอคือเพื่อนที่ป่วยหนักมาก ดูแลตัวเองไม่ได้ เธอจึงกลับมาบ้านอยู่กับลูกและสามีเหมือนเดิม

          สำหรับนวนิยายแปลเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าว มีโครงเรื่องที่น่าสนใจคือ เปิดเรื่องโดยที่หมิ่นมินได้เล่าถึงเรื่องราวชีวิตของเธอ ที่ว่าชื่อของเธอเองก็ไม่มีใครจำชื่อของเธอได้แล้ว แต่ตัวของเธอนั้นก็คอยย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าต้องจำชื่อของตนเองให้ได้ เพราะสามีของเธอก็เรียกเฉพาะเวลาที่โกรธกันเท่านั้น ซึ่งในส่วนของการเปิดเรื่อง ผู้เขียนน่าจะต้องการให้เห็นถึงเรื่องราวชีวิตความหดหู่เกี่ยวกับความรักในชีวิตของหมิ่นมิน ที่เมื่อเธอมีลูกแล้ว ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไป รูปร่างก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทั้งนี้ความรู้สึกระหว่างเธอกับอยู่ตงซึ่งเป็นสามีก็เปลี่ยนไป อยู่ตงคนที่เคยอ่อนโยนเรียกชื่อของเธอด้วยความรักและทะนุถนอม กลับกลายเป็นการเรียกชื่อเสมือนโกรธแค้นมานานหลายปี เหมือนไม่เคยมีความรักให้แก่เธอเลย ซึ่งก็ทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ “ความรัก” ของหมิ่นมิน ซึ่งเป็นส่วนที่จะนำให้ผู้อ่านได้เริ่มต้นรับรู้เรื่องราวชีวิตของเธอ ผ่านการเล่าเรื่องด้วยตัวของเธอเอง ในส่วนของการปิดเรื่องก็เป็นส่วนที่สอดคล้องกับการเปิดเรื่องอย่างลงตัว เนื่องจากพูดถึงเรื่องราวที่เป็นปริศนาให้ผู้อ่านได้สงสัยตั้งแต่เปิดเรื่อง แล้วในตอนปิดเรื่องก็คลี่คลายเรื่องราวให้ผู้อ่านได้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง

          ความรักใดจะไม่ปวดร้าวยังสอดแทรกให้เห็นถึงการใช้ชีวิตในสังคม ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผู้คนในสังคมต่างต้องพยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดไปให้ได้ในแต่ละวัน จึงส่งผลให้ผู้คนในสังคมเกิดความเห็นแก่ตัว แบบใครดีใครได้ เช่น อยู่ตงที่มุ่งแต่ทำงานโดยไม่สนใจครอบครัว ทั้งนี้ยังมีเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวที่สะท้อนให้ผู้อ่านได้เห็นว่าครอบครัวของคนจีนนั้นอยู่แบบส่วนตัวต่างคนต่างอยู่แทบจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันกันเลย แม้กระทั่งคนในครอบครัว โดยเห็นได้จากครอบครัวของหมิ่นมินและอยู่ตง ซึ่งเมื่อทั้งสองได้แต่งงานกันแล้วก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวอีกเลย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อลูกๆ แต่งงานก็จะออกมาสร้างครอบครัว และไม่มีความผูกพันกันมากนัก ซึ่งก็ชี้ให้เห็นว่าครอบครัวในสังคมจีนค่อนข้างแตกต่างจากสังคมไทยเพราะสังคมไทยนั้น บางคนแต่งงานแล้วก็ยังเลือกที่จะอยู่ดูแลพ่อแม่ หรือถึงแม้ต้องแยกบ้านไปไม่เคยทิ้งพ่อแม่ไปไหน ซึ่งในส่วนนี้ก็ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างความคิด ความเชื่อ วัฒนธรรมและประเพณีของสังคมด้วยเช่นกัน

          ทั้งนี้ความคิดความเชื่อเกี่ยวกับศีลธรรมคือ การทำแท้ง จะเห็นได้ว่าผู้เขียนได้เล่าเรื่องราวของการทำแท้งอย่างชัดเจน โดยเห็นได้จากตัวละครของหมิ่นมินที่เธอนั้นได้ทำแท้งถึงสองครั้ง ในส่วนของการทำแท้งประเทศจีนถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย ถ้าหากว่าไม่พร้อมก็สามารถเอาลูกออกได้โดยไม่ผิดกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น  ซึ่งจากการเล่าเรื่องของหมิ่นมินก็ทำให้ผู้อ่านได้รู้สึกว่าในส่วนของเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไรกับชีวิตสองชีวิตที่เธอทำลายลงไป ส่วนใหญ่จะพูดแต่เพียงเรื่องความเจ็บปวดของร่างกายเสียมากกว่าเรื่องราวทางจิตใจ จะมีก็แค่เพียงพูดถึงว่าฝันเห็นเด็กคนหนึ่งอยู่บ่อยๆ แต่สักพักก็หายไปเอง ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลย  จากเรื่องราวในส่วนนี้ผู้เขียนก็แสดงผู้อ่านได้เห็นถึงความเป็นไปของชีวิตสังคมหรือกระทั่งจิตใจของตัวละครในเรื่องว่า เขาก็ไม่รู้สึกผิดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งก็แตกต่างจากสังคมไทยที่ค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องผิดศีลธรรมที่ขึ้นเกิดขึ้นอย่างมาก ด้วยความเป็นอยู่และศาสนาที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับคนไทยและการทำแท้งก็เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายในสังคมไทย

          สำหรับเรื่องความขัดแย้งในเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าวก็จะมีความขัดแย้งหลักก็คือ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างหมิ่นมินกับอยู่ตง จะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งที่มีให้เห็นตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลูก หรือความรักระหว่างคนสองคนที่มีความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  ในส่วนเรื่องของลูกก็จะเห็นได้ว่าหมิ่นมินให้ความสำคัญกับลูกและสามีทุกอย่าง ยอมเหน็ดเหนื่อยยอมอดทนเพื่อลูกเพื่อครอบครัว แต่อยู่ตงนั้นเลือกจะไม่ให้ความสำคัญในส่วนนี้ แต่ให้ความสำคัญเกี่ยวกับงานของตน คิดแต่เพียงว่าใช้เงินเป็นเครื่องดูแลภรรยาและลูก แต่ไม่เคยนึกถึงจิตใจเลย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ขัดแย้งหลักของตัวละครในเรื่องอย่างชัดเจน ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ยังมีในคู่ของเถ้าแก่เกาหลีกับคิมยองฮี ที่เป็นความขัดแย้งในรูปแบบเดียวกันกับคู่ของอยู่ตงและหมิ่นมิน อีกทั้งยังมีเรื่องความขัดแย้งภายในจิตใจของหมิ่นมิน เห็นได้จากตอนที่เธอเลือกที่จะเก็บลูกไว้ ซึ่งเธอเองนั้นไม่อยากเก็บลูกไว้เลย แต่เพราะเห็นว่าสามีของเธอนั้นรักเด็กมาก เธอจึงต้องเลือกความรู้สึกส่วนตัวที่ไม่อยากเก็บลูกไว้เพราะไม่ชอบเด็ก หรือต้องเก็บลูกไว้เพราะนึกถึงความรู้สึกของสามีที่อยากมีลูก แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะเก็บลูกไว้เพราะเธอรักสามีของเธอมาก จึงเป็นจุดที่นำไปสู่เรื่องราวความรักที่ขมขื่นของเธอนั่นเอง

                นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เน้นตัวละครเป็นหลัก โดยเน้นที่ความรู้สึกของตัวละคร โดยพิจารณาจากการเล่าเรื่องของตัวละคร ซึ่งก็มีหมิ่นมิน เป็นเรื่องราวที่ผู้เขียนชี้ให้ผู้อ่านได้เข้าถึงความรู้สึกของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง โดยตัวละครหลักอย่างหมิ่นมินจะเล่าเรื่องความรักที่สมหวัง เป็นความรักที่บริสุทธิ์ ที่เธอเองทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้ความรักของเธอออกมาดีที่สุด ซึ่งในส่วนนี้ส่วนนี้ก็ทำให้ผู้อ่านรู้สึกอิ่มเอมกับเรื่องราวที่เธอเล่า แต่เมื่อเธอพูดถึงเรื่อราวความรักเกี่ยวกับครอบครัวของเธอก็ชี้ให้เห็นความรักที่ปวดร้าวว่าเธอนั้นไม่ได้รับความใส่ใจจากครอบครัวมากนัก เธอจึงไม่ผูกพันกับครอบครัว และเลือกที่จะหาความรักที่เธอต้องการ ในส่วนนี้ก็ทำให้ผู้อ่านรู้สึกเศร้าและสงสารตัวละคร ทั้งนี้ยังมีเรื่องราวความรักที่เคยหวานจนมดขึ้นต้องกลับกลายมาเป็นความรักที่ขมเกินที่จะอยากลองชิม ที่เธอและสามีต่างก็เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม จึงทำให้ความรักทั้งสองคนแทบพังทลาย จนทำให้หมิ่นมินต้องจมปลักอยู่แต่ในบ้าน คิดฟุ้งซ่าน ไม่เป็นอันทำการงานอะไร ยิ่งเมื่อเธอคิดถึงเรื่องที่พบเจออย่างคิมยองฮีและแม่ของไหลไหลก็ยิ่งทำให้เธอจิตตกมากขึ้น ในส่วนนี้ก็เร้าอารมณ์ผู้อ่านให้รู้สึกเศร้าอย่างมาก และทำให้ผู้อ่านได้เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงที่ต้องทนทุกข์ต้อทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่มีปากไม่มีเสียงที่ทำต่อต้านได้ ซึ่งความรู้สึกของตัวละครก็เป็นสิ่งที่สอดคล้องเข้ากับชื่อของเรื่องได้อย่างลงตัวก็คือ “ความรักใดจะไม่ปวดร้าว” เป็นชื่อที่บ่งบอกถึงความรู้สึกของตัวละครได้อย่างชัดเจน

          ตัวละครสำคัญ  คือ ตัวละครเอกฝ่ายหญิง ได้แก่ หมิ่นมิน ตัวละครฝ่ายชาย ได้แก่ อยู่ตง

          หมิ่นมิน ผู้เขียนได้สร้างให้หมิ่นมินเป็นตัวละครที่มีความมั่นใจในตนเอง เป็นผู้หญิงที่มีรูปร่างได้สัดส่วน หุ่นดีและยังหน้าตาดี มีบุคลิกของหญิงแกร่ง หมิ่นมินเป็นลูกสาวคนที่สามของครอบครัว ซึ่งก็ไม่ได้รับความใส่ใจจากครอบครัวมากพอ บาดแผลในวัยเด็กจึงทำให้เธอนั้นไม่มีความผูกพันกับครอบครัว มีพ่อแม่ก็เหมือนไม่มี เมื่อเรียนจบเธอจึงเลือกที่จะอยู่ปักกิ่งกับคนรักของเธอ เมื่อเธอตั้งใจว่าจะแต่งงาน ซึ่งแม้ว่าครอบครัวจะไม่ยินยอมแต่เธอก็ดื้อรั้นที่จะแต่งงานให้ได้เพราะมีความเชื่อมั่นในตนเองและเชื่อมั่นในความรักโดยไม่ฟังพ่อแม่ หมิ่นมินมีเพื่อนรักชื่อเฉินจื่อซิน ซึ่งเป็นคนที่ช่วยเหลือเธอทุกอย่างอยู่เคียงข้างเสมอ และยังหางานให้หมิ่นมินได้ทำอีกด้วยเมื่อครั้งหลังคลอดลูก ด้วยความมั่นใจในตนเองและทะเยอทะยานของเธอจึงทำให้เธอมีหน้าที่การงานที่ดีและมั่นคง

          ในช่วงเวลาที่เธอทำงาน หมิ่นมินถือว่าเป็นพนักงานที่มีความอดทนมาก เห็นได้จากตอนที่เป็นเลขาของเถ้าแก่เกาหลีซึ่งเปรียบเสมือนเป็นคนใช้ด้วย แต่เธอก็ยังทำหน้าที่ไม่ได้ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด เธอทำงานที่นั้นถึงสองปี จึงตัดสินใจลาออกมาทำงานกับบริษัทที่ใหญ่กว่า จะเห็นได้ว่าหมิ่นมินเป็นพนักงานที่ตรงต่อเวลา ไม่เคยทำงานผิดพลาด ทำงานดีมาโดยตลอด เมื่อเธอทำงานดีก็ส่งผลให้เธอนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้า แต่เมื่อเธอเป็นหัวหน้าได้ไม่นานเธอก็ท้อง และเมื่อเธอแพ้ท้องหนักมาก จึงทำให้เธอต้องลาออกจากงาน

          สำหรับความสัมพันธ์ของหมิ่นมินกับอยู่ตงนั้น หมิ่นมินได้รู้จักกับอยู่ตงตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยโดยมีเพื่อนแนะนำ และอยู่ก็ได้เล่าเรื่องราวกระต่ายที่ตนรักมากให้หมิ่นมินฟัง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ทั้งสองคนเป็นไปมากกว่าคำว่าเพื่อน จะเห็นได้ว่าทั้งสองได้มีความรักที่มั่งคงต่อกัน เมื่อถึงวันครบรอบอยู่ตงไม่เคยลืมเลย จะมีของขวัญให้กับหมิ่นมินอยู่เสมอ จึงทำให้หมิ่นมินเทิดทูนความรักของเธอกับอยู่ตงมาก เมื่อถึงวันที่เธอตั้งท้อง อยู่ตงก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป อยู่ตงสนใจแต่ลูกไม่สนใจหมิ่นมิน และยิ่งเมื่อคลอดลูกอยู่ตงยิ่งไม่สนใจหมิ่นมินเลย และเมื่อเวลาล่วงผ่านเลยไป อยู่ตงสนใจแต่ทำงานไม่สนใจภรรยาและลูก จึงทำให้ความรู้สึกที่เคยมีของหมิ่นมินเริ่มเป็นความโกรธ และโมโหร้ายอย่างที่ไม่เคยจะเป็นมาก่อน เพราะเธอน้อยใจเสียใจ ที่อยู่ตงไม่สนใจเธอเลย

          หมิ่นมิน เป็นตัวละครที่มีหลายลักษณะ คือเป็นตัวละครที่มีหลายอารมณ์ความรู้สึก มีความรัก ความอ่อนโยน ความเมตตา มีอารมณ์โกรธ น้อยใจเหมือนกับตัวละครทั่วๆ ไปหรือเหมือนกับชีวิตจริงของใครหลายๆ คน จึงไม่สามารถตัดสินได้ว่าหมิ่นมินเป็นคนอารมณ์ร้ายกาจ เพราะหมิ่นมินไม่ได้เป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่แรก แต่หมิ่นมินเพิ่งจะเริ่มเป็นเมื่ออยู่ตงเปลี่ยนแปลงไป ไม่สนใจเธอ มองเธอเหมือนสัตว์ประหลาด ก็ยิ่งตอกย้ำให้เธอน้อยใจตนเองมากขึ้น และยิ่งอยู่ตงไม่สนใจก็ยิ่งทำให้หมิ่นมินโมโหร้าย และเหมือนเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ ซึ่งจะเห็นได้ว่าหมิ่นมินเองก็เป็นผู้หญิงที่อ่อนไหว ไม่เคยมีปากมีเสียงกับอยู่ตงเลย ยอมรับในการตัดสินใจของอยู่ตง และมีเหตุผลให้อยู่ตงเสมอ ฉะนั้นจะบอกว่าหมิ่นมินร้ายกาจไม่ได้เพราะสิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีอารมณ์แปรป่วนก็เพราะสามีของเธอเอง ในเรื่องของการใช้ชีวิต  หมิ่นมินค่อนข้างที่จะไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งใดเลย คือยึดถือความมั่นคงอย่างเดียว หมิ่นมินไม่กล้าที่จะเสี่ยงหรือไม่กล้าพอที่จะทำแบบเฉินจื่อซิน คือการเปลี่ยนงานหรือเปลี่ยนคนรักบ่อยๆ ในส่วนของงานหมิ่นมินเป็นคนที่ตั้งใจทำงานมาก และยังพอมีหวังว่าสักวันบริษัทจะเห็นคุณค่าในตัวเธอ และหมิ่นมินเองก็เป็นคนที่รักสวยรักงาม ชอบในการแต่งตัวเพื่อให้อยู่ตงพอใจในตัวเธอ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าตัวละครหมิ่นมินก็เหมือนๆ กับผู้หญิงทั่วๆ ไปทุกคนที่ห่วงสวย รักสวยรักงาม ศรัทธาในความรัก และยึดมั่นในความมั่นคงในชีวิต  

                ส่วนอยู่ตง เป็นตัวละครฝ่ายชายที่มีบทบาทสำคัญอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งจะเห็นได้ว่า อยู่ตงอยู่เป็นลูกคนที่สามของครอบครัว ก็ไม่ได้รับความใส่ใจจากครอบครัวมากนัก อยู่ตงจึงเสมือนเป็นเด็กผู้ชายที่อยู่ตัวคนเดียว เพราะไม่ได้รับการใส่ใจจากครอบครัว จึงทำให้เขากลายเป็นคนที่ดื้อรั้นที่จะทำตามใจของตนเองมากกว่า ยึดมั่นในตนเอง เช่น ตอนที่จะแต่งงานกับหมิ่นมิน เขาก็ไม่ได้ฟังความคิดเห็นของครอบครัวเพียงแต่แจ้งให้ทราบเท่านั้น ครอบครัวจะคัดค้านก็ไม่สนใจ เพราะเขาเชื่อมั่นใจตนเองสูง 

          ในขณะที่อยู่ตงเชื่อมั่นในตนเอง จึงทำให้อยู่ตงเป็นคนที่ไม่มีความอดทนในหน้าที่การงาน หรือไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของหัวหน้า ในบางครั้งหัวหน้าสั่งอีกอย่าง แต่เขาก็ลงมือปฏิบัติอีกอย่าง เพราะเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง จึงทำให้อยู่ตงต้องเปลี่ยนงานอยู่บ่อย แต่ถึงอย่างไร อยู่ตงก็ยังมีหมิ่นมินอยู่เคียงข้างอยู่เสมอ เพราะหมิ่นมินมักจะเอาเงินมาใส่ไว้ในกระเป๋าของอยู่ตง เพราะไม่กล้าที่จะให้ต่อหน้า ซึ่งทุกวันสำคัญอยู่ตงก็ไม่เคยลืมเลย มักจะมีของขวัญให้กับหมิ่นมินอยู่เสมอ

          ความรู้สึกของอยู่ตงที่มีต่อหมิ่นมินเป็นเหมือนความรักที่บริสุทธิ์ ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อคนที่รัก และยังนำเรื่องราวเกี่ยวกับกระต่ายที่ตนรักมากมาเล่าให้หมิ่นมินฟัง ซึ่งไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เหมือนกับให้ความสำคัญกับหมิ่นมินแต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ เรื่องราวอาทังที่เคยเล่านั้นเป็นเพียงเรื่องโกหกที่จะได้ใกล้ชิดกับหมิ่นมิน ถึงแม้ว่าอยู่ตงจะจำวันสำคัญได้เสมอ ชอบเข้าไปเล่นกับเด็ก แต่ก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น เพราะหลังจากที่มีลูกอยู่ตงก็เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม ไม่สนใจลูกอย่างที่เคยแสดงว่ารักเด็กนักรักเด็กหนา เมื่อมีลูกจริงๆ ก็ไม่ได้ให้ความสนใจเขามากพอ เช่นเดียวกับหมิ่นมินหลังจากที่เธอมีรูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตงก็เริ่มไม่ใส่ใจเธอและไม่สนใจเธอในที่สุด จึงทำให้ความรักที่เคยหวานกลับขมได้อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งก็บ่งบอกว่าอยู่ตงนั้นอาจจะชอบเด็กแต่ก็ไม่ได้อยากที่จะเลี้ยงเด็ก แต่กับหมิ่นมินอยู่ตงนั้นรักที่สัดส่วนรูปร่างของหมิ่นมินมากกว่าจิตใจของเธอ

          อยู่ตงเป็นตัวละครที่มีหลายลักษณะ คือ มีหลายอารมณ์ความรู้สึกซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ จะเห็นได้ว่าอยู่ตงเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองสูง เห็นได้จากตอนทำงานที่ไม่ฟังความคิดเห็นของบุคคลอื่นยึดแต่ความคิดของตนเอง และยังเห็นได้ชัดว่าอยู่ตงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก เห็นได้จากตอนที่มีปัญหาเรื่องลูก อยู่ตงกลับโยนความรับผิดชอบให้กับหมิ่นมิน แล้วบอกว่าตนไม่ได้บอกให้เก็บไว้หมิ่นมินต่างหากที่เลือกจะเก็บลูกไว้เอง ซึ่งบ่งบอกถึงความไม่รับผิดชอบและเห็นแก่ตัวของอยู่ตง ซึ่งถ้าจะบอกว่าอยู่ตงเป็นคนที่ไม่ดีก็ไม่ใช่โดยทั้งหมด เพราะเขาก็ตั้งใจทำหน้าที่ของหัวหน้าครอบครัวเพื่อนำเงินมาใช้จ่ายในครอบครัว ในส่วนนี้อยู่ตงก็ทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่องเพียงแต่เขานั้นละเลยและไม่ใส่ใจในครอบครัวด้านความรู้สึก อาจจะเป็นเพราะสังคมที่มีแต่ความดิ้นร้น แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น จนทำให้ผู้คนเห็นแก่ตัว และผู้ชายในเมืองนั้นมุ่งหน้าที่จะทำงานอย่างเดียวจนลืมครอบครัว และส่งผลให้ผู้หญิงกลายเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอดในที่สุด

          บทสนทนาในเรื่องผู้เขียนใช้เพื่อแสดงอารมณ์ความรู้สึกของตัวละคร ซึ่งทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์คล้อยตามกับความรู้สึกของตัวละครที่สื่อออกมาผ่านบทสนทนานั้นเอง สำหรับเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าวค่อนข้างมีบทสนทนาน้อย เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการบรรยายผ่านตัวละครมากกว่า ทั้งนี้บทสนทนาในเรื่องก็เป็นส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจความรู้สึกของตัวละคร

          บทสนทนาของหมิ่นมินกับอยู่ตง ที่อยู่ตงนั้นปล่อยให้หมิ่นมินตัดสินใจว่าจะเก็บลูกไว้หรือไม่ “ฉันเคารพการตัดสินใจของเธอ (หน้า ๓๑-๓๒) จะเห็นได้ว่าอยู่ตงนั้นให้อิสระกับหมิ่นมินในการตัดสินใจ แต่เมื่อหมิ่นมินได้ท้องเป็นครั้งที่สาม อยู่ตรงก็ยังพูดกับหมิ่นมินว่า “เธอคิดเอาเองแล้วกัน  เธอตัดสินใจอย่างไรฉันก็เคารพความคิดของเธอ”(หน้า ๕๕) ซึ่งฟังแล้วดูดี แต่ในความจริงคือ บอกปัดความรับผิดชอบ  แต่ถ้าหากหมิ่นมินเอาเด็กออกอยู่ตงก็ทำเหมือนกับเศร้า แต่สำหรับครั้งที่สามที่หมิ่นมินเลือกที่จะเก็บลูกไว้ อยู่ตงก็ไม่พูดอะไร หากแต่แสดงออกกับหมิ่นมินเหมือนดีใจมากที่เก็บลูกไว้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปหมิ่นมินคลอดลูก อยู่ตงก็เริ่มไม่สนใจ พอเริ่มบ่นเรื่องลูก อยู่ตงกลับพูดว่า “เธอเป็นคนตัดสินใจมีลูก  ฉันไม่เคยกดดันอะไรเลย  เธอตัดสินใจเองแล้วจะมาบ่นทำไม” (หน้า ๕๕) ทั้งนี้ยังมีบทสนทนาที่อยู่ตงได้พูดออกมา ซึ่งเป็นคำพูดที่สร้างความปวดร้าวให้กับหมิ่นมินมากที่สุด “ขอโทษนะ เราไม่น่ามีลูกเลย” (หน้า ๖๔) จากบทสนทนาระหว่างหมิ่นมินกับอยู่ตง เป็นคำพูดที่ชี้ให้เห็นถึงการเป็นคนที่มีความเห็นแก่ตัวของอยู่ตง เป็นคนที่ปัดความรับผิดชอบ แรกๆ อาจจะคิดว่าดี แต่สุดท้ายกกลับไม่ใช่ กลับเป็นคำพูดที่เรียกว่า ปัดความรับผิดชอบมากกว่า

          ทั้งนี้ยังมีบทสนทนาที่ชี้ให้เห็นว่าอยู่ตงนั้นเห็นงานสำคัญกว่าภรรยาและลูกเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากตอนที่อยู่ซีป่วย แต่อยู่ตงก็เร่งรัดแต่หมิ่นมินฝ่ายเดียว บอกแต่ว่าอยู่นานไม่ได้ มีงานต้องรับผิดชอบ และอยู่ตงยังตั้งคำถามกับอยู่มินว่า “เธอยังจำได้อยู่รึเปล่าว่าเธอเป็นแม่ของอยู่ซี อยู่ซีไข้ขึ้นจนเพ้อ” (หน้า ๘๖) จากบทสนทนาจะเห็นได้ว่าอยู่ตงนั้นผลักภาระให้หมิ่นมินทั้งหมด โดยที่อยู่ตงนั้นอ้างแต่งาน ซึ่งจากบทสนทนาข้างต้นก็ทำให้ผู้อ่านก็อยากตั้งคำถามย้อนกลับอยู่ตงเช่นกัน ว่าเขาลืมไปแล้วหรือว่าเขาก็เป็นพ่อของอยู่ซีเช่นกัน ทั้งนี้ยังมีบทสนทนาที่ชี้ให้เห็นว่าอยู่ตงนั้นสนใจแต่งานมากกว่าเมื่อหมิ่นมินขอคำปรึกษาว่าจะหาทางออกอย่างไร “ฉันไม่มีทางอะไร แล้วแต่เธอ ทิ้งอยู่เอาไว้ที่โรงพยาบาลก็ดี  พรุ่งนี้ยังไงฉันก็ลาพักไม่ได้  ถ้าฉันไม่มีงานทำเธอจะเลี้ยงครอบครัวได้ไหม ฉันว่าแล้วว่าเธอไม่ควรจะไปทำงานเลย แต่เธออยากจะไปเอง”  จากบทสนทนาก็เป็นบทสนทนาที่บ่งบอกว่าอยู่ตงยึดตนเองเป็นหลัก และบ่งบอกว่าผู้หญิงต้องอยู่บ้านเลี้ยงดูลูก ไม่ควรออกมาทำงานนอกบ้าน ถึงออกมาทำงานนอกบ้านก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ซึ่งอยู่ตงก็ควรจะคิดถึงช่วงเวลาที่หมิ่นมินเคยทำงานคนเดียวทั้งยังส่งให้อยู่ตงจบปริญญาได้ ทำไมอยู่ตงถึงไม่คิดถึงตรงนี้บ้าง เอาแต่ความคิดของตนเองเป็นใหญ่โดยที่ไม่ใส่ใจความรู้สึกของภรรยา เมื่อยากให้เขาอยู่บ้านก็ควรจะดูแลเขาดีๆ ใส่ใจซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ไม่สนใจทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนใช้ที่คอยปรนนิบัติตลอดเวลา เพราะคิดแต่ว่าอยู่บ้านไม่ได้ทำอะไร

          บทสนทนาของหมิ่นมินกับเฉินจื่อซิน เป็นบทสนทนาที่เฉินจื่อซินเป็นห่วงหมิ่นมินมาก เพราะหมิ่นมินนั้นได้โทรหาเฉินจื่อซิน แต่น้ำเสียงของเธอไม่ปกติ “หมิ่นมินเป็นอะไรน่ะ เกิดอะไรขึ้น” (หน้า ๗๖) เมื่อเธอรู้เหตุผลเธอก็รีบมาหาหมิ่นมิน เมื่อได้คุยกันเฉินจื่อซินก็เลือกที่จะหาทางออกให้โดยบอกว่า “หมิ่นมิน เธออยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้วละ เธอจะต้องไปทำงาน เธอต้องดูแลตัวเอง น่าจะจ้างพี่เลี้ยงมาอยู่ดูแลอยู่ซี” ซึ่งหลังจากนั้นเฉินจื่อซินก็คอยถามข่าวหมิ่นมินเสมอ และยังหางานให้ แสดงให้เห็นถึงมิตรภาพของเพื่อนที่ไม่เคยทิ้งกัน

          ส่วนฉากต่างๆ ในเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าว เป็นฉากที่กระจายโดยทั่วไป แต่ฉากที่พูดถึงบ่อยที่สุดก็คือฉากที่บ้านของหมิ่นมินกับอยู่ตง เนื่องจากฉากที่บ้านเป็นฉากที่มีกลิ่นอายของความรักที่เคยหอมหวานของทั้งสองคน แต่วันหนึ่งบ้านก็กลับกลายเหมือนป่าช้าที่มีความเงียบสงบ มีเพียงแต่เสียงเด็กร้องไห้ที่แว่วผ่านโสตประสาทไปโดยแทบไม่ใจ ซึ่งฉากนี้ก็มีเรื่องอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเห็นได้ชัด เห็นได้จากช่วงที่อยู่ตงเปลี่ยนแปลงไป และหมิ่นมินก็พยายามที่จะปรับความเข้าใจกัน หากแต่อยู่ตงไม่ทำเป็นเฉยชา ไม่สนใจ ซึ่งในแต่ละวันก็แทบไม่ได้คุยกัน จึงทำให้หมิ่นมินรู้สึกอึดอัดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งนี้อาจจะเพราะว่าเธอนั้นไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา อยู่แต่ในบ้าน เมื่อสามีกลับมาก็ไม่สนใจเธอเหมือนอย่างแต่ก่อนก็ทำให้บ้านที่มีความสุขก็กลับกลายเป็นมีแต่ความทุกข์ ทั้งนี้บรรยากาศในบ้านก็เป็นบรรยากาศที่เงียบสงบ ไร้ซึ่งความสุข มีแต่ความอึดอัด และเป็นบรรยากาศส่งผลให้คนในบ้านอาจจะเป็นบ้าหรือมีอารมณ์ร้ายได้ตลอดเวลา

          จะเห็นได้ว่าเมื่อมีฉากเกี่ยวกับเนื้อหาก็ต้องมีบรรยากาศเพื่อสร้างสถานการณ์นั้นให้สมจริง ทั้งนี้ยังมีอีกฉากที่สำคัญก็คือสวนสาธารณะในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่หมิ่นมินพาอยู่ซีไปบ่อยๆ เมื่อผ่อนคลาย แต่ก็ไม่ได้ต้องการที่จะพูดคุยกับใคร แต่ขอเพียงได้อยู่มุมใดมุมหนึ่งที่เงียบสงบและทำให้อารมณ์ที่มีความวุ่นวายในหัวสมองได้หยุดพักบ้าง ซึ่งฉากในสวนสาธารณะก็เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลาย มีดอกไม้ปลิวไสวที่ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกสบายตา ซึ่งก็ช่วยให้ผ่อนคลายด้านอารมณ์ได้อย่างมาก หากไม่เกิดโศกนาฏกรรมเรื่องแม่ของไหลไหล ซึ่งฉากนี้ก็เป็นฉากที่สื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพอย่างชัดเจน และเป็นฉากที่ทำให้หมิ่นมินติดตา จนไม่สามารถที่จะลืมเรื่องราวได้ บรรยากาศในฉากนี้ยิ่งทำให้ทั้งตัวละครและผู้อ่านรู้สึกหดหู่ เศร้าไปพร้อมๆ กัน

          นวนิยายเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าวได้พูดถึงเรื่องราวของความรักอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องราวความรักหลากหลายรูปแบบทั้งความรักแบบครอบครัว หนุ่มสาว ซึ่งความรักเหล่านี้ทุกคนคงคิดว่าจะเป็นความรักที่ดีที่สุด ไม่มีความปวดร้าว แต่แท้จริงของชีวิตคือไม่ใช่ ทั้งนี้ผู้เขียนก็ได้เขียนด้วยความรู้สึกตัดพ้อ ท้อแท้ และเหนื่อยใจกับชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตที่คิดว่าจะมีความสุขที่สุดกับความรัก แต่สุดท้ายก็เป็นความรักที่แสนจะปวดร้าว ซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่องก็คือ “ความรักใดจะไม่ปวดร้าว” ได้อย่างชัดเจน

          สำหรับเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าว จะเห็นการบรรยายความรู้สึกของตัวละครหลักอย่างหมิ่นมินชัดเจน และในส่วนของการบรรยายก็สอดแทรกการอุปมาโวหารไปด้วย คือการเปรียบเทียบตัวละครให้เห็นอย่างชัดเจน หรือการเปรียบเทียบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของตัวละคร เช่น การเปรียบเทียบความรักของหมิ่นมินและอยู่ตงที่เหมือนกับการแสดงละคร แต่ทั้งสองนั้นเลือกนั้นเลือกที่จะแสดงต่อแม้ว่าพ่อแม่จะพยายามฉุดลากทั้งสองคนลงจากเวทีก็ตาม (บทที่ ๓) การเปรียบชีวิตของหมิ่นมินและอยู่ตงหลังแต่งงานที่อยู่อย่างลำบากเหมือนปลาในน้ำแห้ง (บทที่ ๕) การเปรียบชีวิตหลังคลอดของหมิ่นมิน    “กลางวันสีขาวเหมือนแม่น้ำที่มีคลื่นแรง  กลางคืนสีดำสงบเหมือนกับฝั่งแม่น้ำที่นิ่งเงียบ” (หน้า ๔๕) (บทที่ ๑๐) เปรียบชีวิตที่ไม่ได้ดูแลตนเองของหมิ่นมิน “ชีวิตฉันเปลี่ยนเป็นผักดองจอมอยู่ในโอ่งน้ำเกลือ” (หน้า ๔๘) (บทที่ ๑๑) การเปรียบชีวิตของคน “ชีวิตคนไม่ใช่หนังสือที่จะได้พลิกกลับไปดูหน้าที่มีสีสันซ้ำไปซ้ำมาได้” (หน้า ๗๕) (บทที่ ๑๖) เป็นต้น

          เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของเรื่องราวทั้งหมดทุกองค์ประกอบจะเห็นได้ว่าทุกองค์ประกอบมีความสอดคล้องกันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โครงเรื่อง แก่นเรื่อง ตัวละคร บทสนทนา และฉากบรรยากาศ ผู้เขียนได้บรรจงวางให้องค์ประกอบสัมพันธ์กันอย่างกลมกลืน ทั้งในเรื่องของการใช้ภาษา ภาษาที่ใช้ในการดำเนินเรื่องก็เป็นภาษาที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย เข้าใจได้โดยไม่ต้องแปล และยังทำให้ผู้อ่านได้เห็นภาพอย่างชัดเจน ในส่วนของการบรรยายก็สามารถทำให้ผู้อ่านคล้อยตามเรื่องราวและตัวละครได้ชัดเจน ทั้งยังมีการเปรียบเทียบให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากขึ้น ส่วนเรื่องบทสนทนาก็เป็นบทสนทนาที่มีมีความรู้สึกโกรธ เศร้า หรือเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์ และเหมาะสำหรับตัวละครในเรื่อง ทั้งยังให้ผู้อ่านได้เข้าใจได้ง่าย จึงกล่าวได้ว่าเรื่องความรักใดจะไม่ปวดร้าวเป็นเรื่องราวที่เข้าถึงผู้อ่านได้อย่างชัดเจน สะท้อนให้ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความไปเป็นของชีวิต ว่าชีวิตก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  ทั้งยังทำให้ผู้อ่านได้คล้อยตามทั้งสนุกและเข้าใจความรู้สึกตัวละครได้ และทำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวของ “ความรัก” อย่างชัดเจน

หมายเลขบันทึก: 645836เขียนเมื่อ 19 มีนาคม 2018 23:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2018 23:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท