ผมเขียนบทร้อยกรองไว้มากมาย..โดยเฉพาะสมัยยังหนุ่มๆ คิดเร็วเขียนเร็ว สะสมไว้เป็นรูปเล่ม มีหลายเรื่องหลายรส ทั้งเรื่องรักหวานๆไปจนถึงเรื่องเศร้าโศกเสียใจที่ใช้อ่านในงานฌาปนกิจศพ..
มีบางเรื่อง..ที่แต่งด้วยกลอนแปด นำกลับมาอ่านแล้วอ่านอีก จนกลายเป็นเพลงลูกทุ่ง นำมาให้ครูและนักเรียนได้ร้องเล่นเพลินๆ ถือว่าเป็นสื่อการสอนได้เหมือนกัน...
แต่ก่อนจะเป็นเพลง ก็ต้องลองใส่ทำนอง..ปรับถ้อยคำเนื้อหาให้มีความลงตัว กระชับและลงจังหวะ ให้รู้สึกว่าสละสลวยยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเพิ่มถ้อยคำเข้าไปนั่นเอง
เมื่อวันก่อน..ลองใช้เนื้อหาบทร้อยกรองที่แต่งไว้เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๐..มาใส่ท่วงทำนองอีกครั้ง ด้วยเห็นว่าที่โรงเรียนมีครูสาวเสียงดี ก็จะช่วยให้บทกลอนกลายเป็นบทเพลงขึ้นมาได้อีกสักครา...
ผมร้องเป็นตัวอย่างด้วยเสียงที่แหบพร่าและต่ำมาก จบแล้วก็ให้ครูร้องบ้าง ปรากฏว่า..จังหวะได้ แต่ครูร้องผิดคีย์ คือเสียงเพี้ยนไปจากผม ไม่ตรงกับความต้องการของผม อันเนื่องมาจากเสียงของผมไม่ได้มาตรฐาน..จึงไม่สามารถเป็นต้นแบบให้ครูได้..
ถึงอย่างไร..ผมก็ต้องถอดบทเรียนนี้ ให้ครูร้องด้วยเสียงที่หวานใส ในแบบของครูให้ได้ ผมจึงใช้วิธีร้องและอัดเสียงไว้..บันทึกแล้วค่อยส่งให้ครูไปฝึกร้องต่อไป
วันนี้..จึงให้ครูอีกท่านหนึ่งมาช่วยบันทึกเสียงลงในโทรศัพท์ ผมร้องอย่างเต็มที่ สุดความสามารถ..และคิดว่า..ยังไง..เมื่อครูฟังแล้ว รู้ทำนองก็สามารถปรับคีย์เองได้เลย
บันทึกเสียงเสร็จสรรพ..ครูที่มาช่วยบันทึก ยิ้มให้ผมแล้วพูดว่า..”ดีจังเลยค่ะ ผอ.”
“เสียง ผอ.ไพเราะจริงๆเหรอ”
“อ๋อ..ไม่ใช่ค่ะ เนื้อหาในบทเพลงน่ะค่ะ ทันสมัยดี”
ว่าแล้วเธอก็อธิบายเพิ่มเติม ถึงการบ้านการเมืองของไทยในยุคสมัยนี้..ว่ามีคนเช่นไร? ทำงานกันอย่างไร?..ตรงกับเนื้อหาบทเพลงของผมเลยเชียว...
ผมก็อดไม่ได้..ที่จะต้องพูดความจริงออกไปว่า..ที่แต่งออกมาเนี่ย ไม่ได้นึกถึงการเมืองหรือไม่เคยคิดต่อว่ารัฐบาลยุคนั้น หรือยุคนี้ แต่อย่างใด..คิดแค่ว่า..ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป..ใครทำไม่ดีเดี๋ยวก็ได้รับผลกรรมไปเองนั่นแหละ..
“แล้ว ผอ.เขียนขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ใด?” อันนี้ ครูไม่ได้ถาม..แต่เคยมีคนถามผมหลายครั้งแล้วเหมือนกัน..เพราะบทร้อยกรองนี้ เคยลงในวารสารทางวิชาการ..
ผมก็บอกไปว่า..เคยทำงานการศึกษา อยู่ฝ่ายวิชาการ..บนสำนักงานการประถมศึกษา เห็นภาพผู้บริหารบางคน..ปฎิบัติตัวไม่เหมาะสม ทั้งคำพูดคำจา แนวคิดและบุคลิกท่าทาง..ผมไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาของเขา จะไปต่อว่าเขาหรือตักเตือนเขา..ก็คงทำไม่ได้...
กลับบ้าน..ก็เลยมานั่งร่ายกลอนถอนใจ ระบายให้หายซึ่งความอัดอั้นตันใจ ก็แค่นั้น
บทร้อยกรองที่ว่านี้ มีชื่อว่า..”คิดใหม่ ทำใหม่”
ท่อนที่ ๑..“ถืออำนาจบาตรใหญ่แต่ใจมด มุ่งแต่คดโกงกินสิ้นศักดิ์ศรี โลภ โกรธ หลง คงจะอยู่คู่ชีวี ทุกนาทีมีแต่เน้น เห็นแก่ตัว”
ท่อนที่ ๒..“ยศตำแหน่งต้องแย่งชิงบ้างวิ่งประจบ ความชั่วก็กลบแนบเนียนน่าเวียนหัว ไร้สาระมากมายคล้ายเมามัว ชอบทำตัวสิ้นคิดผิดเรื่อยไป...”
อย่างน้อย..ถ้อยคำเหล่านี้ ก็เป็นเครื่องย้ำเตือนตัวเราเอง(ผู้เขียน) ให้ระมัดระวังไม่ให้ทำผิดต่อใคร โดยเฉพาะในระบบราชการ ณ เวลานั้นเคยคิดถึงขนาดว่า..ถ้ามีโอกาสได้เป็นผู้บริหาร จะไม่ทำแบบที่เคยเห็นมา โดยเฉพาะการโกงและเห็นแก่ตัว..ไม่ชอบเลยจริงๆ
ท่อนที่ ๓..“อยากให้หยุดความยิ่งใหญ่ไม่เที่ยงแท้ ขืนปล่อยแย่ซ้ำซากยากแก้ไข สำนึกดีสติอยู่คู่ครองใจ ทุกสิ่งนั้นไซร้อนิจจังไม่ยั่งยืน..”
ท่อนที่ ๔..“ถืออำนาจบาตรใหญ่ไตร่ตรองให้ซึ้ง อยู่ไม่ถึงปีที่ร้อยอย่าคอยฝืน เริ่มคิดใหม่ทำใหม่แก้ไขคืน เพื่อจุดยืนหัวใจ..ผ่องใสเอย.."
บันทึกเสียงแล้วส่งให้ครูฟัง เพื่อจะได้ฝึกร้องกันอย่างเป็นทางการเสียที ในยามที่อากาศร้อนๆ ฟังและร้องเพลงเบาๆ ก็จะช่วยให้ผ่อนคลายได้บ้าง..แต่ถ้าใครจะนำไปผูกโยงกับการเมือง ก็เห็นว่าไม่สมควร จะทำให้เครียดเสียเปล่าๆ ปล่อยให้เขาทำงานไป เดี๋ยวก็แก่และเหนื่อย..ไปเอง
ผมขอแนะนำให้ผู้อ่าน..นึกถึงคำสอนของพ่อจะดีกว่า..พ่อสอนเราเสมอว่า..”จงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์..”
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
ภาพประกอบ..ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเนื้อหาแต่อย่างใด ภาพหายากจริงๆ จึงใช้เป็นภาพสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ณ วันนี้