ฉลาด Vs เฉลียว


มันต่างกันยังไงครับ ฉลาด กับ เฉลียว  แยกออกไหมครับ ?

เพื่อความรวดเร็วทันใจ ผมขอสรุปง่ายๆ สไตล์กล้วยๆ นะ ว่า คนฉลาด คือ คนคิดเก่ง  อันนี้น่าจะรู้กันอยู่แล้ว.

ส่วนคนเฉลียว คือ คนที่มีความเอ่ะใจ  หรือ ต่อมเอ๊ะทำงานเยอะ.

ห็นอะไรก็  เอ๊ะๆ  ใช่เหรอ ? เอ๊ะ จริงเหรอ ?  ทำไมเหรอ ?  เป็นยังไงเหรอ ?  นี่ครับ ต่อมเอ๊ะทำงาน

สรุปง่ายๆ ว่า คนเฉลียวคือ คนที่ตั้งคำถามเก่ง

.... คนฉลาดคิดเก่ง  / คนเฉลียวตั้งคำถามเก่ง ....

 อันนี้ตรงกับที่ไอน์สไตน์กล่าวไว้เลยว่า   คำถามสำคัญกว่าคำตอบ  นี่คือหลักฐานสำคัญว่า ไอน์สไตน์เป็นคนเฉลียว  มีต่อมเอ๊ะใหญ่

จริงหรือไม่จริง  ลองคิดย้อนกลับมาที่ตัวเรา (คิดน้อมกลับมาที่ตัวเรา = โอปนยิโก) ดูก็ได้ครับ ว่า วันหนึ่งๆ เราตั้งคำถามกับเรื่องรอบตัวแค่ไหน...?

ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่รอปัญหาเกิดก่อน แล้วค่อยหาคำตอบ

คือ ไม่ค่อยตั้งคำถามก่อน ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วจะทำยังไงต่อ  (เป็นการจำลองปัญหาล่วงหน้า) ...จะรอปัญหาเกิดก่อนแล้วค่อยแก้ ... นี่คือคนส่วนใหญ่  ต้องโทษระบบการศึกษา ที่สอนให้จำไปสอบ  ไม่ใช่แบบการฝึกตั้งคำถามและคิดไปไกลๆ กว่า ข้อสอบแบบ  ก ข ค

อ๊ะ ยกตัวอย่างการตั้งคำถามนะครับ  ต้องออกตัวขอโทษด้วยที่ยกตัวอย่างเรื่องของตัวเอง  เพราะประการแรกผมเป็นคนที่ขี้สงสัยมาตั้งแต่เด็ก ... และประการที่สอง การเล่าเรื่องตัวเองจะเล่าได้อย่างชัดเจนครับ

เวลาผมขี่มอไซด์  ผมเชื่อว่าคนทั่วไปก็จะคิดแค่ ขี่ทางไหนไปให้ถึงที่หมาย (เพราะเมื่อก่อนผมก็คิดแค่นี้)  แต่เดี๋ยวนี้ เวลาขี่ผมจะมักจะตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ ว่า ถ้าเกิดมันล้ม หรือชน มันจะเป็นยังไง ... เนี้ยะ ถ้าขี่ๆ อยู่  ขี้เมามันขับรถพุ่งมาชน จะเป็นไง ?

แล้วผมจะนึกภาพ จินตนาการว่าเวลาล้ม  เราจะกลิ้งกระเด็นไปยังไง  รถมันจะกระเด็นไปแบบไหน  มีอะไรหลุด  เราจะหัวฟาด จะกระแทกยังไงกระเด็นกระดอนรูปไหน   จะเจ็บแค่ไหน จะเลือดสาด แขนขาหักยังไง นึกเป็นภาพเหมือนหนังครับ

จินตนาการเลยเถิดไปถึงว่า แล้วจะทำยังไงต่อ  ไปโรงบาลยังไง  จะมีคนมาช่วยไหม ? ถ้าไม่มีเราจะทำยังไง ?  จินตนาการไปไกลๆ

แม้แต่ขึ้นเครื่องบินก็เช่นกัน  นี่ถ้าเครื่องบินตกจะเป็นยังไง  นึกภาพเปรียบเทียบกับหนังที่เคยดู  มันคงจะรุนแรงมาก  เราก็คงไม่รอด หรือถ้ารอดจะมีสภาพยังไง  และจะใช้ชีวิตต่อยังไง ถ้าพิการ...

คิดจบแล้วก็รู้สึกดีครับ  เหมือนเราเตรียมการไว้ล่วงหน้า และได้ปลงกับชีวิต

.

อันนี้ก็ตรงกับไอน์สไตน์กล่าวอีกว่า  จินตนาการสำคัญกว่าความรู้

 ใช่ไหมครับ...  เราอาจจะมี ความรู้ ว่า เครื่องบินตกปีละกี่หน  แต่เราเคย จินตนาการ ถึงตัวเองอยู่ในเครื่องบินที่ตกไหม ?

นี่คือ ข้อแตกต่าง ระหว่างจินตนาการ กับ ความรู้

และการระลึกถึงความตาย ทางพุทธ เรียกว่า มรณสติ ครับ เตรียมตัวปลงก่อนตายจริง

.

เมื่อต่อมเอ๊ะ ทำงาน มันจะเริ่มผลิตคำถามมาให้คิด  มาให้จินตนาการ  เรียกว่า มีความเฉลียวจะเกิดความฉลาดตามมาเอง   

การคิดหาคำตอบทำให้เราฉลาดขึ้นครับ  ได้คิดอะไรในแง่มุมที่แตกต่างออกไป

-เราจะได้คิดวางแผนรับมือกับปัญหาล่วงหน้า

-มีแนวคิดแตกต่าง คิดโครงการใหม่ๆ ได้

-คิดนวัตกรรมได้... พวกคนเก่งๆ  ระดับโลก  เป็นนักตั้งคำถามทั้งนั้น

-และเข้าใจชีวิตได้ลึกซึ้ง  มองโลก 2 ด้าน ปลงได้ ไม่ติดยึด

.

เป็นสมการย้อนกลับแบบตรรกศาสตร์ว่า ....

ความฉลาดเกิดจากการคิดเก่ง  => การคิดเก่งก็เกิดจากการตั้งคำถามเก่ง => การตั้งคำถามเก่งก็เกิดจากการเอ่ะใจ =>และการเอ่ะใจก็เกิดจากต่อมเอ๊ะ  คือ => การมีสติ ครับ...

.

เพราะฉะนั้น นี่คือเหตุผลว่า ทำไมเราต้องฝึกสติ  สติเป็นต้นกำเนิดของทุกสิ่ง 

ดั่งพุทธพจน์ว่า  ธรรมทั้งหลายมีสติเป็นประธาน

ผมเป็นคนฝึกสติ ครับ ฝึกมา 20 กว่าปีแล้ว  ผมถึงเข้าใจ และที่ยกตัวอย่าง ไม่ใช่เพราะยกยอตัวเอง  แต่เพราะผมได้ผลลัพธ์อย่างที่เขียนนี่จริงๆ  ...จากตัวเองเป็นคนโง่ๆ ก็ฉลาดขึ้นได้  เพราะฝึกสติ

.

เราจึงมีคำว่า สติปัญญา คือ สติมาก่อน ปัญญาจะตามมา

และเราก็มีความว่า เฉลียวฉลาด เพราะคนโบราณทราบดีว่า เฉลียวมาก่อนฉลาด

มาถึงตรงนี้แล้ว ผู้อ่านคงจะเข้าใจถึง ความเฉลียวกันแล้วนะครับ

.

ปล.  แต่มีข้อยกเว้นประการหนึ่ง สำหรับคนที่ชอบตั้งคำถามด้วยความระแวง  อันนี้ไม่เรียกว่า เฉลียวครับ

เคยเจอ หรือเป็นเองไหมครับ แบบระแวงไปหมด ... เอ๊ะ คนมองเรานี่มันคิดร้ายกับเราหรือเปล่า  ทำงานแล้วเจ้านายเพื่อน จะกลั่นแกล้งเราหรือเปล่า  เดินทางไปทางนี้จะโดนปล้นหรือเปล่า  คนนั้นมันจะมาหลอกเราหรือเปล่า  คนขี้ระแวงมันดูคล้ายคนเฉลียวมากๆ  ดูว่าฉลาดแต่แตกต่างตรงที่  เวลาหาคำตอบมันจะคิดไปด้านเดียว คือด้านที่เป็นลบ  ชอบมโนเอาเอง  ไม่คิดอะไรสองด้านครับ  ...แล้วก็สะสมความระแวงไปทั่ว เห็นอะไรก็ระวังตัวจนเกินพอดี... สังเกตว่าคนพวกนี้จะพูดลบ   และจะนินทาคนอื่นทางลบๆ ตลอด ไม่ค่อยพูดถึงคนอื่นในแง่บวกเลย 

คนเฉลียวเวลาตั้งคำถามแล้วได้คำตอบจะรู้สึกสบายใจ (ปล่อยวาง)  

 แต่คนระแวงได้คำตอบแล้วจะคิดลบ มีทัศนคติด้านลบกับโลก (ยึด)

คนขี้ระแวง ดูเป็นคนฉลาด แต่เป็นคนฉลาดที่ไม่น่าคบครับ   เพราะไม่รู้ว่ามันจะคิดลบกับเรา  แล้วนินทาเราลับหลังแค่ไหน ยิ่งคิดได้มาก มันยิ่งมโนระแวงมากเป็นเงาตามตัว...

.

 .

 By the way  ที่นี้ เปลี่ยนเรื่องครับ   กลับมาดู คนฉลาด เรารู้จักคนฉลาดแล้ว  คงไม่ต้องอธิบายนะ

แต่มีคนประเภทหนึ่ง  ที่ฉลาดอย่างเดียวแต่ขาดความเฉลียว

มีครับ คนฉลาดที่ขาดความเฉียว แบบไม่มีความเฉลียวเอาเสียเลย  

พวกนี้คิดได้ลึก  แต่คิดได้ด้านเดียว  แล้วติดกรอบความคิด

ดร. วรภัทร เรียกว่า ฉลาดลึก แต่โง่กว้าง ! 

.

เมื่อคิดอะไรได้แง่เดียว  หากใครมีเหตุผลที่ขัดแย้งกับความคิดตน  ก็จะไม่เชื่อ  และอาจพอใจ และอาจจะโมโห ตามมา ถ้าเกิดการเถียงกัน !  คนประเภทนี้ขาดความเฉลียวว่า  ตนเองไม่ได้รู้ ไม่ได้เก่งไปทั้งหมดทุกเรื่อง   และคนอื่นอาจจะรู้ดีกว่าเราก็ได้ 

ความฉลาดขาดเฉลียว ต่อมเอ๊ะไม่ทำงาน  แบบนี้มีตั้งแต่น้อยไปหามาก ตัั้งแต่ คิดว่าตัวเองฉลาด ไปถึง คนที่ฉลาดจริงๆ  

แต่กลับกลายเป็นว่าคนประเภทนี้   ยิ่งฉลาดมากกลับยิ่งเป็นภัยต่อตัวเอง  และอาจกลายเป็นภัยต่อผู้อื่นได้ เป็นคนอีโก้สูง มีความยึดสูง ยึดเอาตัวเองเป็นหลัก กูถูกเสมอ มองคนอื่นว่าโง่กว่าตน  คนเถียงได้ยาก เพราะเหตุผลท่านเยอะ  ยกแม่น้ำมาได้ร้อยสาย    

...พอไม่มีคิดที่ว่าคนเราแตกต่างกัน คนเราไม่เหมือนกัน เอามาตราฐานตัวเองวัดคนอื่น   ก็พลอยขาดความเมตตาไปด้วย

คนไม่ฝึกสติ  ก้มหน้าเรียนอย่างเดียว เสร็จครับ ...ความรู้จะท่วมหัว  ล้นไปท่วมบ้านท่วมเมือง

.

อีกประเด็นหนึ่ง คนฉลาดแบบนี้  ก็มีสิทธ์ โดนหลอกได้มาก  ตรงนี้ งงไหมครับ คนฉลาดโดนหลอกง่าย !

เพราะคนฉลาดคิดด้านเดียวไงครับ ถ้าคนหลอกมันฉลาดกว่า แล้วจับจุดได้  มันจะหาเหตุหาผล หากลลวงมาปั่นหัวให้ตรงกับที่เขาคิด   แล้วเจ้าคนฉลาดขาดความเฉลียวก็ โอ้ ตรงกะที่กูคิดเลย ... จะปักใจเชื่ออย่างหัวปักหัวปำคว่ำขมำลุกไม่ขึ้น   เพราะคิดด้านอื่นไม่เป็น  อะไรที่ดูมีหลักการ (ที่ตรงกะหลักกู)  เป็นเชื่อหัวทิ่มแบบยอมเป็นสาวกกันทีเดียว  

.

พวกมันนี่เกมส์ หรือแชร์ลูกโซ่ ก็ใช้วิธีนี้แหละครับ  ยกแม่น้ำทั้งห้ามาอ้าง สร้างภาพทำให้สวยงาม  สร้างระบบซับซ้อนดูน่าเชื่อถือ อ้างคนไฮโซ  อ้างบริษัทระดับโลก แหม มันช่างยั่วยวนคนที่ชอบทำตัวให้ดูดีเสียเหลือเกิน  คนฉลาดมักชอบให้ตัวเองดูดีครับ ชอบให้คนอื่นชื่นชม (จนลืมมองว่า เอ๊ะ มันทำเงินงอกออกมามากมายขนาดนี้ได้ยังไง บริษัทระดับโลกเค้ายังทำกำไรได้ไม่มากขนาดนี้ )... ลืมครับ พอกลายเป็นสาวกแล้วลืมหมด  ลืมที่จะไปสืบเสาะความจริงว่า ไอ้ที่มันอ้างเนี้ยะ  มันจริงหรือเปล่า นี่แหละ คนฉลาดก็ตายน้ำตื้นๆ

คนฉลาดขาดคความเฉลียวตกหลุมทีเดียว  เสร็จครับ  ดึงไม่ขึ้น คนพวกนี้พอฝังหัวแล้วไม่ฟังอะไรแล้ว ... และยิ่งกว่านั้นพลอยจะดึงคนอื่นไปตกหลุมตามไปด้วย เพราะแชร์ลูกโซ่มันจะต้องให้ชวนคนมาลงเงินเยอะๆ  มันจะได้เอาเงินคนที่เข้ามาใหม่มาจ่ายคนที่อยู่เก่า เป็นลูกโซ่ๆ ไป     ช่วงนี้แชร์ลูกโซ่ก็ระบาดกันเหลือเกิน  เปิดเน็ตปุ๊ป เจอปั๊ป...!!

.

ส่วนคนเฉลียวเมื่อเจอการชักชวนของแชร์ลูกโซ่  ต่อมเอ๊ะทำงาน  ก็จะตั้งคำถามประมาณว่า  มันจริงหรือ อะไรที่มันได้มาง่ายๆ มันมีจริงหรือ ?  ตามประสานักตั้งคำถาม  เพราะมีสติ  ไม่ด่วนรีบเชื่อ.... พอมีคำถาม ก็จะเกิดการคิดหาเหตุหาผลถึงที่มาที่ไป คิดว่ามันสมด้วยเหตุและผลหรือไม่   คิดแบบไม่เข้าข้างความโลภ จึงไม่ตกเป็นเหยื่ออะไรง่ายๆ

 สติ นอกจากจะทำให้เฉลียวใจแล้ว จึงยังเป็นเครื่องกั้นกิเลสด้วย ความโลภจึงครอบงำได้ยาก  (ความโกรธก็เช่นกัน)

คนฉลาดที่ขาดสติ ก็พลิกกลายเป็นคนโง่ได้โดยไม่ยากเลย เมื่อความโลภครอบหัว ด้วยประการฉะนี้ !

ประโยชน์ของสติ มีมากจนพรรณนาไม่หมดครับ   (นี่ผมยังไม่พูดถึงคุณอนันต์ของสมาธิอีกนะ)

.

ผมเห็นคนสมัยนี้ มี Mindset  มุ่งงานและเงินมากเกิน  เพราะหวังรวยจนหน้ามืด เห็นแล้วสลดครับ  ความโลภครอบงำจนไม่รู้ตัว  อะไรที่โฆษณาว่าจะพารวยนี่รีบวิ่งไปหาโดยขาดวิจารณญาณ ไม่ต้องดูใครที่ไหนหรอก เมื่อก่อนผมก็เป็น...ไหลตามกระแสสังคม ค่านิยมผิดๆ     

สิ่งประเสริญในชีวิตเรากลับมองข้าม ไม่ค่อยเห็นคุณค่า  สติ สมาธิ ปัญญา (ความเฉลียวฉลาด) นี่แหละ จะบันดาลทุกสิ่งให้กับเราอย่างเหมาะสม  ไม่มากไม่น้อยไป (สายกลาง) และมีความสุข   จะไม่รวยแบบเครียด ชีวิตกลวงๆ กอดสมบัติจนเข้าโลง  

แต่จะว่าไป ระบบการศึกษานี่แหละ เป็นเหตุให้คนเป็นเช่นนี้ !!

โชคดีที่ผมไม่ค่อยสนใจเรียน !  เรียนไปงั้นๆ  เพราะเห็นความห่วยของระบบตั้งแต่วัยรุ่น  จากการที่ชอบคิดตั้งคำถาม (จะเรียนไปเพื่อ ?)

และโชคดีกว่านั้น คือผมได้บวชศึกษาปฏิบัติธรรม จึงได้ตาสว่าง

 ขอจบเพียงเท่านี้นะครับ  ความฉลาด Vs  ความเฉลียว ... ยาวจริงๆ ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ

ขอทุกท่านจงมีสติ  มี มีต่อมเอ๊ะที่แข็งแรง  และมีทั้งความเฉลียวและฉลาด ในการใช้ชีวิตให้มีความสุขกันนะครับ

ผมเขียนธรรมะ 4.0 ไว้ที่นี่ คลิ๊กอ่านได้เลยครับ  https://www.gotoknow.org/blog/...

.......(*_*)"........

หมายเลขบันทึก: 644920เขียนเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2018 11:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 กุมภาพันธ์ 2018 13:12 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท