48. การตระหนักรู้คืออิสรภาพ


 

48. การตระหนักรู้คืออิสรภาพ

ถาม  ผมเพิ่งมาจากอาศรมของ ศรี รามานา

ผมอยู่ที่นั่นมาเจ็ดเดือน

ตอบ  เธอฝึกปฏิบัติอย่างไรบ้างเมื่ออยู่ที่นั่น?

 

ถาม  ผมพยายามรวบรวมความสนใจไปที่คำถาม “ฉันคือใคร?” ให้มากที่สุด

ตอบ  เธอทำด้วยวิธีไหน โดยการพูดซ้ำๆหรือ?

 

ถาม  ช่วงที่ผมมีเวลาว่างระหว่างวัน บางครั้งผมพึมพำกับตัวเอง “ฉันคือใคร?” “ฉันเป็น แต่ฉันเป็นใคร?” บางครั้งผมก็แค่นึกถึงคำถามเหล่านี้ในใจ

บางครั้งผมรู้สึกดี หรือเข้าสู่สภาวะของความสุขอย่างเงียบๆ

โดยรวมแล้ว ผมพยายามที่จะเงียบ และเปิดกว้าง แทนที่จะใช้ความพยายามเพื่อเข้าสภาวะ

ตอบ  ถ้าเธออยู่ในอารมณ์ที่เหมาะสม เธอได้สภาวะอะไรบ้าง?

 

ถาม  ผมรู้สึกถึงความนิ่งสงบภายใน สันติ และความเงียบ

ตอบ  เธอได้สังเกตตัวเองไหมว่าเธอเข้าสู่ความไม่รู้ตัว?

 

ถาม  มีบ้างเป็นบางครั้ง แต่เป็นช่วงเวลาสั้นๆ

นอกนั้น ผมแค่นิ่งเงียบ ทั้งภายในและภายนอก

ตอบ  เงียบแบบไหนหรือ?

บางทีมีความรู้สึกคล้ายกับสภาวะหลับลึก แต่รู้ตัวตลอดเวลา

หรือเรียกว่าการหลับแบบตื่น อย่างนั้นหรือเปล่า?

 

ถาม  ใช่ครับ หลับแบบตื่นตัว (jagrit-sushupti)

ตอบ  สิ่งสำคัญคือ การเป็นอิสระจากความรู้สึกเชิงลบ – ความต้องการ ความกลัว เป็นต้น เหล่านี้คือ “ศัตรูหกชนิด” ของใจ

เมื่อใดที่ใจเป็นอิสระจากศัตรูเหล่านี้ ที่เหลือจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย

เหมือนเสื้อผ้าที่แช่ในน้ำสบู่ จะสะอาดได้ ใจที่อยู่ในกระแสความรู้สึกที่บริสุทธิ์ จะสะอาดบริสุทธิ์ได้เช่นกัน

เมื่อเธอนั่งเงียบๆ และเฝ้ามองตัวเอง สิ่งต่างๆมากมายอาจผุดขึ้นมาบนผิวหน้า

ไม่ต้องทำอะไรกับมัน ไม่ต้องมีปฏิกิริยาต่อมัน เพราะมันเกิดขึ้นเอง มันก็จะดับไปเอง

สิ่งสำคัญคือสติ หรือการตระหนักรู้อยู่กับตัวเอง หรืออยู่กับใจของตัวเอง

 

ถาม  คำว่าตัวเองในที่นี้ ท่านหมายถึงตัวเองแบบที่เป็นอยู่ในแต่ละวันใช่ไหม?

ตอบ  ใช่ ตัวเองที่เป็นอัตตาตัวตนของเธอนั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ถูกสังเกตได้อย่างไม่มีอคติ

ผู้สังเกตอยู่เหนือการสังเกต

สิ่งใดก็ตามที่ถูกสังเกตได้ ไม่ใช่ตัวตนที่แท้

 

ถาม  ผมสามารถสังเกตเห็นผู้สังเกตได้อย่างไม่สิ้นสุด

ตอบ  เธอสามารถสังเกตการสังเกต แต่ไม่ใช่ผู้สังเกต

เธอรู้ว่าเธอคือผู้สังเกตสูงสุด โดยการเห็นแจ้งด้วยประสบการณ์ตรง ไม่ใช่นำข้อมูลจากการสังเกตมาผ่านกระบวนการเชิงตรรกกะ

เธอคือสิ่งที่เธอเป็น แต่เธอรู้ว่าอะไรที่ไม่ใช่เธอ

ตัวตนที่แท้ คือการมีอยู่เป็นอยู่ แต่สิ่งที่มีอยู่ชั่วคราวนั้น ไม่ใช่ตัวตนที่แท้

แต่ในความเป็นจริง ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายในใจ

สิ่งที่ถูกสังเกต การสังเกต และผู้สังเกต ล้วนเป็นโครงสร้างทางใจ

ตัวตนที่แท้เท่านั้น มีอยู่เป็นอยู่

 

ถาม  ทำไมใจจึงสร้างการแบ่งแยกเหล่านี้?

ตอบ  การแบ่งและสร้างความจำเพาะเป็นธรรมชาติของใจ

การแบ่งนั้นไม่มีอันตรายใดๆ แต่การแยกนั้นเป็นสิ่งที่ค้านกับข้อเท็จจริง

วัตถุสิ่งของนั้นต่างจากคน แต่มันไม่ได้แยกกัน

ธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียว ความเป็นจริงเป็นหนึ่งเดียว

ทั้งสองตรงข้ามกัน แต่ไม่ได้ต่อต้านกัน

 

ถาม  ผมพบว่า โดยธรรมชาติของผม ผมเป็นคนว่องไวมาก

แต่เมื่อมาที่นี่ ผมได้รับคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงกิจกรรม

ผมพยายามอยู่นิ่งมากเท่าไหร่ ผมกลับยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง

สิ่งนี้ทำให้ภายนอกผมดูไม่แอคทีฟ แต่ภายในผมกลับดิ้นรนที่จะเป็นในสิ่งที่ธรรมชาติของผมไม่ได้เป็น

มีวิธีแก้อาการอยากทำงานไหมครับ?

ตอบ  การทำงาน กับกิจกรรม แตกต่างกัน

ธรรมชาติทั้งหมดทำงาน การทำงานคือธรรมชาติ ธรรมชาติคือการทำงาน

แต่กิจกรรม คือสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานของความต้องการและความกลัว ความต้องการครอบครองและบันเทิง ความกลัวความเจ็บปวดและความล่มสลาย

การทำงานเป็นสิ่งที่ทั้งหมดทำเพื่อทั้งหมด กิจกรรมเป็นสิ่งที่ทำโดยอัตตาตัวตนเพื่ออัตตาตัวตน

 

ถาม  มีวิธีการใดที่จะขจัดกิจกรรมออกไปได้?

ตอบ  แค่เฝ้ามองมัน แล้วมันก็จะดับลง

จงใช้ทุกโอกาสที่จะเตือนตัวเองว่าเธอตกอยู่ภายใต้พันธนาการ สิ่งต่างๆเกิดขึ้นกับเธอ เพราะเธอมีร่างกาย

ความต้องการ ความกลัว ปัญหา ความเบิกบาน ไม่สามารถเกิดขึ้นถ้าเธอไม่ได้อยู่ที่นั้นเพื่อเห็นมัน

สิ่งใดๆที่เกิดขึ้น ล้วนชี้ตรงไปที่การมีอยู่ของเธอในฐานะของศูนย์กลางการรับรู้

จงอย่าสนใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ให้สนใจว่ามันชี้ตรงไปที่ไหน

มันง่ายมาก แต่เธอต้องทำให้ได้

สิ่งที่เป็นปัญหาคือ เธอมักจะกลับไปหาอัตตาตัวตนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ถาม  ผมมักเข้าสภาวะที่ดิ่งลึกเข้าไปอยู่กับตัวเอง แต่ไม่สามารถกำหนดให้มันเกิดหรือไม่เกิดได้ และเป็นระยะเวลาสั้นๆ

ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถควบคุมการเข้าออกจากสภาวะได้

ตอบ  ร่างกายเป็นวัตถุสารและต้องการเวลาที่จะเปลี่ยนแปลง

ใจเป็นแค่ชุดของความเคยชินทางใจ ในการที่จะคิดและรู้สึก การจะเปลี่ยนแปลงใจ เราต้องดึงมันขึ้นมาที่ผิวหน้า แล้วศึกษาสังเกต

นี่ก็ใช้เวลาเช่นเดียวกัน

แค่ตั้งไว้ในใจและอดทน ส่วนที่เหลือจะจัดการตัวมันเอง

 

ถาม  ผมดูเหมือนจะรู้ชัดว่าต้องทำอะไร แต่ผมพบว่าตัวเองเหน็ดเหนื่อยและหดหู่ และพยายามหาเพื่อนที่รู้ใจ นั่นทำให้ผมเสียเวลาที่ควรจะใช้ไปในการสันโดษและฝึกสมาธิ

ตอบ  จงทำในสิ่งที่เธออยากทำ อย่าข่มเหงตัวเอง

ความรุนแรงทำให้เธอแข็งกระด้าง

อย่าต่อสู้กับสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นอุปสรรคขัดขวางเส้นทางของเธอ

แค่ให้ความสนใจกับมัน เฝ้ามองมัน สังเกต สอบถาม

ปล่อยให้ทุกสิ่งเกิดขึ้น – ไม่ว่าจะดีหรือเลว

แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองถูกท่วมทับด้วยสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ถาม  อะไรคือวัตถุประสงค์ในการที่เราต้องเตือนตัวเองตลอดเวลา ว่าเราคือผู้เฝ้าดู?

ตอบ  ใจต้องเรียนรู้ว่า เหนือใจที่กระเพื่อมไหว มีความตระหนักรู้เป็นพื้นหลัง และในความตระหนักรู้นั้นไร้การเปลี่ยนแปลงเกิดดับ

ใจต้องทำความรู้จักตัวตนที่แท้ และเคารพมัน และหยุดบดบังมันเหมือนดวงจันทร์ที่บดบังดวงอาทิตย์ตอนเกิดสุริยุปราคา

แค่ตระหนักว่า อะไรก็ตามที่ถูกเห็น ถูกรู้สึก ล้วนไม่ใช่เธอ ล้วนไม่ได้ยึดติดกับเธอ

ไม่ต้องไปใส่ใจกับสิ่งที่ไม่ใช่เธอ

 

ถาม  ถ้าผมทำอย่างที่ท่านบอก ผมก็ต้องตระหนักรู้ตลอดเวลา ไม่หยุดเลย

ตอบ  การตระหนักรู้ คือการตื่น การไม่ตระหนักรู้หมายถึงการหลับ

เธอตระหนักรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องพยายามสร้างการตระหนักรู้ขึ้นมา

เธอแค่ตระหนักรู้ถึงการตระหนักรู้

การตระหนักรู้อย่างจงใจและอย่างรู้ตัว ช่วยขยายความกว้างและความลึกของความตระหนักรู้

เธอมักรู้ตัวว่าใจมีอยู่ แต่เธอไม่เคยตระหนักรู้ว่าตัวเองกำลังรู้ตัว

 

ถาม  ตามความเข้าใจของผม ท่านบอกว่า “ใจ” กับ “ความรู้ตัว” และ “ความตระหนักรู้” มีความหมายต่างกัน

ตอบ  ใจทำหน้าที่ผลิตความคิดอย่างไม่สิ้นสุด แม้ในขณะที่เธอไม่ได้มองดูมัน

เมื่อเธอรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นในใจ นั่นเรียกว่าความรู้ตัว

นี้คือสถานะตื่นของเธอ – ความรู้ตัวของเธอเคลื่อนจากสัมผัสหนึ่งไปยังอีกสัมผัสหนึ่ง จากการรับรู้หนึ่งไปยังอีกการรับรู้หนึ่ง จากแนวคิดหนึ่งไปยังอีกแนวคิดหนึ่ง อย่างต่อเนื่องไม่มีสิ้นสุด

จากนั้นมาถึงความตระหนักรู้ ซึ่งเป็นการมองทะลุโดยตรงเข้าไปภายในทั้งหมดของความรู้ตัว เข้าไปภายในทั้งหมดของใจ

ใจเป็นเหมือนแม่น้ำ ไหลไปอย่างไม่สิ้นสุดภายในร่างกาย เธอเข้าไปจับความกระเพื่อมไหวอันหนึ่ง แล้วเรียกมันว่า “ความคิดของฉัน”

ใจ เป็นสิ่งที่เธอรับรู้ได้ เห็นได้ด้วยความรู้ตัว

ความตระหนักรู้ เป็นการรู้การเข้าใจความรู้ตัวอย่างเป็นองค์รวม

 

ถาม  ทุกคนมีความรู้ตัว แต่ไม่ทุกคนที่มีความตระหนักรู้

ตอบ  อย่าพูดว่า “ทุกคนมีความรู้ตัว”

ให้พูดว่า “ความรู้ตัวมีอยู่” ภายในความรู้ตัวนั้น ทุกสิ่งเกิดขึ้นและดับไป

ใจของเราเป็นแค่คลื่นในมหาสมุทรแห่งความรู้ตัว

ในความเป็นคลื่น มันเกิดขึ้นแล้วดับไป

ในความเป็นมหาสมุทร มันป็นอนันต์และเป็นนิรันดร์

จงรู้ว่า ตัวตนที่แท้ของเธอคือมหาสมุทรแห่งความมีอยู่เป็นอยู่ เป็นครรภ์แห่งการดำรงอยู่ทั้งหมด

นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบเท่านั้น ความจริงแท้นั้นเหนือคำบรรยายทั้งปวง

เธอจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อเธอได้เข้าถึงมันแล้วเท่านั้น

 

ถาม  การเสาะแสวงหาความจริงแท้ เป็นสิ่งที่คุ้มค่าต่อความยากลำบากหรือไม่?

ตอบ  ถ้าไม่พบความจริงแท้ ทุกอย่างคือปัญหา

ถ้าเธอต้องการมีชีวิตอยู่อย่างมีสติ มีความสร้างสรรค์ และมีความสุข และมีความมั่งคั่งไม่รู้หมดที่สามารถแบ่งปันกับผู้อื่น จงค้นหาว่าเธอคืออะไร

ขณะที่ใจอยู่ที่ศูนย์กลางภายในร่างกาย และความรู้ตัวอยู่ที่ศูนย์กลางภายในใจ ความตระหนักรู้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่อิสระ

ร่างกายมีการกระตุ้นของมัน และใจมีความเจ็บปวดและความเพลิดเพลินของมัน

แต่ความตระหนักรู้ ไม่มีการยึดโยงกับสิ่งใด ไม่เคลื่อนไหวสั่นสะเทือนด้วยสิ่งใด

มันแจ่มแจ้ง เงียบสนิท สงบ ตื่นตัวและกล้าหาญ ไร้ความต้องการและความกลัว

จงภาวนาอยู่กับมัน เพราะมันคือตัวตนที่แท้ของเธอ และพยายามที่จะคงสภาวะความเป็นมันในชีวิตประจำวัน และเธฮจะเข้าถึงมันอย่างสมบูรณ์

ใจ สนใจแต่สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ความตระหนักรู้จะสนใจ ใจ

เด็กมักตามหาของเล่น ต่แม่จะเฝ้าดูเด็ก ไม่ได้ดูของเล่น

ด้วยการมองอย่างไม่หยุดยั้ง ฉันจึงเข้าถึงความว่าง และด้วยความว่างนั้น ทุกสิ่งกลับเข้ามาหาฉัน ยกเว้นใจ

ฉันพบว่าฉันได้สูญเสียใจไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีการหวนกลับมาอีกเลย

 

ถาม  ขณะที่ท่านพูดคุยกับพวกเราอยู่นี้ ท่านไม่รู้ตัวบ้างหรือเปล่า?

ตอบ  ฉันไม่มีทั้งความรู้ตัวและไม่รู้ตัว ฉันอยู่เหนือใจและสภาวะต่างๆของใจ

ความแตกต่าง เป็นสิ่งที่ใจสร้างขึ้น และใช้ได้กับใจเท่านั้น

ฉันคือความรู้ตัวที่บริสุทธิ์ เป็นความตระหนักรู้ที่ต่อเนื่องของทุกอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่

ฉันอยู่ในสภาวะที่เป็นจริงมากกว่าเธอ

ฉันไม่ถูกทำให้วอกแวกโดยความแตกต่างและการแบ่งแยก ซึ่งประกอบกันเป็นอัตตาตัวตน

ตราบใดที่ร่างกายยังมีอยู่ มันมีความต้องการของมันเหมือนคนอื่นๆ แต่กระบวนการทางใจของฉันได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

ถาม  ท่านทำตัวเหมือนคนทั่วไปที่ตกอยู่ภายใต้ความคิด

ตอบ  ทำไมจะไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ?

การคิด เหมือนกับการย่อยอาหารของฉัน มันเป็นไปโดยไม่รู้ตัวและมีเป้าหมาย

 

ถาม  ถ้าความคิดของท่านเป็นไปโดยไม่รู้ตัว ท่านรู้ได้อย่างไรว่ามันถูกต้อง?

ตอบ  รู้ได้เพราะมันเป็นไปโดยไม่มีความต้องการ ไม่มีความกลัว

อะไรจะทำให้มันเป็นความคิดที่ผิด?

ตราบใดที่ฉันรู้จักตัวตนที่แท้ และรู้จุดยืนของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องเช็คตัวเองตลอดเวลา

เมื่อเธอรู้ว่านาฬิกาของเธอบอกเวลาได้ถูกต้อง เธอจะไม่มีความลังเลสงสัยในแต่ละครั้งที่เธอเช็คเวลาจากมัน

 

ถาม  ในขณะนี้ ใครพูด ถ้าไม่ใช่ใจ?

ตอบ  สิ่งที่ได้ยินคำถาม จะทำหน้าที่ตอบ

 

ถาม  แต่มันคือใคร?

ตอบ  ไม่ใช่ “ใคร” แต่ “อะไร”

ฉันไม่ใช่บุคคลในมุมมองของเธอ แม้ว่าฉันจะดูเหมือนบุคคลในสายตาของเธอ

ฉันคือมหาสมุทรแห่งความรู้ตัวที่ไม่สิ้นสุด ที่ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในนั้น

ฉันอยู่เหนือสิ่งมีอยู่และความรู้ความเข้าใจทั้งมวล เป็นความสุขที่บริสุทธิ์ของการมีอยู่เป็นอยู่

ไม่มีอะไรที่แปลกแยกจากตัวฉัน ดังนั้นฉันคือทุกสิ่ง

ไม่มีสิ่งใดที่เป็นฉัน ดังนั้นฉันจึงไม่ได้เป็นอะไรเลย

พลังงานที่ทำให้ไฟลุกไหม้ ทำให้สายน้ำไหล ทำให้เมล็ดพันธุ์ผลิใบ และทำให้ต้นไม้เติบโต พลังงานเดียวกันนั้นแหละที่ทำให้ฉันตอบคำถามของเธอ

ไม่มีอะไรที่เป็นส่วนตัวสำหรับฉัน แม้ว่าภาษาและสไตล์อาจดูเหมือนเป็นแบบของฉัน

บุคคล เป็นรูปแบบตายตัวของความต้องการและความคิด และการกระทำที่เกิดขึ้นตามมา ในกรณีของฉัน จะไม่มีรูปแบบเช่นนั้น

ไม่มีอะไรที่ฉันต้องการ หรือกลัว – แล้วรูปแบบจะมีได้อย่างไร?

 

ถาม  แน่นอนว่าท่านต้องตาย

ตอบ  ชีวิตจะหนีรอดไปได้ ร่างกายจะตาย แต่มันจะไม่ส่งผลต่อฉันเลยแม้แต่น้อย

ฉันอยู่เหนือที่ว่างและเวลา ไร้เหตุเกิด และไม่ก่อเหตุใดๆ แต่ฉันก็เป็นบ่อเกิดของการมีอยู่

 

ถาม  ผมขออนุญาตถามว่า ท่านเข้าถึงสภาวะที่ท่านเป็นนี้ได้อย่างไร?

ตอบ  ครูของฉันบอกให้ฉันยึดมั่นในความรู้สึกว่า “ฉันเป็น” อย่างหวงแหน และไม่เบี่ยงเบนไปจากมันแม้ขณะเดียว

ฉันทำอย่างดีที่สุดที่จะทำตามคำแนะนำของท่าน และในเวลาไม่นานนัก ฉันก็เข้าถึงความตระหนักรู้ภายในว่าคำสอนของท่านเป็นจริง

ทั้งหมดที่ฉันทำคือ จดจำคำสอนของท่าน ใบหน้าของท่าน คำพูดของท่าน อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งนี้ทำให้ใจสิ้นสุดลง ภายในความนิ่งเงียบของใจ ฉันเห็นตัวฉันอย่างที่ฉันเป็น – เป็นอิสระ

 

ถาม  การตระหนักรู้ของท่านค่อยเป็นค่อยไปหรือเกิดขึ้นโดยฉับพลัน

ตอบ  ไม่ทั้งสองอย่าง เราเป็นอย่างที่เราเป็นอย่างไร้กาลเวลา

แต่ใจเกิดความตระหนักรู้ขึ้นมาเมื่อมันหลุดพ้นจากความต้องการและความกลัว

 

ถาม  แม้แต่ความต้องการที่จะตระหนักรู้อย่างนั้นหรือ?

ตอบ  ความต้องการที่จะดับความต้องการทั้งมวล เป็นความต้องการที่แปลกที่สุด เหมือนกับความกลัวที่จะกลัวก็เป็นความกลัวที่แปลกที่สุด

ความต้องการแรก หยุดยั้งเธอจากความโลภ และความต้องการหลังหยุดเธอจากการวิ่ง

เธออาจใช้คำเดียวกัน แต่สภาวะจะต่างกัน

บุคคลผู้แสวงหาความตระหนักรู้จะไม่เสพติดความต้องการ เขาคือผู้แสวงหาซึ่งต่อต้านความต้องการ ไม่ใช่ทำตามความต้องการ

ความโหยหาอิสรภาพเป็นแค่การเริ่มต้น การค้นำบวิถีทางที่เหมาะสมและใช้มัน คือขั้นตอนต่อไป

ผู้แสวงหามีเพียงเป้าหมายเดียวในใจ: การค้นพบความมีอยู่เป็นอยู่ที่แท้ของตน

ในบรรดาความต้องการทั้งปวง ความต้องการนี้เป็นความทะเยอทะยานสูงสุด เพราะไม่มีสิ่งใดและบุคคลใดสามารถสนองความต้องการนี้ได้ ผู้แสวงหาและสิ่งที่เขาแสวงหาเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นสิ่งเดียวที่สำคัญคือการแสวงหา

 

ถาม  การค้นหาจะถึงจุดจบ ผู้แสวงหายังคงอยู่

ตอบ  ไม่ใช่ ผู้แสวงหาจะละลายไป แต่การแสวงหายังคงอยู่

การแสวงหาคือความเป็นจริงสูงสุดและไร้กาลเวลา

 

ถาม  การแสวงหาหมายถึงความขาด ความอยาก ความไม่อิ่มเต็ม และความไม่สมบูรณ์แบบ

ตอบ  ไม่เลย มันหมายถึงการปฏิเสธและการละทิ้งความไม่อิ่มเต็มและความไม่สมบูรณ์แบบ

การแสวงหาความจริงนั่นเองคือการเคลื่อนที่ของความจริง

การแสวงหาทั้งปวงเป็นไปเพื่อความสุขที่แท้ หรือความสุขของความจริง

แต่ในที่นี้ เราหมายถึง การแสวงหาตัวตนที่แท้ในฐานะรากของการรู้ตัว ในฐานะของแสงสว่างที่อยู่เหนือใจ

การแสวงหานี้จะไม่สิ้นสุด ในขณะที่การโหยหาอย่างกระวนกระวายต่อทุกสิ่งต้องถึงจุดจบ เพื่อให้ความก้าวหน้าที่แท้จริงจะได้เกิดขึ้น

บุคคลต้องเข้าใจว่าการแสวงหาความจริง หรือพระเจ้า หรือคุรุ และการแสวงหาตัวตนที่แท้ คือสิ่งเดียวกัน เมื่อได้พบสิ่งหนึ่ง ก็คือได้พบทุกสิ่ง

เมื่อสภาวะ “ฉันเป็น" และ “พระเจ้า” หลอมรวมเป็นสิ่งเดียวกันในใจของเธอ เมื่อนั้นบางอย่างจะเกิดขึ้น และเธอจะรู้โดยไม่มีความสงสัยใดๆแม้แต่น้อยว่าพระเจ้ามีอยู่เพราะเธอมีอยู่ เธอมีอยู่เพราะพระเจ้ามีอยู่

เธอและพระเจ้าคือหนึ่งเดียว

 

ถาม  ถ้าทุกสิ่งคือการดลบันดาล การบรรลุธรรมของเราก็เกิดจากการดลบันดาลด้วยหรือเปล่า?

หรือว่าเราจะเป็นอิสระอยู่บ้าง?

ตอบ  โชคชะตามีความหมายต่อชื่อและรูปเท่านั้น

แต่เธอไม่ใช่กายหรือใจ โชคชะตาจึงไม่สามารถครอบงำเธอได้

เธอเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์

ถ้วยหนึ่งใบ ถูกบังคับด้วยรูปร่าง วัสดุ การใช้งาน หรืออื่นๆ

แต่ที่ว่างภายในถ้วยนั้นเป็นอิสระ

มันบังเอิญว่าอยู่ในถ้วยนั้นเมื่อเรามองดูมันโดยเชื่อมโยงกับถ้วย

หากไม่เป็นเช่นนั้น มันก็เป็นเพียงที่ว่าง

ตราบใดที่ยังมีร่างกาย เธอก็จะดูเหมือนว่าถูกจำกัดให้มีตัวตน

หากไม่มีร่างกาย เธอไม่ได้พ้นจากการถูกจำกัดให้มีตัวตน – เธอแค่ “มีอยู่เป็นอยู่”

โชคชะตา เป็นแค่แนวคิด

ถ้อยคำสามารถถูกนำมาเรียงกันได้สารพัดแบบ

ประโยคอาจต่างกัน แต่จริงๆแล้วมันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม?

มีทฤษฎีมากมายที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่ออธิบายสิ่งต่างๆ – ทุกทฤษฎีล้วนน่าเชื่อถือ แต่ไม่มีทฤษฎีไหนเลยที่เป็นจริง

เมื่อเธอขับรถ เธอตกอยู่ภายใต้กฏของกลศาสตร์และเคมี: เมื่อก้าวออกจากรถ เธอตกอยู่ภายใต้กฏของสรีรวิทยาและชีวเคมี


ถาม  การทำสมาธิคืออะไรและมีประโยชน์อย่างไร?

ตอบ  เมื่อเธอคือผู้เริ่มต้นใหม่ การทำสมาธิชนิดมีรูปแบบ หรือการสวดมนต์ อาจดีสำหรับเธอ

แต่สำหรับผู้แสวงหาความจริง มีการทำสมาธิเพียงแบบเดียว – คือการปฏิเสธอย่างเข้มงวดที่จะยอมรับความคิด

การเป็นอิสระจากความคิด คือการทำสมาธิ

 

ถาม  แล้วทำอย่างไร?

ตอบ  เธอเริ่มโดยปล่อยให้ความคิดไหลผ่านไป และเฝ้ามองดูมัน

การเฝ้าสังเกตนี้จะทำให้ใจเคลื่อนช้าลงจนหยุดนิ่ง

เมื่อใจเงียบสงบ จงรักษาความสงบนั้นไว้

อย่าเบื่อความสงบสันติ อยู่ในนั้น เคลื่อนลึกลงไปในนั้น

 

ถาม  ผมเคยได้ยินการยึดความคิดหนึ่งไว้ เพื่อทำให้ความคิดอื่นถอยห่างออกไป

แต่เราจะทำให้ความคิดทั้งหมดถอยออกไปได้อย่างไร?

แนวคิดเช่นนั้นก็เป็นความคิดด้วยเหมือนกัน

ตอบ  จงทำการทดลองใหม่ อย่าด่วนสรุปตามประสบการณ์ในอดีต

จงเฝ้ามองความคิดของเธอ และเฝ้ามองตัวเธอเองที่กำลังเฝ้ามองความคิด

สภาวะความเป็นอิสระจากความคิดทั้งปวงจะปรากฏขึ้นมาในทันที และโดยความสุขของสภาวะนี้ เธอจะจดจำมันได้

 

ถาม  ท่านไม่สนใจเกี่ยวกับสภาวะของโลกเลยหรือ?

ความรุนแรงในบังคลาเทศ สิ่งเหล่านี้ไม่รบกวนจิตใจท่านเลยหรือ?

ตอบ  ฉันอ่านหนังสือพิมพ์ ฉันรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในที่อื่นๆ

แต่ปฏิกิริยาของฉันไม่เหมือนของเธอ

เธอมองหาการรักษา แต่ฉันสนใจที่การป้องกัน

ตราบใดที่ยังมีเหตุ ผลก็ย่อมต้องเกิดมีขึ้น

ตราบใดที่ผู้คนยังคงมีแนวโน้มที่จะแบ่งและแยก ตราบใดที่พวกเขายังคงเห็นแก่ตัวและก้าวร้าว สิ่งเช่นนั้นจะเกิดขึ้น

ถ้าเธอต้องการสันติสุขและความสามัคคีในโลก เธอเองต้องมีสันติสุขและความสามัคคีอยู่ภายในหัวใจและภายในใจ

การเปลี่ยนแปลงเช่นนั้นไม่สามารถเกิดได้ด้วยการบังคับจากภายนอก มันต้องเกิดเองจากภายใน

บุคคลที่เกลียดกลัวสงคราม ต้องเอาสงครามออกจากระบบของตน

หากไม่มีผู้คนที่มีสันติสุข เธอจะมีสันติสุขในโลกได้อย่างไร?

ตราบใดที่ผู้คนยังเป็นอย่างที่เป็นอยู่ โลกก็จะเป็นอย่างที่เป็นอยู่

ฉันทำหน้าที่ส่วนของฉันในการพยายามช่วยคนให้รู้จักตัวเอง ว่าอ้ตตาตัวตนนั้นแหละคือเหตุแห่งทุกข์

ในลักษณะเช่นนั้น ฉันคือผู้ที่มีประโยชน์

แต่สิ่งที่ฉันเป็นภายในตัวฉัน สิ่งที่เป็นสภาวะปกติของฉัน มันไม่สามารถแสดงออกในรูปของความรู้ตัวทางสังคมและการมีประโยชน์แบบทั่วๆไปได้

ฉันอาจพูดถึงมัน ใช้การเปรียบเทียบต่างๆ แต่ฉันรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ไม่ใช่ว่ามันเป็นสิ่งที่สัมผัสไม่ได้

มันกำลังสัมผัสตัวมันเอง

แต่มันไม่สามารถบรรยายได้ในเทอมของใจซึ่งต้องแยกและอยู่คนละฝ่าย เพื่อที่จะรู้

โลกเป็นเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีการพิมพ์อะไรบางอย่างลงบนนั้น

การอ่านและความหมายจะต่างกันไปตามผู้อ่าน แต่กระดาษเป็นปัจจัยร่วม มีอยู่เสมอ และมีน้อยคนมากที่จะสังเกตรับรู้

เมื่อริบบิ้นหมึกของเครื่องพิมพ์ถูกถอดออก การพิมพ์ก็ไม่ทำให้เกิดร่องรอยสิ่งใดๆบนกระดาษ

ใจของฉันก็เช่นกัน – มีแรงกดประทับเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีร่องรอยใดๆเหลืออยู่


ถาม  ทำไมท่านจึงนั่งอยู่ที่นี่ พูดกับผู้คน? เหตุจูงใจที่แท้ของท่านคืออะไร?

ตอบ  ไม่มี เธอพูดว่าฉันต้องมีเหตุจูงใจ

ฉันไม่ได้นั่งอยู่ที่นี่ ฉันไม่ได้กำลังพูด: ไม่จำเป็นต้องค้นหาเหตุจูงใจ

อย่าสับสนระหว่างฉันกับร่างกาย

ฉันไม่มีงานต้องทำ ไม่มีหน้าที่ต้องปฏิบัติ

ส่วนหนึ่งของฉันที่เธออาจเรียกว่าพระเจ้า จะดูแลโลก

โลกของเธอ ซึ่งต้องการการดูแลอย่างยิ่ง มีอยู่และเคลื่อนที่ไปในใจของเธอ

จงขุดคุ้ยลงไปภายในโลกของเธอ เธอจะพบคำตอบที่นั่น และที่นั่นเท่านั้น

เธอคาดว่าคำตอบจะมาจากที่ไหนอื่นหรือ?

ภายนอกความรู้ตัวของเธอ มีอะไรหรือที่มีอยู่ได้?

 

ถาม  มันอาจมีอยู่โดยที่ผมไม่รู้

ตอบ  แล้วมันจะมีอยู่แบบไหนกัน?

การมีอยู่จะแยกออกจากการรู้ได้หรือ?

การมีอยู่ทั้งหมด และการรู้ทั้งหมด ล้วนสัมพันธ์กับเธอ

เรื่องก็คือ เพราะเธอรู้ว่ามันมีอยู่ในประสบการณ์ของเธอ หรือไม่เช่นนั้นก็ในการมีอยู่ของเธอ

กายและใจของเธอมีอยู่ ตราบใดที่เธอเชื่อเช่นนั้น

จงหยุดคิดว่ามันเป็นของเธอ แล้วมันจะสลายไป

ปล่อยให้กายและใจทำหน้าที่ของมันไป แต่อย่าให้มันจำกัดความเป็นเธอ

ถ้าเธอสังเกตเห็นความไม่สมบูรณ์แบบ จงสังเกตต่อไป: การที่เธอให้ความสนใจมันจะเซ็ตหัวใจและกายและใจของเธอให้ถูกต้อง

 

ถาม  ผมจะสามารถรักษาตัวเองจากโรคร้ายแรงโดยแค่ระลึกรู้ต่อมันแค่นั้นหรือ?

ตอบ  จงระลึกรู้ต่อทั้งหมดของมัน ไม่เพียงแค่อาการภายนอก

ความเจ็ปป่วยทั้งหมดเริ่มในใจ

รักษษใจก่อน โดยแกะรอยและกำจัดแนวคิดและอารมณ์ที่ผิดๆทั้งหมด

จากนั้นมีชีวิตและทำงานโดยไม่ต้องสนใจความเจ็บป่วย และไม่ต้องคิดถึงมันอีก

เมื่อเหตุถูกกำจัด ผลก็ย่อมต้องจากไป

บุคคลจะเป็นในสิ่งที่เขาเชื่อว่าเขาเป็น

จงละทิ้งแนวคิดทั้งหมดเกี่ยวกับตัวเธอ และเธอจะพบตัวเธอที่เป็นผู้เฝ้ารู้เฝ้าดูที่บริสุทธิ์ อยู่เหนือทุกสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นต่อกายหรือใจ

 

ถาม  ถ้าผมกลายเป็นสิ่งที่ผมคิดว่าตัวเองเป็น และผมเริ่มคิดว่าตนเองคือความจริงสูงสุด แล้วความจริงสูงสุดจะไม่กลายเป็นแค่แนวคิดหรอกหรือ?

ตอบ  จงเข้าถึงสภาวะที่ว่านั้นให้ได้ก่อน แล้วค่อยถามคำถามนี้

 

ศรี นิสาร์กะทัตตะ มหาราช

“I AM THAT”

หมายเลขบันทึก: 644789เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2018 17:49 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2018 17:49 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท