รมว.ศธ.ได้เน้นนโยบาย “คุณธรรมนำความรู้” ในการจัดการศึกษา เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการปฏิรูปการเมือง เกิดจากปัญหาคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม วิถีประชาธิปไตย ความแตกแยกนำไปสู่การขาดความสามัคคี ขาดความสมานฉันท์ ดังนั้นการเสริมสร้างคุณธรรม ความตระหนัก สำนึกในค่านิยมและวิถีประชาธิปไตย ความสมานฉันท์ สันติวิธี เพื่อนำมาซึ่งสันติสุขจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน
รมว.ศธ.ได้นำนโยบายที่รัฐบาลแถลงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติมาทำให้เป็นรูปแบบเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ โดยได้กำหนดยุทธศาสตร์ แผนงาน โครงการ เพื่อให้มีความชัดเจนขึ้นใน ๕ ประเด็น ดังนี้
๑. เร่งรัดการปฏิรูปการศึกษาโดยยึดคุณธรรมนำความรู้ โดยมุ่งสร้างความตระหนัก สำนึกในคุณค่าของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง พัฒนาคนโดยใช้คุณธรรมเป็นพื้นฐานของกระบวนการเรียนรู้ และเชื่อมโยงความร่วมมือของสถาบันครอบครัว สถาบันทางศาสนา และสถาบันทางการศึกษาเรียกว่า บวร (บ้าน วัด โรงเรียน)
๒. ขยายโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐานของประชาชนให้กว้างขวางและทั่วถึงโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะ สพท. และ อปท.ต้องสำรวจเด็กที่เข้าเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับล่วงหน้า ๑ ปี เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะต้องบอกได้ว่า จัดโรงเรียนที่ไหนให้เด็ก ส่วนเด็กจะรับโอกาสที่โรงเรียนนั้นหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของเขา หน้าที่ของผู้เรียนก็คือ เมื่อเข้าเกณฑ์ก็ต้องเรียน หากไม่เรียนก็ผิดกฎหมาย ส่วนการจัดเงินอุดหนุนรายหัวที่ให้ไม่เพียงพอนั้น ใน ๓-๔ ปีมานี้ได้จัดเงินอุดหนุนรายหัวในการศึกษาขั้นพื้นฐานไปประมาณ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท ขาดไป ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท จึงจะจัดให้เพิ่มในโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ ส่วนโรงเรียนขนาดเล็ก นอกจากจะเพิ่มให้ใกล้กับค่าใช้จ่ายจริงของโรงเรียนขนาดกลางแล้ว ยังมีตัวบวกให้ด้วย ซึ่งจะขอดูกำลังเงินว่าจะเติมให้ครั้งเดียว ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท หรือภายในไม่เกิน ๒ ปี เช่นให้ทีละครึ่ง คาดว่าจะเห็นผลเรื่องการศึกษา ๑๒ ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย และยกระดับคุณภาพการศึกษาของคนไทยให้ขยับถึง ๙-๙.๕ ปี
๓. พัฒนาคุณภาพมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ สมศ.ได้ประเมินผลคุณภาพการศึกษา พบว่าโรงเรียนเกือบ ๒๐,๐๐๐ โรงอยู่ในสภาพที่ต้องปรับปรุง กล่าวว่า ผ่านเกณฑ์ใช้ได้มีประมาณ ๑ ใน ๓ จึงจะต้องมีการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ พัฒนาการสอนของครู ปรับปรุงวิธีการเรียนของเด็ก รวมทั้งแก้ปัญหาขาดแคลนครูด้วยวิธีการนำเทคโนโลยีมาใช้ และเน้นการแก้ปัญหาขาดแคลนครูโดยยึดพื้นที่และกลุ่มสาระเป็นสำคัญ
๔. กระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา โดยเน้นการจัดระบบการกระจายอำนาจใน ๔ ด้าน คือ ด้านวิชาการ บริหารบุคคล งบประมาณ และการจัดการทั่วไป รวมทั้งพัฒนาผู้บริหาร ศึกษานิเทศก์ และครูแกนนำของเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน เพื่อให้เป็นผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ให้สามารถขยายผลในพื้นที่และในโรงเรียนของตนเอง ซึ่งจะมีจำนวนประมาณ ๑๐,๐๐๐ กว่าคน โดยจะมีการนำร่องในโรงเรียนขนาดใหญ่และกลาง ประมาณ ๑,๕๐๐-๒,๐๐๐ โรง นอกจากนี้ จะเปลี่ยนฐานะของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นส่วนราชการ ให้มีการทำงานที่เบ็ดเสร็จสิ้นสุดในระดับสภามหาวิทยาลัย รวมทั้งการจัดระบบการกระจายอำนาจไปสู่สถานศึกษาด้านอาชีวศึกษาด้วย
๕. การมีส่วนร่วมของประชาชน ภาคเอกชน และท้องถิ่น โดยการปรับปรุงโครงสร้าง บทบาท ภาระหน้าที่ของสมาคมผู้ปกครองและครู ทบทวนเรื่องคณะกรรมการสถานศึกษาและคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา เพื่อให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนโรงเรียนเอกชนในทุกระดับและประเภท ให้สามารถจัดการศึกษาได้ตามนโยบายและมาตรฐานการศึกษาของชาติ มุ่งเน้นให้ความอิสระและความคล่องตัวโดยไม่เลือกปฏิบัติ.
เราคงต้องเฝ้าติดตามตรวจสอบในระยะเวลา 1 ปีนี้ คุณธรรมนำความรู้ จะออกมาเป็นรูปธรรม ได้หรือไม่ อย่างไร
ไม่มีความเห็น