พละ 5 กับจิตวิทยาปัจจุบัน : ปัญญาระดับเบื้องต้น (3)


ปัญญากับศรัทธาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงและคานอำนาจกันอยู่ ตามที่ผมได้เขียนไปแล้วในพละ 5 ตอนแรก. พลังของปัญญานี่คงไม่ต้องบรรยาย  สุดจริงๆ ครับ เราจะพ้นจากอุปสรรคปัญหาทั้งปวงได้ด้วยปัญญานี่แหละ.

จะรวยจะจน จะเก่งจะห่วย จะฉลาดจะโง่ จะนิสัยดี,นิสัยเลว หรือจะสุขทุกข์ ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ : พลังของปัญญา.

แต่ปัญญาจะอยู่เดี่ยวๆ ไม่ได้  ต้องประกอบด้วยองค์อีก 4 ตามหลักที่พระพุทธองค์ท่านสอนไว้  เหมือนทุเรียนจะออกลูกกลางอากาศไม่ได้ต้องมีต้น ราก ใบ และดิน ซึ่งผมจะค่อยๆ ถอดรหัสธรรม ออกมาเรื่อยๆ นะครับ

 ตัวปัญญาเองมี 3 องค์ประกอบ หรือ 3 ระดับ  เราจะจับความหมายด้านใดก็ได้

ผมขอเขียนย่อๆ เพื่อความจำง่ายนะครับ...

สุตตะ / จินตะ / ภาวนา  (อันนี้ภาษาอินเดียนะครับ ไม่ใช่ภาษาไทย อย่าเข้าใจปนกัน)

.

1. สุตตะ  ปัญญาเกิดจาก Input เข้าไป จะได้ฟัง ได้เห็น การอ่าน หรือได้จับสัมผัส ก็ได้

Input แล้วก็เกิดความจำ อันนี้คือองค์ประกอบแรกสุดของการมีปัญญา คนเราจะเกิดปัญญาไม่ได้เลย หากไม่ใส่ข้อมูลเข้าไปก่อน เหมือนมือถือที่ไม่มีแอ้ปก็ทำงานไม่ได้

และความจำก็เป็นปัญญาระดับที่ 1 เมื่อจำอะไรๆ ได้ ก็จะเกิดความ หมายรู้ : recognize  คือรู้ว่าสิ่งนี้เป็นอะไร ใครเป็นใคร รู้ได้โดยอัตโนมัติ ความหมายรู้นี่สำคัญมาก จะทำให้เกิดสิ่งที่ตามมาคือ การเลียนแบบ

นึกถึงเด็กทารก นะครับ เกิดมาอุแว้ๆ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ก็อาศัยการเห็น การได้ยิน แล้วก็จำได้ หมายรู้ว่าอ้อ นี่พ่อนะ นี่แม่นะ แล้วก็เลียนแบบการพูด การกระทำ โดยอัตโนมัติ นี่ผลจาก Input & recognize   ... คนที่ความจำไม่ดี ก็มีผลต่อการรับรู้ การเรียน และการเข้าใจด้วย

 

ปัญญาแบบสุตตะนี้ จะไปเชื่อมกับศรัทธา เป็นเรื่องของความเชื่อ มีความหมายรู้แบบไหนก็มีความเชื่อแบบนั้น  อย่างที่ผมบอกไงครับ ปัญญากับศรัทธาเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงและคานอำนาจซึ่งกันและกัน ความเชื่อนี่ผมพูดไปแล้วในตอนที่แล้ว ตอนนี้ก็มาถึงสิ่งที่ต้องประกอบกับความจำและความเชื่อ  คือสติและวิจารณญาณครับ

.

เชื่อมไปสู่ปัญญาที่   2. จินตะ คือการคิด

การคิดมีหลายรูปแบบมากๆ  อันแรกที่ผมจะพูด ก็คือ การคิดกลั่นกรอง ที่เรียกว่าวิจารณญาณ  เมื่อได้ข้อมูลมาก่อนที่จะเข้าไปบันทึกไว้ใน Harddrive ก็ต้องมี  Filter หรือ Virus scan มากรองก่อน ...ไม่ใช่รับอะไรเข้ามาก็เชื่อไปหมด  เครื่องพังกันพอดี

 ชีวิตผมอยู่บนโลกใบนี้มา 50 ปี ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงของคนไทยที่มี ปริญญาเพิ่มมากขึ้นแต่สติปัญญากลับลดต่ำลง ! ปริญญาเป็นเครื่องวัดคนได้น้อยมากครับ  ปริญญาแปลว่า ความรอบรู้ ความหยั่งรู้  แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่ มันตื้นมากครับ

-มันวัดแค่ความจำระยะสั้นๆ ที่จำความรู้เพื่อเอาไปสอบแล้วก็คืนครูไป 

-วัดความเข้าใจและการคิดวิเคราะห์ระดับพื้นๆ คิดตามกรอบบทเรียน แต่ไม่ได้คิดอะไรที่กว้างไปกว่านั้น  

-แต่เจือกไปเน้นการคำนวณระดับสูง เช่น ตรีโกณ ล็อคการึทึ่ม ที่ยิ่งเรียนยิ่งทึ่ม เพราะไม่รู้จะเรียนไปผลิตอาวุธเช่นหอกอะไร 

ปริญญาส่วนใหญ่ วัดคนด้วยเรื่องเพียงเท่านี้ครับ 

-ไม่ได้วัดการคิดสร้างสรรค์ (ถ้าไม่ได้เรียนคณะทางศิลปะ)  

-ความมีวิจารณญาณหรือการมีดุลยพินิจ : ความชั่งใจ ก็วัดไม่ได้ 

-ทักษะด้านสังคมก็วัดไม่ได้ การพูดจา การมีสัมมาคารวะ รู้กาลเทศะ ไม่มีเกรดบอก 

-ทักษะการเอาตัวรอดก็ไม่มี บางคนจบปริญญาแล้ว ยังงกับชีวิตอยู่เลยว่าจะเอายังไงต่อ ... ต้องรอพ่อแม่สั่ง 

ที่สำคัญที่สุดที่ปริญญาวัดไม่ได้เลย คือ การมีจริยธรรม !!  ไม่มีเกรดบอกคุณธรรมจริยธรรมครับ ว่าได้เกรดเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องครตเลวร้ายเลย เรายกย่องคนเรียนสูง จบโท เป็นด๊อกเตอร์ เป็นศาสตราจารย์ เรานับถือด้วยไม่รู้ว่าเขามีจริยธรรมสูงแค่ไหน !! ...

.

คนที่จบมาแล้วเก่งจริงๆ นี่ไม่ใช่เพราะหลักสูตรบทเรียนเลย ผมกล้าพูดเลยว่าไม่ใช่  ... ที่เขาเก่งเพราะมีเทคนิคและทักษะที่เกิดขึ้นระหว่างเรียนต่างหาก เช่น 

เทคนิคการอ่านหนังสือเร็ว / เทคนิคการทำความเข้าใจ / เทคนิคการคิดลัด / วิธีคิด / ทักษะความขยันหมั่นเพียร อดทน / ทักษะความตั้งใจ / ทักษะการอยู่ร่วมกัน / ทักษะที่เกิดจากการทำกิจกรรมที่ไม่มีเกรด  เช่น ทำงานเป็นทีมเวิร์ค การวางแผน  หรือกระทั่งเทคนิคการลอก (ทักษะการเอาตัวรอดไง) !!   ...  และผมถามหน่อย คนเราต้องมีแฟนใช่ไหม ทำไมไม่สอนวิชาจีบ(วะ)  สอนให้จีบกันดีๆ ซิ (โว้ย)

... พวกเทคนิคและทักษะที่ผมเขียนมาทั้งหมดนี้ มันต้องบรรจุเป็นวิชาลงในหลักสูตรเลยด้วยซ้ำ...ใช้คำว่าต้องเลย

เพราะการเรียนที่ให้ได้แค่ความคิดระดับพื้นๆ ให้ตายซิ  ... ผมถามหน่อยว่า เคยคิดบ้างไหมว่าพ่อแม่ต้องลงทุนให้ลูกกี่ล้านกว่าจะเรียนจบ ลองคำนวณดูซิหลายล้านจนน่าตกใจนะ แล้วเจือกไม่ได้ความรู้ทางเทคนิคหรือทักษะเหล่านี้เลย เด็กต้องเกิดมีขึ้นเองซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะเกิดหรือเปล่า แทบจะตามบุญตามกรรมเลย ได้เจอครูดีก็ดีไป ไม่มีทักษะก็ไปผจญชีวิตเอาเอง ... ครตขาดทุนเลยผมพูดตรงๆ เป็นการลงทุนที่ขาดทุนป่นปี้ ... ถ้าเปรียบเป็นลงทุนทำธุรกิจนี้บริษัทเจ๊งชัวส์จำกัดเลย...(วิชา บ.เจ๊งชัวส์ ...ผมก็เคยสอนที่จุฬาฯ)

 ทีนี้การศึกษาเราเป็นแบบนี้ มีผลให้คนส่วนใหญ่ขาดวิจารณญาณ เห็นไม๊ มีปริญญาก็ยังขาดแม้ปัญญาระดับต้นๆ... มันโอเคไม๊ล่ะ... อ้อ แปลก่อน  วิจารณญาณ คือการคิดโดยใช้เหตุผล รู้จักแยกแยะผิดชอบชั่วดี ... 

คนไม่มีวิจารณญาณ พอรับ Input ข้อมูลอะไรเข้ามากรูก็หลงเชื่อไปหมด ไม่ได้กลั่นกรองเลย ข้อมูลมาทางออนไลน์ คนก็เชื่อก่อน ยังไม่ได้กรองว่ามันจริงเท็จแค่ไหนเลย  แล้วก็รีบตัดสินผิดถูกทันที คนก็ด่ากันทางเน็ตแบบไม่รู้ที่ไปที่มา ด่ากันแบบคนไม่มีวัฒนธรรม นี่มันเกิดอะไรขึ้น...  เห็นไม๊ครับว่า วิจารณญาณต้องเป็นความคิดอันดับแรกที่คนจะต้องมีหลังจากได้รับข้อมูล

คนไทยนะครับ ในเน็ตนี่กล้าเชียว พูดแรงได้โดยไม่มีความเกรงกลัวเกรงใจใดๆ  แต่ถ้าลองมาเจอหน้ากันจริงๆ ซิ ... ไม่กล้าหรอกครับ ... แหม พอเจอกัน พูดจาดี น่ารัก ถ้อยทีถ้อลยอาศัย หนุงหนิง ... ป้าดโถ่ ...นี่ไม่ได้ประชดนะ แต่จะบอกว่าเวลาคนเราเจอหน้ากัน มันเกิดมีวิจารณญาณรู้จักผิดชอบชั่วดีตามธรรมชาติ ไม่เหมือนเจอในเน็ตซึ่งเหมือนกับคุยกับสิ่งไม่มีชีวิต  แต่ลืมสนิทว่าคนที่อยู่หลังคีย์บอร์ดนั่น คือคนจริงๆ มีมือมีตีนนะโว้ย

อ.กล้วยสอนปลูกปัญญากันเลยครับ ตรงนี้  

เราก็ทำให้มันเหมือนกันซิ ... เจอในเน็ตก็ให้เหมือนเจอตัวจริง เจอตัวจริงก็ให้เหมือนเจอในเน็ต คิดแบบนี้จบ

. 

เมื่อขาดการกลั่นกรอง ก็จะขาดความรู้ผิดชอบชั่วดี จะมีผลเลวร้ายตามมาอีกอย่าง คือพฤติกรรมการเลียนแบบ เราจะเห็นคนออกสื่อขายตัว โชว์นม เลียนแบบตามๆ กันเพราะนึกว่าเป็นเรื่องดีงาม   เป็น พฤติกรรมหน้าหนาออกสื่อ แหม เป็นการตลาดส่งเสริมการขายหรา ไม่ว่าจะขายอะไร ขายชุด ขายก๋วยเตี๋ยว  ขายข้าวมันไก่  ก็ต้องขายนมประกอบ มันใช่เหรอครับ นมใหญ่แต่ปัญญาเล็ก มันไร้คุณค่า คนเราจะหลงนมได้กี่น้ำ เจอนมใหม่ไฉไลกว่ากว่าเค้าก็ไม่สนใจคุณแล้ว ... คนเรามีคุณค่าที่ตรงไหน คิดเอา... เด็กก็เอาอย่างกัน แถมมีตบแย่งผู้ชายออกสื่ออย่างงี้ นี่เอาตั้งแต่เด็กเลย ครู ผู้ปกครอง ว่าไงครับ เด็กตบออกสื่อแล้วมีลงโทษออกสื่อบ้างได้ไหม หรือกลัวเด็กฟ้อง ?  กลัวเด็กฟ้องแล้วไม่กลัวเด็กเสียคนเหรอ ? ...  ล่าสุด นี่มีไลฟ์สดฆ่าตัวตาย โห  ประเทศไทยมันขนาดนี้แล้วเหรอ อีกไม่นานคงจะมีทำตามกันเป็นแถวคอยดูซิครับ

.

ทำไมไม่สร้างพฤติกรรมเลียนแบบเชิงบวก เยอะๆ ล่ะ ... อันนี้ นี่ขอบคุณตูนจากใจเลย มันต้องแบบนี้ซิ Idol ตัวจริง

.

เป็นไงครับ แค่ขาดปัญญาต้นๆ ก็เกิดปัญหาขนาดนี้  มันพังครับ ขาดปัญญาแล้วพังทันทีเลย ...  นี่ผมยังไม่ได้พูดเรื่องลัทธิบ้ารวย ที่มาจากระบบ Capitalism ทุนนิยมจ๋า  ทุนนิยมที่หลงวัตถุจนไม่สนใจจริยธรรม ทุกวันนี้นะใครรวย ก็มีแต่คนอวยคนนับถือ นี่มันบ้าครับ ลัทธิบ้ารวยไง ไม่ได้ดูเนื้อในเลยว่าแท้จริงคนนั้นเป็นคนยังไง หน้าฉากกลับเบื้องหลังเหมือนกันไหม ไม่เอาจริยธรรมเป็นหลัก แล้วก็โดนหลอกกัน นี่ขาดปัญญาอย่างยิ่งครับ คนสมัยนี้

 ตอนหน้า ผมจะสอนวิธีปลูกปัญญา 2 ระดับนี้นะครับ ทำอย่างไร สุตะ และ จินตะ จะมีพลังขึ้นมา ทำให้เรามีชีวิตที่มีคุณค่าจริง ไม่ใช่ชีวิตเป็นทาสความเชื่อผิดๆ  ติดตามนะครับ 

 . 

 ตอนอื่นๆ ที่เขียนมาทั้งหมด  ผมรวบรวมไว้ที่สมุดธรรมะ 4.0 อ่านได้ที่นี่ครับ https://www.gotoknow.org/blog/...4-0

....(-_-)"....

หมายเลขบันทึก: 643930เขียนเมื่อ 12 มกราคม 2018 11:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 กรกฎาคม 2019 10:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

-สวัสดีครับอาจารย์

-การวัดผลประเมินผล

-เป็นหลักการที่ตั้งเอาไว้

-เคยวิ่งตามว่าเราต้องผ่านการวัดผลให้ได้ตามเกณฑ์ของเขาเหล่านั้นที่วางเอาไว้อย่างภาคภูมิใจ

-แต่คงเป็นเพราะเราคิดไม่เหมือนเค้าเหล่านั้น

-ไม่ผ่าน...คุณไม่ได้ไปต่อ..

-ท้ายสุด ขอเลิกวิ่ง..แล้วก็หยุดอยู่กับตัวเอง..

-ได้ข้อคิด"ไม่มีอะไรที่ดีที่สุดในโลก นอกจาก"ความพอใจ"ของเราเอง...

-พอใจ...ดูง่ายๆ แต่ก็ใช้ได้ในทุกๆ ฐานะของคนนะครับอาจารย์

-ขอบคุณครับ..

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท