การใช้กฎหมายต่างประเทศในศาลไทย
หลักทั่วไป
โดยหลักกฎหมายต่างประเทศแผนกคดีบุคคล ถ้าศาลไทยจะต้องวินิจฉัยคดีของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศศาลไทยต้องพิจารณาคดีโดยคำนึงถึงลักษณะระหว่างประเทศของคดี โดยวิธีการเลือกกฎหมายมาวินิจฉัยจะต้องเป็นตามข้อกำหนดของกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ
กฎหมายแรก ที่เกี่ยวข้องกับศาลไทยและศาลไทยจะต้องปฏิบัติตาม คือ กฎหมายของรัฐเจ้าของศาลเอง (Law of for) ซึ่งก็คือ กฎหมายขัดกันของไทย ได้แก่ พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481
กฎหมายที่สอง คือ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคดีที่มีลักษณะระหว่างประเทศสำหรับศาลไทย นั่นก็คือ กฎหมายของรัฐต่างประเทศซึ่งกฎหมายขัดกันของไทยรับรองว่ามีจุดเกาะเกี่ยวกับคดีในศาลไทย
การรับรองนี้ หมายถึง กฎหมายขัดกันของไทยส่งอำนาจในการบังคับคดีให้แก่ กฎหมายของรัฐต่างประเทศและกฎหมายขัดกันของศาลไทยยอมรับว่ากฎหมายของรัฐต่างประเทศ อาจมีสถานะเป็นกฎหมายแพ่งสารบัญญัติที่มีผลต่อคดี (Applicable Substantive Law of cases)จุดเกาะเกี่ยวที่กฎหมายขัดกันของไทยยอมรับ คือ 1. สัญชาติของบุคคล 2. ภูมิลำเนาของบุคคล 3. เจตนาของบุคคล 4. ถิ่นที่ตั้งของทรัพย์สิน 5. ถิ่นที่นิติสัมพันธ์เกิดขึ้น 6. ถิ่นที่นิติสัมพันธ์มีผล 7. ถิ่นที่ตั้งของศาลที่พิจารณาคดี
อย่างไรก็ตาม กฎหมายขัดกันไม่มีผลใช้บังคับโดยอัตโนมัติ ศาลภายในของไทยไม่อาจยกการใช้กฎหมายขัดกันขึ้นเอง เพราะการใช้กฎหมายขัดกัน อาจนำไปสู่การใช้กฎหมายต่างประเทศซึ่งมิใช่กฎหมายของศาลเอง ดังนั้น ผู้ที่จะยกการใช้กฎหมายขัดกันได้ คือ เอกชนซึ่งเป็นคู่ความในคดี และเหตุผลที่เอกชนจะต้องยกขึ้นเพื่อให้ศาลยอมรับใช้กฎหมายขัดกัน คือ เมื่อปรากฏลักษณะระหว่างประเทศของนิติสัมพันธ์นั้นตามกฎหมายเอกชนที่เกี่ยวข้องกับคดี
เงื่อนไขการยอมใช้กฎหมายต่างประเทศของศาลไทย กล่าวคือ
การที่ศาลจะนำกฎหมายต่างประเทศมาใช้แก่คดีที่มีลักษณะระหว่างประเทศ ได้มีบัญญัติไว้ใน มาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีที่จะต้องใช้กฎหมายต่างประเทศบังคับถ้ามิได้พิสูจน์กฎหมายนั้นให้เป็นที่พอใจแก่ศาล ให้ใช้กฎหมายภายในแห่งประเทศสยาม” จะเห็นว่ามาตรา 8 ได้กำหนดเงื่อนไขการปรับใช้กฎหมายของต่างประเทศ ไว้ดังนี้ คือ
(๑) คู่ความฝ่ายกล่าวอ้างความเป็นระหว่างประเทศต้องกล่าวอ้างต่อศาล โดยกล่าวถึงเนื้อหาสาระของกฎหมายของประเทศที่มีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดที่สุดกับคดีนั้น
(๒) ต้องพิสูจน์กฎหมายต่างประเทศจนศาลพอใจ การจะพิสูจน์กฎหมายต่างประเทศ อาจนำพยานผู้เชี่ยวชาญมาสืบพิสูจน์ต่อศาล หรือโดยการนำพยานเอกสารมาสืบต่อศาล
อาจารย์ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนาพานิช เห็นว่า คู่ความต้องนำ “กฎหมาย” มาสืบต่อศาลเท่านั้น คู่ความจะนำสิ่งที่มิใช่กฎหมาย เช่น ตำรา รายงานการประชุม หรืองานวิชาการอื่นๆ มาสืบต่อศาลไม่ได้ ส่วนกฎหมายต่างประเทศ จะอยู่ในรูปเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร หรือคำพิพากษาก็ได้ ทั้งนี้ไม่ห้ามที่จะนำพยานผู้เชี่ยวชาญมาเบิกความหรือให้ความเห็นประกอบ
ดร.หยุด แสงอุทัย ได้ให้ข้อสังเกตว่า กฎหมายไม่ได้บัญญัติห้ามมิให้ศาลใช้ความรู้กฎหมายต่างประเทศซึ่งผู้พิพากษามีอยู่แล้ว และท่านก็ยังเห็นว่า ศาลสามารถใช้ความรู้กฎหมายต่างประเทศได้หากศาลมีความรู้กฎหมายต่างประเทศ
เนื่องจาก กฎหมายขัดกันของไทยได้รับอิทธิมาจากกฎหมายขัดกันของประเทศอังกฤษ ซึ่งเห็นว่า “กฎหมายต่างประเทศ” เป็นข้อเท็จจริง (matter of fact) ที่ศาลไม่รู้ได้ด้วยตนเองแต่ต้องอาศัยการพิสูจน์โดยพยานผู้เชี่ยวชาญของคู่ความแต่ละฝ่าย ในกรณีที่คู่ความไม่ว่าโจทก์หรือจำเลย หากไม่สามารถพิสูจน์ให้ศาลพอใจได้ ศาลไทยก็จะปฏิเสธไม่ใช้กฎหมายต่างประเทศ แต่จะใช้กฎหมายไทยแทน ซึ่งในกรณีนี้ หลักการพิสูจน์กฎหมายต่างประเทศของไทยตรงกับกฎหมายขัดกันของประเทศอังกฤษ คือ ถือว่ากฎหมายต่างประเทศมิใช่สิ่งที่ศาลรู้เองได้ แต่จะต้องให้คู่ความกล่าวอ้างและนำสืบ หรือพิสูจน์ว่ากฎหมายต่างประเทศที่ว่านี้มีเนื้อหาและความหมายว่าอย่างไร เพราะกฎหมายต่างประเทศมิใช่ข้อกฎหมายทีศาลไทยจะต้องรู้เองอย่างกฎหมายไทย แต่กฎหมายต่างประเทศเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องกล่าวอ้างและพิสูจน์ต่อศาล
ข้อจำกัดการใช้กฎหมายต่างประเทศในศาลไทย
มาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481 วางหลักว่า ศาลไทยจะใช้กฎหมายต่างประเทศเพียงที่ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย(order public) หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน(boin mores) หากศาลไทยจะต้องใช้กฎหมายต่างประเทศแล้ว ปรากฏว่ากฎหมายต่างประเทศขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน(contra bonos mares) ศาลจะใช้กฎหมายต่างประเทศมิได้ ต้องใช้กฎหมายไทยบังคับ “กฎหมายต่างประเทศ” ในมาตรา 5 คือ “กฎหมายสารบัญญัติ” (substantive law) เป็นกฎหมายเอกชนมิใช่กฎหมายขัดกัน เพราะกฎหมายขัดกันของต่างประเทศโดยตัวมันเองมิได้มีเนื้อหาที่กำหนดถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดแต่อย่างใดจึงไม่มีลักษณะที่จะขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีได้
ข้อยกเว้นของการใช้กฎหมายขัดกัน
แม้โดยหลักการ รัฐจะยอมรับการนำกฎหมายต่างประเทศมาใช้ในศาล แต่การปรับใช้กฎหมายต่างประเทศ( Application of foreign law) มีเงื่อนไขมากมาย ซึ่งการนำกฎหมายต่างประเทศมาใช้ในศาล ทางแรกก็คือ เมื่อทนายความสามารถพิสูจน์ต่อศาลได้ว่าคดีนั้นมีลักษณะระหว่างประเทศ ศาลก็จะต้องนำกฎหมายขัดกันของรัฐเจ้าของศาลมาบังคับต่อคดี เว้นแต่ จะมีข้อเท็จจริงอันเป็นข้อยกเว้นของการใช้กลไกของกฎหมายขัดกัน ซึ่งข้อยกเว้นของการใช้กฎหมายขัดกัน ได้แก่
๑) มีกฎหมายสารบัญญัติพิเศษ
สำหรับนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ คือ รัฐเจ้าของศาลมีกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สารบัญญัติพิเศษสำหรับนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชที่มีองค์ประกอบต่างประเทศ ความเป็นพิเศษของกฎหมายนี้ คือ ศาลของรัฐจะนำกฎหมายนี้มาใช้ตัดสินคดีแทนกฎหมายทั่วไปสำหรับนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ กฎหมายสารบัญญัติพิเศษของไทย คือ พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มาตรา 4 บัญญัติว่า “ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับแก่การขนส่งทางทะเลจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่งนอกราชอาณาจักรหรือจากที่แห่งหนึ่งนอกราชอาณาจักรมายังที่อีกแห่งหนึ่งในราชอาณาจักร...."
โดยผลของมาตรานี้พระราชบัญญัตินี้จึงมีสถานะเป็นกฎหมายแพ่งสารบัญญัติพิเศษที่ฝ่ายนิติบัญญัติเจตนาจะให้มีผลบังคับโดยตรงต่อสัญญารับขนของทางทะเลที่มีลักษณะระหว่างประเทศดังนั้น กฎหมายนี้จึงเป็นข้อยกเว้นของการใช้ พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ. 2481
๒) กฎหมายพึงบังคับใช้ทันที
สำหรับนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ กฎหมายพึงบังคับใช้ทันที (Loi de police) มักเกิดจากฝ่ายนิติบัญญัติที่จะบังคับใช้กฎหมายใด กฎหมายหนึ่งต่อนิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายเอกชน กฎหมายพึงบังคับใช้ทันทีมักเป็นกฎหมายที่มาจากแนวนโยบายของรัฐ (Law of State Policy) มักถูกประกาศใช้ในเรื่องการกำหนดราคาสินค้าบางประการ ที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของสาธารณะชนหรือเรื่องเงื่อนไขของการทำธุรกิจบางประการที่มีความสำคัญยิ่งต่อประเทศชาติ
พ.ร.บ. การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 เป็นกฎหมายพึงบังคับใช้ทันทีในแง่มุมหนึ่ง เพราะมาตรา 4 บัญญัติว่า
“พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับแก่การขนส่งทางทะเล....ยกเว้นแต่กรณีที่ได้ระบุในใบตราส่งว่าให้ใช้กฎหมายของประเทศอื่นหรือกฎหมายระหว่างประเทศบังคับ ก็ให้เป็นไปตามนั้น แต่แม้ว่าจะได้ระบุไว้เช่นนั้นก็ตามถ้าปรากฏว่าคู่กรณีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นผู้มีสัญชาติไทยหรือเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย ก็ให้ใช้ พ.ร.บ.นี้บังคับ”
จะเห็นว่า พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มี 2 สถานะ คือ
(1) เป็นกฎหมายสารบัญญัติที่ไม่มีผลบังคับอย่างเคร่งครัดเด็ดขาดสำหรับสัญญารับขนของทางทะเลซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับผู้มีสัญชาติไทย
(2) เป็นกฎหมายสารบัญญัติที่มีผลบังคับอย่างเคร่งครัด
สำหรับสัญญารับขนของทางทะเลซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้มีสัญชาติไทย ดังนั้น พ.ร.บ.การรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 จึงมีสาระเป็นกฎหมายพึงบังคับใช้ทันทีสำหรับสัญญารับขนของทางทะเลซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้มีสัญชาติไทยและมีการปฏิบัติการขนส่งข้ามชาติ
หรือกรณี พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ. 2540 ก็น่าจะมีสถานะเป็นกฎหมายที่พึงบังคับใช้ทันทีต่อสัญญาที่มีลักษณะระหว่างประเทศ เพราะมาตรา 12 กำหนดว่า “ความตกลงหรือความยินยอมใดๆ ที่มิให้นำบทบัญญัติแห่ง พ.ร.บ.นี้ไปใช้บังคับไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ย่อมเป็นโมฆะ”
เพราะฉะนั้น ถ้าคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อสัญญาในสัญญาที่ไม่เป็นธรรมซึ่งมีลักษณะระหว่างประเทศ ศาลไทยก็จะนำกฎหมายว่าด้วยข้อสัญญาไม่เป็นธรรมมาใช้ทันทีต่อคดี โดยยังไม่ต้องสนใจว่าสัญญานี้ตกอยู่ภายใต้กฎหมายสารบัญญัติของประเทศใดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.2481
๓) การใช้อนุสัญญาระหว่างประเทศ
กลไกการทำงานของกฎหมายขัดกันมีความยุ่งยากสลับซับซ้อนจะเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการค้าพาณิชย์ระหว่างประเทศ จึงเกิดความคิดที่จะริเริ่มร่างอนุสัญญาการค้าพาณิชย์ระหว่างประเทศ เช่น การซื้อขายระหว่างประเทศ การขนส่งระหว่างประเทศ การชำระเงินระหว่างประเทศ การดำเนินวิธีพิจารณาความแพ่งระหว่างประเทศ เป็นต้น โดยเชิญชวนให้นานาประเทศเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาเหล่านี้ให้มากที่สุด เพื่อลดอุปสรรคหรือความไม่สะดวกในการติดต่อทำ ธุรกรรมระหว่างประเทศ หากไม่มีอนุสัญญาและปล่อยให้นิติสัมพันธ์ของเอกชนตกอยู่ภายใต้กฎหมายขัดกัน นักธุรกิจหรือพ่อค้าก็จะเกิดความไม่แน่ใจหรือไม่อาจคาดหมายได้ว่าผลในทางกฎหมายของนิติสัมพันธ์ดังกล่าวจะตกอยู่ภายใต้ของกฎหมายประเทศใด
ส่วนกรณีประเทศไทย ถ้าประเทศไทยเข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาใดที่เกี่ยวกับนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ ศาลไทยจะต้องนำอนุสัญญานั้นมาใช้ในฐานะข้อยกเว้นของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายฯ ศาลไทยจะไม่นำกฎหมายของประเทศที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับนิติสัมพันธ์ตามข้อกำหนดของกฎหมายขัดกันของไทยมาพิจารณาและตัดสินคดี แต่จะนำอนุสัญญาที่ผูกพันประเทศไทยมาใช้พิจารณาและตัดสินแทน
๔) การกล่าวอ้างความเป็นระหว่างประเทศของนิติสัมพันธ์
โดยหลัก กฎหมายขัดกันมีวัตถุประสงค์ที่จะบังคับแก่คดีที่มีองค์ประกอบต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้องอันมีผลทำให้นิติสัมพันธ์ของเอกชนตามตกอยู่ภายใต้กฎหมายมากกว่าหนึ่งประเทศ แต่แม้จะมีองค์ประกอบต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่หากคู่กรณีไม่กล่าวอ้างต่อศาลว่านิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายเอกชนนั้นมีองค์ประกอบต่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง ศาลก็จะไม่ใช้กฎหมายขัดกัน แต่จะใช้กฎหมายภายใน คือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาพิจารณาคดีเสมือนเป็นคดีแพ่งธรรมดา การกล่าวอ้างลักษณะระหว่างประเทศมิได้เกิดจากเจตนาของรัฐแต่เป็นผลของข้อเท็จจริงที่ว่าคู่ความในคดีไม่ได้กล่าวอ้างความเป็นระหว่างประเทศของคดีข้อยกเว้นนี้จึงเป็นผลมาจากเทคนิคของกฎหมายขัดกันของรัฐ ถ้าเอกชนไม่กล่าวอ้างเป็นอย่างอื่น ศาลของรัฐก็จะไม่ใช้กฎหมายขัดกันแต่จะใช้กฎหมายของศาลเอง
จะเห็นได้ว่า เมื่อใดศาลไทยไม่พบข้อยกเว้นทั้งสี่ประการ ศาลไทยจะนำกลไกของกฎหมายขัดกันตามข้อกำหนดของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายฯ มาปรับใช้ต่อนิติสัมพันธ์ของเอกชนตามกฎหมายเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ กฎหมายขัดกันของไทยจึงเป็นภาพสะท้อนของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคลโดยทั่วไป คือ ไม่ปฏิเสธที่จะใช้กฎหมายต่างประเทศ แต่ก็มีขั้นตอนและเงื่อนไขในการใช้กฎหมายต่างประเทศ ซึ่งแม้ในที่สุดศาลของรัฐจะต้องนำกฎหมายขัดกันของศาลมาใช้ต่อคดีมิใช่กฎหมายภายในของรัฐโดยแท้จริง และแม้ศาลจะพบว่ากฎหมายของรัฐต่างประเทศหนึ่งจะเป็นกฎหมายที่มีผลต่อคดีโดยผลของกลไกของกฎหมายขัดกันของศาล ซึ่งบางครั้งอาจจะดูไม่เป็นธรรมแก่คู่กรณี เพราะผลของคดีอาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าหากว่าศาลได้ดำเนินการตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว ก็จะสร้างความชอบธรรมแก่นิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศมากขึ้นเท่านั้น และคำพิพากษาของศาลในคดีนั้นก็อาจได้รับการยอมรับศาลต่างประเทศที่เกี่ยวข้องก็ได้
member app block emgency 1669 i sick blood dont go heart and bran 1 hour for ho hospital. I do but them write for smile.... igo speak and people help me ฉีดยาขยายหลอดเลือดหัวใจและสมองก่อนเป็นสโสตคอัมพาท . ให้ ใครรับผิดชอบอละที่เป็นแบบนี้เพราะป่วยเป็นลูปัสแล้ว7แ อต่เพิ่งเป็นหัวใจ สมอง เพราะซัมซุงและจิน ดิบฮับ มีข้อมผุลครบ เซฟหมดตามที่ทำงานและมันฝห้เอาโมรสับมาเทสอีก6เครื่อง ทรมานสุดๆแผลเต็มตัว ไวรัสกำเริบมุกตัว มีเลือดแดง32% ในตัว มีข้อมูลโรงบาลรามาและซัมซุงส่งผู้ชายมาบ้านโทรมาบ่อยด่า ขู่ฆ่า เลวมากที่สึดสำหรับที่ใช้บริการมา30ปี ขอใก้เก กกับครอบครัวมันทุกคนโรค้ดียวกันบล็อคใกล้วืนาทีตายคนเดียวในบ้าน..แจ้งICT ตำรวจ ทนายรอหมาย้รียกขึ้นศาลอุธรณ์.
member app block emgency 1669 i sick blood dont go heart and bran 1 hour for ho hospital. I do but them write for smile.... igo speak and people help me ฉีดยาขยายหลอดเลือดหัวใจและสมองก่อนเป็นสโสตคอัมพาท . ให้ ใครรับผิดชอบอละที่เป็นแบบนี้เพราะป่วยเป็นลูปัสแล้ว7แ อต่เพิ่งเป็นหัวใจ สมอง เพราะซัมซุงและจิน ดิบฮับ มีข้อมผุลครบ เซฟหมดตามที่ทำงานและมันฝห้เอาโมรสับมาเทสอีก6เครื่อง ทรมานสุดๆแผลเต็มตัว ไวรัสกำเริบมุกตัว มีเลือดแดง32% ในตัว มีข้อมูลโรงบาลรามาและซัมซุงส่งผู้ชายมาบ้านโทรมาบ่อยด่า ขู่ฆ่า เลวมากที่สึดสำหรับที่ใช้บริการมา30ปี ขอใก้เก กกับครอบครัวมันทุกคนโรค้ดียวกันบล็อคใกล้วืนาทีตายคนเดียวในบ้าน..แจ้งICT ตำรวจ ทนายรอหมาย้รียกขึ้นศาลอุธรณ์.