วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม 2560) ในช่วงที่รอพระวิทยากร ผมและทีมงานถือโอกาสสร้างกระบวนการเรียนรู้เล็กๆ น้อยๆ เพื่อเตรียมความพร้อม หรือนำเข้าสู่การเรียนรู้เนื่องในการอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการคุณธรรมจริยธรรมเฉลิมพระเกียรติฯ
ปรับกระบวนการ : ความดีในความทรงจำ
ผมตัดสินใจใช้กระบวนการอันคุ้นเคยของตนเอง นั่นก็คือ ชวนนิสิตวาดภาพในหัวข้อ “ความดีในความทรงจำ” โดยบริหารจัดการเวลาให้เสร็จสิ้นภายใน 10-15 นาที แต่ไม่ได้ตีกรอบว่าจะปลีกวิเวกไปวาดภาพ หรือจับกลุ่มวาดภาพ เพราะต้องการสังเกตพฤติกรรมของแต่ละคน รวมถึงการสังเกตว่าจะมีการบริหารทรัพยากร (แท่งสี) ร่วมกันอย่างไร –
ภายใต้เวลาอันจำกัด ไม่ได้มีเวลามากมายให้นิสิตล้อมวง “โสเหล่” หรือ “บอกเล่า” เรื่องราวให้กันฟัง แต่ก็พยายามบริหารจัดการเวลาอันน้อยนิดนั้นให้เกิดผล ซึ่งอาจจะเรียกว่าเน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ก็ไม่ผิด
ถึงแม้จะไม่ได้จัดกลุ่มให้บอกเล่าเรื่องราวเชิงลึกสู่กันฟัง แต่ก็หนุนเสริมด้วยการเชื้อเชิญให้นิสิตออกมาเล่า เสมือนการเล่าหน้าชั้นเรียนนั่นแหละ มีทั้งที่ปลุกเร้าให้สบายใจที่จะเล่า อันหมายถึง “ใครอยากเล่าก็ลุกออกมาเล่า รวมถึงการชี้เป้านิสิตบางคนให้ออกมาเล่าให้เพื่อนฟัง หรือแม้แต่การกระตุกกระตุ้นว่า “ใครอยากฟังเรื่องเล่าของใคร”
พอเล่าเสร็จ ก็มีรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ให้พอหอมปากหอมคอ ประหนึ่งการชี้ให้เห็นว่า “ทำดีมีรางวัล –ไม่ต้องขอแต่เราก็มีให้ตามสมควร”
ปรับกระบวนการ : โยนงานให้ลูกทีม
โดยปกติผมมักจะเป็นคนสรุปองค์รวมเกี่ยวกับกระบวนการนี้ว่ามีประเด็นอะไรบ้าง หากแต่คราวนี้ผมเลือกที่จะนิ่งเงียบ เริ่มจากสังเกตว่า ทีมงานคิดที่จะบริหารจัดการภาพที่นิสิตวาดอย่างไร พอทิ้งช่วงแล้วเห็นว่าไม่ขยับอะไร จึงมอบให้ไปเก็บภาพและนำมาติดโชว์ไว้ในห้องประชุม เสมือนการสร้างฐานการเรียนรู้ หรือสร้างบริบทของการเรียนรู้แบบง่ายๆ
จากนั้นก็สังเกตอีกรอบว่า ทีมงานจะขยับอย่างไร –
ที่สุดแล้วก็มอบหมายซ้ำอีกรอบว่าให้ช่วยสังเคราะห์หมวดหมู่ประเด็นภาพวาด “ความดีในความทรงจำ”ให้หน่อย โดยไม่บอกว่าให้คืนข้อมูลมายังผมด้วยรูปแบบใด
ครับ- ผมเป็นคนประเภทนี้แหละ ไม่ชอบสั่งการ หรือบอกอะไรให้สุดๆ และไม่ใช่คนประเภท “คิดไม่ออก บอกไม่ได้” แต่กรณีนี้ผมเจตนาที่จะเปิดพื้นที่ให้ทีมงานได้ออกแบบกระบวนการทำงานด้วยตนเองเสียมากกว่า
ผมเป็นคนประเภท หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง จะไม่พยายามเข้าไปกระตุกกระตุ้นในระยะแรกๆ ตรงกันข้าม จะประเมินช่วงไหนเหมาะสมที่จะเข้าไป “กำกับติดตาม-หนุนเสริม” หรือแม้แต่ “พิพากษา”
และนี่คือส่วนหนึ่งที่ “ทีมงาน” ที่ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่และนิสิตได้ช่วยกันรวบรวมสกัดออกมาเป็นหมวดหมู่ ผิดถูกผมไม่รู้ – รู้แค่ว่าอยากให้พวกเขาทำอะไรๆ ด้วยตนเอง เดี๋ยวสักพักค่อยมาถอดบทเรียนว่าข้อมูลที่ได้กลับมานั้นเป็นอย่างไร คลาดเคลื่อนมากน้อยแค่ไหน ฯ
ครับ – นี่คืออีกหนึ่งเรื่องเล่าของการปรับกระบวนการหน้างานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย รวมถึงการใช้สถานการณ์จริงเพื่อ "สอนงานสร้างทีม" ด้วยการฝึกลูกทีมในแบบ “โยนไมค์และโยนงาน” ไปพร้อมๆ กัน
เช่นเดียวกับการซ่อนกลไกการฝึกทักษะบางอย่างไว้เงียบๆ เช่น การทบทวนชีวิต การถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพ ผ่านการเล่าเรื่อง ฝึกการฟัง ฝึกการกล้าแสดงออก ฝึกการสื่อสารสาธารณะ ฝึกความกล้าที่จะเชิดชูความดี ฯลฯ
แต่ที่แน่ๆ นี่คืออีกครั้งของการนำเวลาว่างมาสู่การเรียนรู้ภายใต้เวลาอันแสนจำกัดได้อย่างมีความสุข เป็นการเรียนรู้แบบบันเทิงเริงปัญญาผ่านงานศิลปะหลากรูปรส
และเชื่อว่า ไม่ใช่ผมแค่นั้นที่มีความสุข ทว่าคนส่วนใหญ่ในเวทีก็คงมีความสุขไม่แพ้ผม
ยิ่งในช่วงพักยกเล็กๆ พระอาจารย์ที่เป็นวิทยากรกระบวนการได้เข้ามาถามทักถึงกระบวนการที่ผมและทีมงานจัดขึ้นในทำนองว่า "เป็นกิจกรรมที่ดี -มีความน่าสนใจ ถึงแม้จะมีเวลาจำกัด สั้น กระชับ แต่ก็สามารถทำให้กิจกรรมที่ว่านั้นมีคุณค่าและความหมายอย่างมาก"
ภาพ : พนัส ปรีวาสนา/รุ่งโรจน์ แฉล้มไธสง/นิสิตจิตอาสา
ขอบคุณครับ พี่ คุณมะเดื่อ
เป็นสาร์-อาทิตย์ ที่ยังต้องทำงานครับ -ทำต่อเนื่องแบบไม่หยุดมาตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2560 เพราะเป็นช่วงพิธีพระราชทานปริญญาบัตร แต่ทั้งปวงก็มีความสุขกับการงานครับ
ทางอีสาน หนาวแล้วครับ
ใต้ เป็นยังไง บ้างครับ
เป็นกระบวนการบันทึกความจำที่ดีมาก
ได้ทบทวนการทำงานจากการบันทึกด้วย
ขอบคุณมากๆครับ
ครับ อ.ดร.ขจิต ฝอยทอง
ขอบพระคุณที่แวะมาเยี่ยมให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ
ผมยังชอบที่จะใช้ภาพวาดมาเป็นกระบวนการเสมอ
เพราะมันช่วยชะลอชีวิตของคนในเวทีให้ช้าลง -ช้าลงโดยการกลับเข้าหาตัวเอง และค้นหาพลังบวกในตัวเอง แล้วสื่อสารออกมา - ออกมาแบ่งปัน
ขอบพระคุณครับ ---