เบาหวานและการป้องกันรักษา


เบาหวานและการป้องกันรักษา

ดร. ถวิล อรัญเวศ
รอง ผอ.สพป.นครราชสีมา เขต 4

พุทธภาษิตที่ว่า “อโรคยา ปรมา ลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ
หรือเป็นลาภอย่างยิ่ง ข้อนี้ เป็นสัจธรรมที่เป็นอมตะตลอดมาและตลอดไป

ความเป็นจริงแล้ว คนเราอยู่ในลักษณะ เกิด แก่เจ็บตาย เป็นธรรมดา
เมื่ออายุเริ่มย่าง 50 ปีขึ้นไป คนเราอาจจะพบโรคภัยไข้เจ็บได้หลายโรค
ถ้าไม่หมั่นรักษาสุขภาพตนเอง

โรคในวัยผู้สูงอายุ คือ ความดัน เบาหวาน มะเร็ง โรคตับ ไตวาย เป็นต้น

เบาหวาน คืออะไร ?

เบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายเกิดความผิดปกติเนื่องจากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
เกิดจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลซึ่งได้จากอาหารที่รับประทาน
เข้าไปใช้เป็นพลังงานในเซลล์ได้ตามปกติ

ร่างกายของคนเรา จำเป็นต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิต พลังงานเหล่านี้ได้จากอาหารต่างๆ
ที่เรารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง ซึ่งถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระเพาะอาหารและถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดเพื่อส่งผ่านไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย

แต่การที่ร่างกายจะนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน ได้นั้นมีความจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบ
หลักๆ 2 ประการ ได้แก่ 1. ฮอร์โมนจากตับอ่อน ชื่อ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆ

2. สารที่ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน (สารGTF) หากในร่างกายของเรามีปริมาณสาร GTF น้อยกว่าปกติจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินลดน้อยลงไปด้วย

ดังนั้นหากกลไกทั้ง 2 อย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งทำงานบกพร่อง จะทำให้น้ำตาลไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ ได้ตามปกติ และทำให้น้ำตาลเหลือตกค้างอยู่ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ (ในคนปกติ ก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดประมาณ 70-99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และหลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลจะไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ )

เมื่อในเลือดมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ ไตจะกรองน้ำตาลออกมากับน้ำปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีรสหวานโดยคนโบราณเรียกอาการปัสสาวะว่า เบา จึงเรียกภาวะนี้ว่า “ เบาหวาน” มาจนปัจจุบันนี้

GTF (จีทีเอฟ) คืออะไร

GTF ย่อมาจาก "Glucose Tolerance Factor"

เป็นองค์ประกอบของสารอาหาร ที่ช่วยควบคุมการทำงานของอินซูลิน ซึ่งช่วยในการลำเลียงกลูโคส กรดอะมิโน และกรดไขมัน เข้าสู่เซลล์ให้เป็นปกติจึงจะสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยให้การเผาผลาญสารอาหารเหล่านี้เป็นไปอย่างปกติ โดย GTF จะไปกระตุ้นตับให้หลั่งอินซูลิน และช่วยให้อินซูลินสามารถทำงานร่วมกับตัวรับอินซูลิน(Insulin Receptor) ได้ไวขึ้น

ในคนป่วยเบาหวาน จำนวนกว่า 80% มีภาวะขาดสาร GTF 10% ขาดตัวรับอินซูลิน 5-10% ขาดอินซูลิน

ดังนั้น จึงถือได้ว่าภาวะการขาด GTF เป็นเหตุผลหลักที่นำสู่การเกิดโรคเบาหวาน

ใครเป็นผู้ค้นพบสาร GTF

ดร.วอลเตอร์ เมิร์ส

GTF ถูกค้นพบในปี พ.ศ.2500 (ค.ศ.1957) ในไตของสัตว์ โดย ดร.วอลเตอร์ เมิร์สผู้เชี่ยวชาญด้านสารอาหารและผลิตภัณฑ์อดีตประธานของ USDA ,USA อดีตที่ปรึกษาด้านสารอาหารและผลิตภัณฑ์ขององค์การอนามัยโลก (WHO)

จากการค้นพบของ ดร.วอลเตอร์ เมร์ส พบว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดเบาหวาน เกิดจากการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินด้อยประสิทธิภาพลงอย่างมาก และสาเหตุของการด้อยประสิทธิภาพนั้น 80 % เกิดจากอินซูลินขาดสารเสริมประสิทธิภาพที่เรียกว่า GTF

ในสภาวะปกติอินซูลินและ GTF จะถูกผลิตขึ้นที่ตับอ่อน หลังจากนั้นอินซูลินจะถูกส่งไปกับกระแสเลือดพร้อมกับสารอาหารต่างเพื่อควบคุมระดับสารอาหารต่างๆให้เข้าสู่เซลล์ได้ในปริมาณที่เหมาะสม ส่วนสาร GTF นั้นจะถูกส่งไปเก็บไว้ในเซลล์ต่างๆ เพื่อคอยช่วยเหลือให้การทำงานของอินซูลินทำงานได้เต็มที่

ในคนที่สุขภาพเป็นปกติ ปริมาณฮอร์โมนอินซูลินในกระแสเลือดและปริมาณสาร GTF ในเซลล์จะมีปริมาณที่สมดุลกัน กลไกการควบคุมการดูดซึมสารอาหารเข้าสู่เซลล์ก็จะเป็นไปได้ตามปกติ

ในคนที่ป่วยเป็นเบาหวานนั้นเกิดได้ 3 กรณี

1. ปริมาณฮอร์โมนอินซูลินมีปริมาณเพียงพอ แต่ในเซลล์ขาดสาร GTF อย่างมาก (เบาหวานชนิดที่ 2 )

2. ปริมาณฮอร์โมนอินซูลินมีปริมาณไม่เพียงพอ และในเซลล์ก็ขาดสาร GTF (เบาหวานชนิดที่ 2 )

3. ร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินโดยสิ้นเชิงและขาดสาร GTF ในเซลล์อีกด้วย ( เบาหวานชนิดที่ 1 )

จากการวิจัยของ ดร.วอลเตอร์ เมิร์ส พบว่าเมื่อมีสาร GTF ปริมาณที่พอเหมาะภายในเซลล์ แม้จะมีอินซูลินปริมาณเล็กน้อยภายนอกเซลล์ก็จะส่งผลให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้นอย่างมาก และจากการวิจัยของ ดร.แฟรงค์เหมา จากประเทศใต้หวัน ก็สนับสนุนงานวิจัยของ ดร.วอลเตอร์ เมริ์ส และเมื่อทำการวิจัยลึกซึ้งลงไปอีก พบว่าสาร GTF นั้นสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้นถึง 240%

จากผลการวิจัยนี้จึงเป็นที่มาของการนำสาร GTF มาเป็นตัวช่วยในการบำบัดเบาหวาน เพราะเมื่อผู้ป่วยรับประทานสาร GTF ในรูปแบบของ นมผง GT&F ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินกลับมาทำงานได้เท่ากับคนปกติ ส่วนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 นั้นก็จะช่วยให้ลดปริมาณการฉีดอินซูลินได้ และอาการแทรกซ้อนต่างๆของผู้ป่วยเบาหวานทั้งสองชนิดก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ

สาเหตุนี้เองที่ ดร.เมอร์ส ได้สรุปผลการวิจัยไว้อย่างน่าตื่นเต้นว่า

" แท้จริงแล้วเบาหวานนั้นไม่ใช่โรคเป็นเพียงภาวะไม่สมดุลของสารอาหาร
(
GTF ) ในร่างกายเท่านั้น "

สำหรับผู้ป่วยที่คุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี หรือผู้ป่วยที่มีระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงมากนัก ( 140 – 180 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) อาจตรวจไม่พบน้ำตาลในปัสสาวะก็ได้ เพราะไตของเรามีความสามารถในการกั้นน้ำตาลได้ระดับหนึ่ง คือประมาณ 180 –- 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานหรือไม่จึงควรตรวจ ระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการป้องกันอาการแทรกซ้อน จากเบาหวานตั้งแต่เนิ่นๆ

การวินิจฉัยโรคเบาหวาน

การวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นเบาหวานหรือไม่นั้นจะพิจารณาจากระดับน้ำตาลในเลือดเป็นเกณฑ์ โดยก่อนการตรวจจะต้องเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 1 คืน กล่าวคือหลังเที่ยงคืนต้องไม่รับประทานอะไรเลย นอกจากน้ำเปล่า หลังจากนั้นเมื่อทำการวัดระดับน้ำตาลในเลือดก่อน รับประทานอาหารเช้าได้มากกว่า 140 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ 2 ครั้ง หรือหากพบน้ำตาลในเลือดไม่ว่าเวลาใดมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ เพียงครั้งเดียวร่วมกับมีอาการ เช่น ปัสสาวะบ่อย คอแห้ง กระหายน้ำ กินจุ น้ำหนักลด ฯลฯ ให้ถือว่าเป็นเบาหวานได้เลย แต่ในปัจจุบัน สมาคมทางการแพทย์ของบางประเทศ มีความเห็นว่าบุคคลบางกลุ่ม ที่แม้ระดับน้ำตาลไม่สูงมากแต่ก็มีโรคแทรกซ้อนเช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวาน จึงให้ความเห็นว่า

1. การมีระดับน้ำตาลในเลือด 126 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ก่อนอาหารเช้า

2. ระดับน้ำตาลหลังรับประทานอาหารมีค่า 200 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ขึ้นไป และหากมีอาการของเบาหวานร่วมด้วย ให้ถือว่าเป็นเบาหวานได้เลย

โรคเบาหวาน เป็นโรคที่มีการค้นพบมาเป็นเวลานาน และมีการพัฒนาการรักษามานานกว่า 80 ปี แต่ปัญหาผู้ป่วยเบาหวาน กลับยิ่งเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ จนขณะนี้ถือว่าเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันดับต้นๆของโลก

ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยใหม่จึงมีการวิจัยค้นพบ สาร GTF ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้การทำงานของฮอร์โมนอินซูลินทำงานดีขึ้นถึง 240% จนเป็นที่มาของผลิตภัณฑ์ นมผง GT&F ที่สามารถใช้ ฟื้นฟู โรค เบาหวานได้ที่ต้นเหตุของการเกิดโรค ช่วยลดน้ำตาลในเลือด ฟื้นฟูแผลเรื้อรัง ฟื้นฟูอาการไตเสื่อม ภูมิแพ้ และฟื้นฟูโรคแทรกซ้อนจาก เบาหวาน ได้ทุกอาการ

การค้นพบสาร GTF และการใช้ผลิตภัณฑ์นมผง GT&F จึงช่วยให้การฟื้นฟูเบาหวาน เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ยุ่งยากอีกต่อไป

วิธีป้องกันการเป็นโรคเบาหวาน

1. ลดปริมาณอาหารหรือการลดน้ำหนัก

หลักสำคัญในการลดน้ำหนักคือ ต้องลดปริมาณอาหารลง เพื่อให้จำนวนแคลอรีที่ได้รับต่อวันน้อยกว่าที่ร่างกายใช้ คือต้องรับประทานแคลอรีน้อยลงวันละ 500-1,000 กิโลแคลอรี ซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดลงได้ประมาณ 0.45-0.9 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ปริมาณอาหารที่ควรลดในเบื้องต้นคือ อาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมัน และควรออกกำลังกาย หรือมีกิจกรรมทางกาย ที่เหมาะสม เพียงพอ และสม่ำเสมอ นอกจากนี้อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารตามหลักโภชนาการ หรืออาหารสุขภาพ

2. การออกกำลังกาย (physical activity or exercise)

การออกกำลังกายไม่ว่าในรูปแบบใด หรือกิจกรรมออกแรงในการทำงาน หรือทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การเดิน การขึ้นลงบันได การเช็ดขัดถู การขุดดินทำสวน ที่ทำอย่างต่อเนื่องและใช้เวลานานพอ เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยควบคุมหรือลดน้ำหนัก เพราะทำให้ร่างกายโดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น และยังทำให้น้ำหนักตัวที่ลดลงแล้วไม่กลับเพิ่มขึ้นอีก การออกกำลังกายหรือการมีกิจกรรมออกแรงที่มากเพียงพอทำให้ภาวะดื้ออินซูลินลดลง ระดับน้ำตาลจะดีขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างเสริมสุขภาพที่ดีด้วย

3. ไปพบแพทย์เป็นระยะ

ยารักษาโรคเบาหวานวิธีการควบคุมรักษาโรคเบาหวานนอกจากการรับประทานอาหารอย่างถูกต้องเหมาะสม และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดังที่กล่าวมาแล้ว จำเป็นต้องพบแพทย์เป็นระยะๆ ตามนัด และตรวจสุขภาพตามกำหนด เพื่อค้นหาหรือติดตามโรคแทรกซ้อน ที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งรับประทานยาหรือฉีดยาตามที่แพทย์แนะนำเป็นประจำ

4. ธรรมะบำบัด หรือจิตบำบัด คือรู้จักรักษาสุขภาพจิตให้มีอารมณ์สดชื่น สบาย ไม่เครียด ไม่มีความวิตกกังวลจนเกินไป ทำใจให้สบาย ถือว่า โรคภัย เป็นสิ่งที่มีประจำสังขาร หนีไม่พ้น ไม่เครียด เพราะพุทธองค์ทรงสอนให้เราได้รู้แล้วว่า ทุกข์อยู่ที่ถือ สุขอยู่ที่การรู้จักปล่อยวาง

เบาหวานจากการบอกเล่าของผู้ป่วย

5 ต. คือเมื่อเป็นเบาหวานจะมีอาการอยู่ 5 ต. คือ

๑. ตา อาการตาจะพร่ามัว น้ำตาไหล

๒. ตีน ตีนจะเป็นแผล หรือตามตัวจะเป็นแผล และหายยากด้วย

๓. ตับ ตับจะมีอาการผิดปกติ

๔. ไต ไตจะวาย และท้ายที่สุดก็คือ

๕. ตาย ในที่สุดก็จะต้องตาย เพราะยากเกินกว่าที่ จะรักษาได้แล้ว

จากนั้น เราก็สิ้นสุดกัน เพราะร่างกายทนรับเบาหวานไม่ได้อีกแล้ว เราก็ต้อง ตาย ญาติพี่น้องก็นำร่างกายเราไปเผา เป็นอันสิ้นสุดกันกับโรคเบาหวาน

     



สรุป

เบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายเกิดความผิดปกติเนื่องจากมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ
เกิดจากร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลซึ่งได้จากอาหารที่รับประทาน เข้าไปใช้เป็นพลังงานในเซลล์ได้ตามปกติ ร่างกายของคนเรา จำเป็นต้องใช้พลังงานในการดำรงชีวิต พลังงานเหล่านี้ได้จากอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไป โดยเฉพาะอาหารประเภทแป้ง ซึ่งถูกย่อยสลายกลายเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระเพาะอาหารและถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดเพื่อส่งผ่านไปเลี้ยงเนื้อเยื่อต่างๆของร่างกาย แต่การที่ร่างกายจะนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน ได้นั้นมีความจำเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลักๆ 2 ประการ ได้แก่ 1. ฮอร์โมนจากตับอ่อน ชื่อ อินซูลิน ซึ่งมีหน้าที่เป็นตัวพาน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆ 2. สารที่ทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน (สารGTF) หากในร่างกายของเรามีปริมาณสาร GTF น้อยกว่าปกติจะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลินลดน้อยลงไปด้วย ดังนั้นหากกลไกทั้ง 2 อย่าง หรืออย่างใดอย่างหนึ่งทำงานบกพร่อง จะทำให้น้ำตาลไม่สามารถเข้าสู่เซลล์ ได้ตามปกติ และทำให้น้ำตาลเหลือตกค้างอยู่ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ (ในคนปกติ ก่อนรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดประมาณ 70-99 มิลลิกรัม/เดซิลิตร และหลังรับประทานอาหารแล้ว 2 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลจะไม่เกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือมิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ) เมื่อในเลือดมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ ไตจะกรองน้ำตาลออกมากับน้ำปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะมีรสหวานโดยคนโบราณเรียกอาการปัสสาวะว่า เบา
จึงเรียกภาวะนี้ว่า “ เบาหวาน” มาจนปัจจุบันนี้ วิธีป้องกันเบาหวาน คือลดหรืองดรับประทานอาหารหวานจัด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไปพบแพทย์ถ้าพบว่ามีอาการผิดปกติ

เอกสารอ้างอิง

สำรวย นางทะราช .โรคเบาหวาน. เว็บไซต์

http://thaigtf.com/a5/773-24.html

สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนโดยประราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

เว็บไซต์

http://kanchanapisek.or.th/kp6/sub/book/book.php?book=35&chap=8&page=t35-8-infodetail09.html

หมายเลขบันทึก: 642079เขียนเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2017 11:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤศจิกายน 2017 11:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท