ครั้งแรกที่ผู้เขียนได้เห็นสิ่งปลูกสร้างที่เรียกว่า “บ้านหิน” มันไม่ใช่บ้านตามแนวคิดของผู้คนทั่วไปที่ส่วนใหญ่เป็นทรงสี่เหลี่ยม แต่บ้านที่ผู้เขียนเห็นมีรูปทรงแปลกตา ทำจากก้อนหิน มีรูปทรงกลม โค้ง เว้า ตามจินตนาการของผู้สร้าง มีเอกลักษณ์และถูกจัดวางอย่างลงตัว อยู่เรียงรายหลายหลังบนเนินเขา ความสวยงามและแปลกตาดึงดูดความสนใจได้อย่างดี แต่ยังน้อยกว่าการอยากรู้วิธีคิดของคนสร้าง “คิดได้อย่างไรจึงนำก้อนหินที่ผู้คนต่างพากันเดินเหยียบย่ำไปมา นำมาทำให้มีคุณค่าขึ้นมาได้?” ความน่าสนใจจึงอยู่ที่การมองเห็นคุณค่าของสิ่งที่ไม่มีค่า(ของคนอื่น)
ณ วันนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้น ที่ผู้เขียนได้ให้โอกาสตัวเองในการเรียนรู้ความเป็น “ก้อนหิน” เมื่อคนช่างคิดเจอกับคนช่างฝัน จึงชวนกันไปเก็บก้อนหินข้างทางหลังเลิกงานตอนเย็น ใช้เวลานานนับเดือนโดยขับรถจิ๊ปคันเล็กไปตามถนนสร้างใหม่ที่รถดันเอาก้อนหินกลางถนนทิ้งไว้ข้างทาง เพราะเป็นวัสดุที่ไม่ต้องการ ก่อนที่จะลงดินลูกรังและวัสดุอื่น ๆ ตามขั้นตอนการทำถนนและขั้นตอนท้ายคือการอัดบดก้อนหินข้างทางให้เรียบจมอยู่ใต้ดิน ซึ่งหมายถึงการหมดโอกาสของก้อนหินที่จะโชว์ความงามให้ผู้คนได้มองเห็น
จากก้อนหินข้างทางเหล่านั้น กลายเป็นบ้านหินหลังใหญ่กลางทุ่งนาเขียว ที่ดึงดูดเด็ก ๆ ให้เข้ามาเรียนรู้ เป็นจุดเริ่มต้นของโรงเรียนชีวิต ผ่านกาลเวลานานนับ 16 ปี ก้อนหินได้สะท้อนบทเรียนหลากหลายให้เรียนรู้ ไม่ว่ากองหินจะโตขนาดไหน ไม่มีหินก้อนใดเหมือนกัน ทุกก้อนมีความงามและเอกลักษณ์เฉพาะตน มุมมองและการจัดวางที่ลงตัวต่างหาก จะก่อเกิดความงดงามและสร้างสรรค์
การเข้าใจและเลือกที่จะเป็นตัวเอง แล้วอยู่กับผู้อื่นให้ลงตัวก็น่าจะเพียงพอ สำหรับ “ศิลปะแห่งชีวิต”
ชอบในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่ชอบค่ะ