บนเวที Toastmasters หาดใหญ่


มีผู้ปกครองท่านหนึ่งของเด็กนักเรียนโรงเรียนนกฮูก ได้ลงรูปถ่ายของนักเรียนขณะกำลังทำกิจกรรมหน้าเสาธงหลังเคารพธงชาติเสร็จ โดยปกติของทุกวัน หน้าแถวแห่งนี้จะมีกิจกรรมที่เด็กๆต้องออกมาพูดบ้าง แสดงการทดลองทางวิทยาศาสตร์บ้าง เพื่อให้ได้ฝึกการค้นหาเรื่องราวต่างๆที่ตนเองสนใจ และคิดว่าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆสนใจ มาเล่าให้ฟัง นอกจากฝึกค้นหาแล้ว ยังเป็นการฝึกพูดหน้าแถวอีกด้วย

มันก็คงดูเหมือนปกติที่แทบจะทุกโรงเรียนทำกัน 
แต่ผมว่าไม่เหมือนกัน มีใครเคยเห็นบรรยากาศที่นักเรียนยกมือเพื่อแย่งกันตอบคำถามจากหน้าชั้นหรือหน้าแถวบ้างไหม บ้างก็แย่งกันออกมาเพื่อร่วมกิจกรรมตามที่เพื่อนๆออกมานำเสนอชักชวน 
ผมว่าหาได้ยาก ถ้าอยากดู ก็มาดูที่นี่ "โรงเรียนนกฮูก"

สมัยผมก็มี

โรงเรียนอนุบาลสุราษฎร์ธานีสมัยที่ผมเรียนอยู่ก็มี ตอนนั้นโรงเรียนอาศัยที่ดินหลังวัดใหม่พัฒนารามเป็นสถานที่ตั้ง มีนักเรียนราว ๘๐๐ คน ซึ่งก็นับว่ามากโขอยู่ ผมเข้าเรียนในชั้นอนุบาล ๒ ในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มีอาคารเป็นตึก ๒ ชั้น หลังหนึ่ง และเป็นอาคารไม้ชั้นเดียวอีก ๒ หลัง ซึ่งจำได้ว่า ก่อนจะเรียนจบชั้น ป.๖ ออกไปนั้น จู่ๆอาคารไม้ซึ่งเป็นของชั้นอนุบาลก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นตึกสูงราว ๒ หรือ ๓ ชั้นก็จำไม่ได้เสียแล้ว 
ความทรงจำของโรงเรียนประถมมีมากมาย ตั้งแต่การถูกย้ายไปเรียนในอาคารชั่วคราวในวัดช่วงที่เขาสร้างตึกใหม่ การเป็นนักเรียนในวงดุริยางค์ของโรงเรียน ถือพาน งานวันเด็ก ส้วม เจี้ยวเพื่อน ทำขนมในคาบการงาน การถูกตียกห้อง และการเข้าแถวตอนเช้า

ผมจำได้ว่า ในทุกๆเช้าจะมีพี่ๆกลุ่มหนึ่งเป็นพวกที่ต้องดำเนินการในพิธีหน้าเสาธง สั่งเคารพธงชาติทั้งหมดแถวตรง นำสวดมนต์ และนำบทสวดแผ่เมตตา ไอ้เด็กๆอย่างพวกผมก็ต้องทำตามคำสั่ง เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวคงเป็นเรื่องปกติของโรงเรียนประถม ผมเองก็ไม่รู้หรอก ว่าเพื่อนๆข้างหลังมันคุยอะไร เล่นอะไรกันบ้าง เพราะต้องยืนเป็นคนแถวหน้ามาตลอดเนื่องจากตัวเล็กแทบจะเกือบที่สุดของห้อง ประเภทที่ว่าติดของเสาธงมาตลอดเกือบ ๗ ปี  
ผมรู้สึกทึ่งเสมอมา ว่าพี่ๆเหล่านั้นทำพิธีกรรมต่างๆได้อย่างไร ลำพังกับแค่การสั่งเคารพธงชาตินั้นก็ดูน่าเลื่อมใสแล้ว ยังนำสวดมนต์ได้อีกด้วย และที่เป็นไฮไล้ท์ที่สุดสำหรับผมก็คือ การนำสวดบทแผ่เมตตาในภาษาต่างชาติปนภาษาไทย
"สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์..." อันนี้ง่าย
"อเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด..." 
จะอะไรอีกตั้งมากมายที่ผมท่องตามคำบอกมานานเป็นปีๆ โดยที่ไม่อาจจะทำความเข้าใจได้ ว่ามันคืออะไร อเวรา อนีคา อัพยาปัชชา จะทำอะไรก็ทำไป ผมขอตามน้ำอย่างเดียว

และความวิบัติก็เกิดขึ้นจนได้

"นายแป๊ะ เธอขึ้นมานำหน้าเสาธงหน่อย" นั่นคือเสียงจากคุณครูผู้ซึ่งเอ็นดูผมเป็นพิเศษ และในวันนั้นเขาคงขาดคน 

ฉิบหายแล้ว
.....…........................................

"พ่อจ๋า แป้งพูดเรื่องอะไรดี" เสียงนี้เงียบหายไปราว ๕ ปีแล้ว หลังจากที่ลูกสาวคนโตย้ายไปเรียนในระดับมัธยมที่โรงเรียนอื่น แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะไม่ได้ยินถ้อยคำแบบนี้อีก

"พ่อจ๋า จ้าพูดเรื่องอะไรดี" นั่นไง เสียงเรียกแบบส่งไม้เช่นนี้ยังคงมึอยู่
และผมก็ทำหน้าที่ของผมต่อไป ซึ่งดูเหมือนว่า แม่ของลูกทั้ง ๒ จะไม่ยอมรับรู้ถึงความตื่นเต้นทุกครั้งเมื่อได้ยินการร้องขอแบบนี้เลย
"ถามพ่อสิ" นั่นคือไม้ตาย ซึ่งทั้ง ๒ สาวจะทราบดี แต่ถ้าหากว่าโจทย์ของชีวิตคือ ครน. หรม. แล้วล่ะก็ ทั้งคู่ก็จะเข้าใจโดยปริยายเช่นกัน
"ไปถามแม่ไป" 

บางทีผมก็รู้สึกสนุกไปด้วยกันกับลูกนะ (เอิ่ม...อันที่จริง ก็ไม่แน่ใจจักว่าลูกจะสนุก เพราะเธอจะเครียดไปก่อนเสียทุกครั้ง) บางครั้งการพูดหน้าเสาธงจะเป็นเรื่องทึ่เกี่ยวกับข่าวสารบ้านเมือง หลายๆครั้งเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์
ครั้งหนึ่ง ผมแนะนำให้ลูกลองทำการทดลองนำครามมาผสมกับน้ำมะนาว แล้วให้ดม
ผมเคยเล่นเมื่อครั้งเป็นเด็กประถมนั่นแหละ ไม่รู้ว่าใครสอนมา แต่เป็นเพียงการเล่น มิได้เข้าใจเนื้อหาเลยสักนิด ว่าทำไม เพราะอะไร
แต่คราวนี้ ปี ๒๕๖๐ หากจะให้ลูกเล่นให้เพื่อนดูหน้าเสาธงเพียงอย่างเดียวก็คงบรรลัย ไอ้ลูกสาวผมมันไม่เคยเห็นครามเสียด้วยซ้ำ

แต่ผมก็ตระเวนหาครามจนเจอ จากนั้นก็เริ่มเหยาะน้ำมะนาวลงไป ให้ลูกดม
"โอ เอ็ม จี มันเหม็นสุดๆเลยพ่อ" แหม่ ดูมันอุทานสิครับ แล้วก็ลองเอาไปย้อมผ้าขาวให้ลูกดูจนเธอสบายใจ ว่าพ่อไม่ได้หลอกดาว จึงยอมตกลง ว่าจะพูดเรื่องครามหน้าเสาธง
และการค้นหาเรื่องราวของครามจึงเกิดขึ้นโดยมีโจทย์ ๒ ข้อ คือ ทำไมครามจึงทำให้ผ้าขาวโอโม่ และทำไมครามผสมมะนาวมันจึงมีกลิ่นไข่เน่า

"เป็นไง วันนี้สนุกมั้ยลูก" ผมถามเหมือนกันทุกครั้งในทุกวันที่ไปรับลูกที่โรงเรียน
"สนุกมากเลยพ่อ แต่จ้าสังเกตุว่า น้องๆไม่ค่อยสนใจเรื่องย้อมผ้าขาวเท่าไหร่ เค้าสนใจมาดมกลิ่นไข่เน่ากันมากกว่า" ซึ่งผมเองก็เชื่อเช่นนั้น
...................................
เมื่อวานนี้ครับ (๒๗ สค ๖๐) น้องจ้าต้องขึ้นเวทีพูดภาษาอังกฤษในงานของ Toastmasters club ซึ่งในโรงเรียนได้นำคลับนี้เข้ามา

จะเป็นสมาคมอะไรผมก็เล่าได้ไม่ทั้งหมด แต่ลูกผมเลือกที่จะมาเข้าร่วมด้วย

"พ่อจ๋า จ้าพูดเรื่องอะไรดี"
มาแล้วครับ เหมือนเดิม แต่ไม่เหมือนเดิมเพราะนี่จะเป็นการพูดภาษาอังกฤษ พูดนาน ๕ นาที และที่ผมมาทราบทีหลังก็คือ เขาจะมีการประกวดกันด้วย (อันที่จริง ความไม่รู้นี่ดี เพราะช่วยลดความเครียดของพ่อได้ดี)

"Trash hero ดีไหมลูก" ผมเสนอออกมา
ผมเห็นแววตาลุกวาวจากนัยตาลูกเพียงแวบหนึ่ง ซึ่งเมื่อลูกชงมาให้ ผมก็ตบสิครับ

ผมรู้จัก trash hero เพราะมีเพื่อนเป็นผู้นำกิจกรรมนี้อยู่ น้องจ้าก็รู้จักน้าอาร์ม เธอมีกระติกน้ำ trash hero เธอรู้ว่าน้าอาร์มทำรองเท้า "ทะเลจร" 
เอาเป็นว่าเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะต่อยอดเอง

ผมเริ่มต้นด้วยเรื่องเก็บขยะ เรื่องรองเท้า และ 3R แต่ลูกผมจัดการตัวเองจนได้รู้เรื่องราวของ trash hero มากกว่าผมมาก และมาบอกผมว่า "เดี๋ยวนี้เค้ามีกัน 7R แล้วนะพ่อ" นั่นไง ความสามารถของเด็กในยุคนี้มันไม่ธรรมดา
"แล้วลูกคิดว่า R ตัวไหนสำคัญที่สุดล่ะ" ผมลองภูมิ
"Reduce" คือคำตอบสั้นๆ แต่กินใจ แล้วผมก็ให้กลไกของความสามารถส่วนตัวของลูกเป็นตัวดำเนินเรื่องต่อไปด้วยตัวของเขาเอง

แล้วเธอก็จัดการได้อย่างเรียบร้อยด้วยสไตล์ของเธอ

..............................

ผมมานั่งนึกในใจ สมัยผม การออกมาหน้าชั้นคือเรื่องหายนะ แค่ชักธงชาติก็เหงื่อซึม ถ้าต้องพูดนี่ ไข่แทบจะหดจนหาตอไม่เจอเชียว ดีที่ตอนนั้นไข่ยังไม่ขึ้นขน ไม่งั้นคงต้องแหวกหากันชุลมุน
แต่ในรุ่นของลูก มันกลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
..............................

"นายแป๊ะ เธอขึ้นมานำหน้าเสาธงหน่อย"

ผมยืนนิ่งจนครูต้องเรียกซ้ำ

"เคารพธงชาติทั้งหมด แถววววว ตรง" มันก็แค่เสียงสั่นๆ
"อรหังสัมมา สัมพุทโธภควา........" จบไป ผ่านไปได้ 
"ขอให้ทุกคนทำสมาธิ และกล่าวตามข้าพเจ้า" นี่คือคำกล่าวนำในการแผ่เมตตาประจำวัน มันน่าจะเป็นเรื่องปกติ เพราะท่องกันทุกวัน แต่สำหรับผมมันไม่ปกติ เพราะผมไม่เคยจำมันได้ สักครั้ง
"สัพเพสัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น อเวรา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้........." 

"ฉิบหาย" ผมนึกในใจ อันที่จริงก็นึกมานานแล้ว นึกมาตั้งแต่เริ่มเดินไปหน้าเสาธง อย่าได้อะไรวะ อย่าได้พยาบาทเบียดเบียน อย่าได้ทุกข์กายทุกข์ใจ มันอย่าได้อะไรวะ
ผมวนเวียนถามตัวเองในใจ แค่เพียงอึดใจแต่เหมือนนานเป็นวัน 

เงียบ.......

เสียงเงียบจากหน้าเสาธงทำให้ทุกคนที่กำลังก้มหน้าเตรียมสวดบทแผ่เมตตาต้องเงยขึ้นมามอง มองว่าทำไมนายแป๊ะมันเงียบไป ทำไมตัวมันเหงื่อออกมากมายขนาดนั้น ทำไมมันทำหน้าเหมือนอมขี้อยู่ในปาก และทำไมมันไม่พูดต่อ

นึกถึงวันนั้น ผมก็ตลกตัวเองทุกครั้ง ความทรงจำผมสิ้นสุดตรงนั้น ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันจบลงตรงไหนและอย่างไรหลังจากที่ผมพูดใส่ไมโครโฟนออกมาว่า "ผมจำไม่ได้แล้วครับ" และเสียงหัวเราะก็ดังลั่นโรงเรียน

ธนพันธ์ ชูบุญจงเป็นสุขเป็นสุขเถิดจนบัดนี้กูก็ยังจำบทนี้ไม่ได้
๒๘ สค ๖๐


หมายเลขบันทึก: 635175เขียนเมื่อ 30 สิงหาคม 2017 08:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 30 สิงหาคม 2017 08:25 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

-สวัสดีครับคุณหมอ

-ความทรงจำหน้าเสาธงของผมก็ยังวนเวียนกลับมาบ่อยๆครับ

-ที่จำได้ก็คือ"ครูใหญ่"ให้ผมออกไปท่องบทนี้

"พ่อกับแม่ไม่มีทองจะกองให้

จงตั้งใจพากเพียรเรียหนังสือ

หาวิชาความรู้เป็นเครื่องมือ

เพื่อยึดถือไว้ใช้จนวันตาย

พ่อกับแม่แม่แต่จะแก่เฒ่า

จะเลี้ยงเจ้าต่อไปนั้นอย่าหมาย

หาวิชาความรู้ไว้เลี้ยงกาย

เจ้าสบาย พ่อแม่ก็ชื่นบาน"

-มาถึงวันนี้ยังจำได้ไม่เคยลืมขอรับ 55

-ขอบคุณบันทึกนี้ที่ช่วยให้ผมได้ย้อนวันวานนะครับ..

๕ ๕ ๕  อ.ขำ ๆ มาตั้งแต่เด็กเลยนะคะ

น้องจ้าเก่งมาก  สร้างสรรค์มาก ... ชอบรองเท้าน้องด้วยคร้า Contrast ชุด ... สุดยอดไปเลยค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท