ตอนที 16 น้ำตาลูกอีสาน
เรากลับมาถึงวัดพอมีเวลาได้พักบ้างก็ไม่ลืมที่จะทำกิจสงฆ์กลางวันเดินจงกรมและปัดกวาดใบไม้รอบวัดเมื่อตอนเย็นขณะทำกิจมีโยมคนหนึ่งท่านชื้อดอกไม้มาจัดแจกันวันพระต่อมาทราบว่าชื่อแม่ทิพวรรณสอบถามท่านมาจากกาฬสินธุ์อายุหกสิบสามปีแล้วยังดูอ่อนกว่าวัย
ชีวิตหลังเกษียณแล้วมารับงานรดน้ำผักแห่งหนึ่งในเมืองชัมเตอร์เขาให้ชั่วโมงละแปดดอลท่านบอกว่าชีวิตเมืองไทยอยู่ยากมีแต่พรรคพวกมาทำงานตั้งแต่อายุสามสิบหาเงินส่งบ้านพ่อแม่ตายไม่ได้กลับบ้านเลย.
เราสังเกตเห็นท่านน้ำตาไหลออกมาพอพูดถึงคำว่าพ่อแม่ท่านบอกว่าคิดถึงพ่อแม่และลูก เราถามต่อไปว่าว่าแล้วทำไมไม่กลับเมืองไทย ท่านบอกว่ากลับไม่ได้แล้วมีบ้านและสามีที่ต้องดูแล
ท่านบอกว่าอาจารย์ที่เมกาต้องพึ่งลำแข้งตนเองให้มาก สมัยโยมมาใหม่ๆไปชื้อกับข้าวที่ตลาดไม่มีรถต้องเดินสโนว์ก็ตกหนาวเหน็บมากจะมีใครสงสารเรียกขึ้นรถก็ไม่มี
คนเราถ้าไม่มีตำแหน่งอะไรอยู่ลำบากโยมเล่าว่า ครั้งนั้นงานยังไม่ได้ทำภาษาก็ไม่ดีไปอาศัยกลุ่มคนลาวอพยพเขาเหลือโตนจึงฝากงานให้ได้มีรายได้เราถามว่าทำไมตอนนั้นโยมไม่เรียนหนังสือท่านบอกวรสเสียเวลาไปทำงานหาเงินส่งพ่อแม่และลูกดีกว่า
เราจึงถือโอกาสเทศน์ให้โยมฟังว่าชีวิตเรามีกรรมเป็นกำเนิด ขับเคลื่อนไปด้วยอำนาจแห่งแรงกรรม ชีวิตที่เราเป็นอย่างนี้ให้ถือว่าเป็นช่วงการฝึกขันติและวิริยบารมีอย่าให้พลาดโอกาสทำดีก็แล้วกัน
ท่านดีใจมากน่าตายิ้มแย้มขึ้นมาบอกว่าวันอาทิตย์จะมาถวายเพลมีเวลาอยากคุยด้วยอีกเราสาธุคนอีสานเรานี้ดีเบิ่งแงงบ่อถิ่มกันปรอบใจกันเมื่อทุกข์ดีใจเมื่อเห็นคนอี่นได้ดีคุณธรรมเป็นสิ่งสำคัญประจำโลกโลภะโทสะโมหะถึงจะละวันนี้ไม่ได้ก็พยายามทำให้เหลือน้อยที่สุดสวัสดี
อ.ขาว
5/5/60
08.00 น.
18 องศา
ไม่มีความเห็น