บันทึกชุด ศาสตร์และศิลป์ว่าด้วยการสอน นี้ตีความจากหนังสือ The New Art and Science of Teaching เขียนโดย Robert J. Marzano ซึ่งเพิ่งออกวางจำหน่ายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ นี้เอง
ภาค ๑๑ สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบ
ภาค ๑๑ สร้างการเปลี่ยนแปลงในระบบ ตีความจาก Chapter 11 : Making System Changes ซึ่งมีข้อเสนอแนะ ๘ ข้อ ตามในตอนที่ ๔๖ - ๕๓
ดังที่ผมบ่นมาเป็นระยะๆ ว่าหนังสือ The New Art and Science of Teaching แตะเรื่องการจัดการบริบท ในโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษาน้อยไป จริงๆ แล้วเขาเอามาไว้ในภาค ๑๑ นี้
เขาระบุในบริบทของประเทศสหรัฐอเมริกา ว่าครูทำงานภายใต้การบริหารงานของโรงเรียนและเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งสำหรับระบบการศึกษาไทยยังมีหน่วยบริหารหน่วยที่สามซึ่งทรงพลังที่สุด คือกระทรวงศึกษาธิการ ดังนั้นการสร้างการ เปลี่ยนแปลงในระบบตามภาค ๑๑ นี้ ในบริบทไทยน่าจะพุ่งไปที่แท่งต่างๆ ของกระทรวงศึกษาธิการ
เขาบอกว่าเป็นธรรมชาติ หรือเป็นธรรมดา ที่ระบบที่กำหนดโดย “โครงสร้างเบื้องบน” สองหรือสามโครงสร้าง ดังในย่อหน้าบน ย่อมมีทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบต่อการดำเนินการของครูที่เสนอในหนังสือเล่มนี้ภาคที่ ๑ - ๑๐ ที่ผ่านมา ข้อเสนอแนะ ๘ ข้อต่อไปนี้ จึงมีเป้าหมายขจัดหรือลดปัจจัยลบ เพิ่มปัจจัยบวก ให้แก่การจัดการเรียนรู้แนวใหม่ของครู
ตอนที่ ๔๖ สร้างระบบที่มั่นใจว่ามีการพัฒนาครู ตีความจาก Recommendation 1 : Create A System That Ensures Teacher Development
การเปลี่ยนแปลงระบบที่ชัดเจนและสำคัญที่สุดคือระบบการพัฒนาครู ดังเสนอในตอนที่ ๔๖ นี้ ซึ่งผมตีความว่า เป็นระบบพัฒนาครูที่เน้นให้ครูพัฒนาตนเอง และพัฒนากันเอง (PLC) ซึ่งเป็นการพัฒนาจากการทำงาน โดยมุ่งมั่น พัฒนาศิษย์ ตามที่กล่าวไว้ในภาค ๑ - ๑๐ รวม ๔๓ ประเด็นยุทธศาสตร์ คือเป็น Learning by Doing ของครูนั่นเอง
เครื่องมือในการพัฒนาครู ใช้ ๒ เครื่องมือประกอบกันคือ สเกลบอกระดับการพัฒนา (developmental scale) และการประเมินตนเอง (self-audit)
สเกลบอกระดับการพัฒนาของแต่ละประเด็น (element) จาก ๐ - ๔ แสดงในตาราง
เขาแนะนำกระบวนการ ๕ ขั้นตอนสำหรับครูดำเนินการพัฒนาตนเอง
เริ่มด้วยการประเมินตนเอง
ตอนต้นปีการศึกษาครูประเมินตนเองใน ๔๓ ยุทธศาสตร์ (element) ที่ระบุในตอนก่อนๆ โดยใช้สเกลบอกระดับ การพัฒนาข้างบน สำหรับเลือก ๓ - ๔ ประเด็นยุทธศาสตร์ สำหรับดำเนินการพัฒนาตนเองในปีนั้น เกณฑ์ในการเลือกคือ ผลการประเมิน อยู่ที่ระดับ ๐ - ๒ และตั้งเป้าผลการประเมินซ้ำตอนปลายปีการศึกษา ซึ่งควรกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าระดับ ๓
ติดตามความก้าวหน้า
หลังจากดำเนินการพัฒนาตนเอง ครูติดตามความก้าวหน้าของตนเองโดยการจัดทำบันทึกกิจกรรม ในทำนองเดียวกับที่ครูแนะนำให้นักเรียนทำ (ตอนที่ ๑๐) และครูทำ “ตารางบอกความก้าวหน้าของครู” (Teacher Progress Chart - http://soltreemrls3.s3-website...) ลงคะแนนประเมินตนเองเป็นรายเดือน
เข้าสังเกตการณ์การสอนที่ดี และร่วมอภิปรายทำความเข้าใจ
ครูแต่ละคนควรได้เข้าร่วมกิจกรรม เข้าสังเกตการณ์ชั้นเรียนที่สอนโดยครูที่เก่ง และร่วมอภิปรายทำความเข้าใจอย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง เพื่อทำความเข้าใจการสอนที่ดีจากภาคปฏิบัติ ตามด้วยการอภิปรายทฤษฎีเบื้องหลังวิธีการเหล่านั้น
เข้าร่วมทีมครูร่วมมือพัฒนาซึ่งกันและกัน (PLC)
รายละเอียดของกระบวนการ PLC อยู่ในหนังสือ บันเทิงชีวิตครู สู่ชุมชนการเรียนรู้ (https://www.scbfoundation.com/...) ในทางปฏิบัติครูควรรวมกลุ่มกันตามเป้าหมายการพัฒนาที่ตั้งไว้ตอนต้นปี เช่น PLC ด้านเทคนิคสื่อสารเป้าหมายการเรียนรู้ด้วยการเฉลิมฉลองผลสำเร็จ (ตอนที่ ๔), PLC ด้านเทคนิคตั้งคำถามที่ยากต่อนักเรียนที่เรียนอ่อน (ตอนที่ ๔๔) เป็นต้น
PLC เหล่านี้อาจรวมตัวกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างเข้มข้นเป็นเวลา ๑ เดือน เช่นทุกวันในตอนเย็น ใช้เวลา ๑ ชั่วโมง เมื่อสมาชิกประเมินตนเองว่าบรรลุเป้าหมายการพัฒนาตนเองครบทุกคนแล้ว ก็สลายตัวได้ หรือจะต่อยอดพัฒนาให้เกิดนวัตกรรมยิ่งขึ้นและใช้เวลายาวเป็นปี ก็ย่อมได้
ได้รับโค้ชชิ่ง
โค้ชชิ่งที่ได้รับมีเป้าหมายจำเพาะเพื่อยกระดับสเกลการพัฒนาตามเป้าหมายการพัฒนาประเด็นยุทธศาสตร์ที่ กำหนดไว้ตอนต้นปี โดยมีแนวทางการให้โค้ชชิ่งตามระดับการพัฒนาต่อไปนี้
โปรดสังเกตว่า หนังสือ The New Art and Science of Teaching ไม่ได้แนะนำการพัฒนาครูโดยการกำหนดให้ เข้ารับการอบรมระยะสั้นตามที่ใช้กันในกระทรวงศึกษาไทย และโปรดสังเกตว่า เป้าหมายของการพัฒนาครูคือผลลัพธ์ การเรียนรู้ของนักเรียนที่ดีขึ้น ไม่ใช่พัฒนาครูลอยๆ อย่างที่ระบบการศึกษาไทยดำเนินการกันอยู่
การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาที่สำคัญที่สุดสำหรับประเทศไทย คือเปลี่ยนแปลงระบบพัฒนาครูประจำการ
วิจารณ์ พานิช
๑๔ เม.ย. ๖๐
ไม่มีความเห็น