ความสงบและความรัก
เป็นพื้นฐานของอารมณ์ความรู้สึกของเรา
แม้แต่ในขณะที่เราโกรธ
เราจะไม่รู้สึกโกรธถ้าหากเราไม่แคร์คนๆนั้น
ความสงบ ความรัก และความใสสะอาด คือธรรมชาติเดิมแท้ของเรา
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เส้นทางสู่ความจริง
คือการเห็นสิ่งที่ไม่จริงในแต่ละขณะ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ที่นี่ คือแดนที่ทุกคนอยากไปถึง
เธอไม่เคยออกไปจาก ที่นี่
นอกจากเธอคิดไปเอง
เมื่อเธอระลึกถึงเรื่องราวในอดีต
การระลึกนั้นเกิดขึ้น ที่นี่
เมื่อเธอคิดถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การคิดนั้นเกิดขึ้น ที่นี่
เธอเข้าถึง ที่นี่ ได้
โดยแค่เพียงปล่อยวางความคิดว่าเธอคือใครแค่นั้นเอง
แล้วเธอก็จะตระหนักว่า "ฉันอยู่ ที่นี่"
ที่นี่ คือที่ซึ่งไม่มีการเชื่อความคิด
ทุกครั้งที่เธออยู่ ที่นี่เธอไร้สถานภาพโดยสิ้นเชิง
เป็นการไร้สถานภาพที่สุกสว่าง
เป็นความศูนย์อย่างสมบูรณ์นิรันดร์กาล
เป็นความว่างที่ตื่นรู้เป็นความว่างที่เต็มเปี่ยมเป็นความว่างที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียว
เกิดขึ้นในระดับที่ผมเรียกว่าหัวใจ
ประสบการณ์การเข้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวนี้
ลึกซึ้ง และทำให้ผู้เข้าถึงเปลี่ยนเป็นคนใหม่
มันไม่ใช่การเข้าถึงความไร้อัตตาตัวตน
แต่มันเป็นการเข้าไปสัมผัสกับความเป็นหนึ่งในระดับของจักรวาลความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่ง
การสลายของอัตตาตัวตน
คือการสลายของความเป็นหนึ่งเดียวเข้าสู่สิ่งที่มีอยู่ก่อนความเป็นหนึ่งเดียว
เส้นทางของการเข้าถึง
เริ่มจากการรับรู้ว่าอัตตาตัวตนมีอยู่
ต่อมาก็รู้ถึงความเป็นหนึ่งเดียว
จากนั้นธรรมชาติรู้นี้จะสลายไป
สิ่งที่เหลืออยู่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบรรยายได้
เพราะคำพูดใดๆล้วนเป็นของคู่
ในสภาวะเหนือตัวตนนี้ไม่มีการเป็นของคู่
ไม่มีแม้ความเป็นหนึ่งหรือความเป็นหนึ่งเดียว ความเงียบหรือการมีอยู่เป็นอยู่
ไม่มีคำพูดใดที่จะบอกได้เกี่ยวกับสภาวะนี้
ไม่มีแม้คำว่าอิสรภาพ
มันมีอยู่ในที่ซึ่งคำพูดทั้งมวลไม่สามารถใช้ได้
มันคือไข่มุกล้ำค่าและมันคือสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถเกิดขึ้นได้
ผมไม่ได้พูดเพื่อให้คุณสับสน
นี่คือคำอธิบายที่สื่อถึงสภาวะอย่างตรงไปตรงมามากที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
แก่นกลางแห่งความทุกข์ของเราคือ การแบ่งแยก
การแบ่งแยกที่เกิดจากการหันหลังให้กับความบริสุทธิ์และความสมบูรณ์แบบ
ที่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของเรา
และพยายามเป็นคนที่คนอื่นรอบตัวต้องการให้เราเป็น
เราจำเป็นต้องหันกลับไปหาธรรมชาติเดิมที่บริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบนี้
เพราะธรรมชาติเดิมไม่เคยหายไปไหน
และไม่มีใครมาเอาไปจากเราได้
แค่หันเข้ามองภายในด้วยสติปัญญา
แล้วเราจะพบความบริสุทธิ์ ความงามความสมบูรณ์แบบซึ่งเป็นเราที่แท้จริง
ทำเช่นนี้เสมอๆจนเราสามารถเชื่อมต่อเข้ากับสิ่งที่ไม่เคยหายไปจากเราเลย
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อเธอเปลี่ยนจากการคิด
ไปเป็นการสัมผัสด้วยประสบการณ์ตรง
โลกทั้งโลกจะเปลี่ยนไป
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อสัมผัสความเงียบภายในอย่างลึกซึ้ง
ความเงียบจะกลายเป็นความรัก
เมื่อเข้าถึงแหล่งกำเนิดของสรรพสิ่ง
ความรักก็จะอยู่ตรงนั้น
เมื่อสัมผัสกระแสแห่งความรัก
กายใจจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแหล่งกำเนิดของสรรพสิ่ง
ไม่มีการแบ่งแยกอีกต่อไป
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การถามเข้าไปในความเงียบภายในกลางกาย
ใครคิด ใครรู้สึก
เป็นวิธีเดียวที่จะนำเข้าไปสู่เขตเชื่อมต่อระหว่างโลกียะและโลกุตระ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การเข้าถึงความจริงแท้
คือการค่อยๆเบ่งบานเข้าสู่ความเงียบภายใน
เมื่อเริ่มสัมผัสได้ถึงความเงียบภายใน
นั่นคือเธอกำลังเชื่อมโยงกับแก่นกลางของชีวิต
เชื่อมต่อกับปัญญาที่อยู่เหนือความคิด
เชื่อมต่อกับความรักที่อยู่เหนือกิเลสตัณหาอุปาทาน
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ยอมรับทุกสิ่งทีาเกิดขึ้นในชีวิตด้วยความสงบ นิ่ง เงียบ
ไม่ต่อต้าน ไม่ผลักไส ไม่ดึงเข้า
ชีวิตของเธอจะไหลเรื่อยเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติเดิม
และกลายเป็นความมหัศจรรย์ที่วิเศษสุด
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อตื่นรู้
สิ่งที่บุคคลไดัประสบคือความเป็นอิสระแห่งตน
เป็นอิสระจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
เป็นอิสระจากอัตตาตัวตนที่เคยถูกจำกัดอยู่กับร่างกาย จิตใจความจำได้หมายรู้ และความคิดว่านี่คือเรานี่คือของเรา
บุคคลจะรับรู้ได้ว่า ฉันเป็นอิสระ
ในที่นี้ ความรู้สึกว้า ฉัน ยังมีอยู่ แม้จะเบาบาง
ต่อไปความรู้สึกเบาบางของความเป็นฉันนี้จะลดลงไปอีกจนหมดไปโดยสิ้นเชิง
เมื่ออัตตาตัวตนหมดไปโดยสิ้นเชิง
บุคคลจะสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความรักที่มากมายมหาศาลเกินกว่าคำว่าฉัน
มันเป็นความรักที่ไม่มีประมาณ
ในกระแสแห่งความรักไม่มีประมาณนั้น
การรู้สึกว่า ฉันเป็นอิสระ ช่างเป็นสิ่งเล็กน้อยเหลือเกิน
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ถามการสอนของท่านนิสาร์กะทัตตะ
เป็นการสอนแบบลัดสั้นอย่างยิ่ง มีพลังอย่างยิ่ง
ทะลุผ่านความพยายามในการแสวงหาในฉับพลันทันที
โดยเฉพาะกับผู้ที่มีพื้นฐานการปฏิบัติสมาธิภาวนาและศึกษาคำสอนมานาน
หลังจากอิ่มเต็มอยู่กับประสบการณ์ทางจิตที่เกิดขึ้นในขณะที่"เห็นความจริง"
ชีวิตก็กลับคืนมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง
และบางครั้งกลับยิ่งแสวงหามากขึ้นไปอีก
แม้ว่าครั้งนี้จะสามารถเห็นความพยายามแสวงหาได้อย่างชัดเจน
ท่านคิดว่าเราควรดำเนินการฝึกปฏิบัติสมาธิ(ปล่อยวาง) ต่อไป
หรือควรเน้นที่การรู้อยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ตอบการบรรลุธรรม หรือการเห็นความจริง
เป็นสิ่งที่เผยตัวเองออกมาทีละน้อยไม่มีการสิ้นสุด
การสละเวลาฝึกปฏิบัติอยู่กับความเงียบเป็นสิ่งที่ดี
แต่การรู้อยู่กับประสบการณ์ในชีวิตประจำวัน
จะนำผู้บรรลุธรรมเข้าสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
เราจำเป็นต้องอยู่กับโลกด้วยความรักและเมตตา
เราจำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ในชีวิตทางโลก
เพื่อผลักดันให้ผู้บรรลุธรรมก้าวข้ามผ่านการบรรลุธรรม
ไปสู่ความเป็นอิสระโดยสมบูรณ์
ไปสู่จุดที่ความยึดมั่นถือมั่นในความคิดเห็น
หรือแม้แค่การยึดมั่นถือมั่นในประสบการณ์การบรรลุธรรมถูกวางลง
หรือพูดง่ายๆว่าเมื่อยืน ก็แค่ยืนเมื่อเดิน ก็แค่เดินไม่หวั่นไหว
หรือแม้เมื่อหวั่นไหวก็แค่หวั่นไหว
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เมื่อใจเงียบจากความคิด
นั่นคือสภาวะแห่งธรรมชาติเดิมแท้
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
นักปฎิบัติ มักเรียกร้องการสนับสนุนและความเข้าใจจากเพื่อนครอบครัว และคู่ครอง
โดยมองไม่เห็นว่าตนก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนและความเข้าใจต่อเขาเหล่านั้นเช่นกัน
นักปฎิบัติจำนวนมาก กลายเป็นคนหยิ่งยะโสดูถูกผู้อื่นว่าไม่ได้ปฎิบัติ
นั่นแหละคือสิ่งแสดงว่าเธอไม่ได้ก้าวหน้าในการปฏิบัติ
การหลุดพ้นต้องวัดจากวิธีการที่เธอปฎิบัติต่อผู้อื่นว่ามีเมตตาและมีปัญญามากน้อยแค่ไหน
ไม่ใช่เลือกทำดีแต่กับคนที่ยอมรับเธอ ตามใจเธอเท่านั้น
การเป็นอิสระหมายถึงว่าเธอนั้นเป็นอิสระจากการเรียกร้องเอาจากผู้อื่นและจากชีวิตเพื่อทำให้เธอมีความสุข
เมื่อเธอพบว่า ตนเองนั้นไม่เป็นอะไรเลย นอกจากอิสรภาพ
เธอจะหยุดตั้งข้อเรียกร้องและกำหนดกฏเกณฑ์ต่างๆที่จะทำให้เธอมีความสุข
เธอจะยอมรับต่อทุกสถานการณ์โดยไม่มีข้อแม้
เมื่อนั้น ความรักและปัญญาที่ไหลหลั่งออกจากเธอจะส่งผลให้ผู้อื่นเป็นอิสระด้วย
สิ่งท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับนักปฎิบัติคือการยอมลดความสำคัญของตนเอง
และเห็นเรื่องส่วนตัวเป็นเพียงความว่างเปล่า
เธอต้องตื่นขึ้นจากเรื่องราวที่ใจสร้างขึ้น เพื่อเป็นอิสระ
การละทิ้งความหยิ่งทะนง หรือแม้แต่ความคิดว่าตนหลุดพ้นแล้ว
เป็นเครื่องหมายของความเป็นอิสระ
เธอจะปฏิบัติต่อผู้อื่นเหมือนที่เธอปฏิบัติต่อตัวเอง
นี่แหละ คือการเกิดขึ้นของความรักที่แท้จริง
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
เธอเรียนรู้ที่จะไม่ยึดติดแม้ปัญญารู้แจ้งของเธอ
เพราะมันนำทุกข์มาให้
เธอตระหนักว่ามันเหมือนพยายามกำไฟไว้ในมือ
เธอไม่สามารถยึดเหนี่ยวปัญญารู้แจ้งเหล่านั้น
เธอไม่สามารถยึดเหนี่ยวสภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อเข้าถึงความจริงแท้
ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ซึ่งเผยตัวออกมาภายในความเป็นหนึ่งเดียวของเธอที่แท้จริง
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ณ เวลาแห่งการบรรลุธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างจะหายไป - ทุกอย่าง
ในทันทีทันใด พื้นดินใต้ตัวเราหายไปเหลือเราอยู่เพียงผู้เดียว
เราอยู่ผู้เดียวเพราะเราได้ตระหนักรู้ว่าไม่มีใครอื่นอีก
ไม่มีการแบ่งแยกใดๆมีเพียงเรา มีเพียงตัวตนที่แท้
มีเพียงความว่างไร้ขอบเขต มีเพียงธรรมชาติรู้ที่บริสุทธิ์
สำหรับอัตตาตัวตน สำหรับใจนี่คือสิ่งน่ากลัวอย่างยิ่ง
เมื่อมันมองดูความไร้ขอบเขต ความเป็นอนันต์
มันมองเห็นแต่ความไร้ความหมายและความสิ้นหวัง
อย่างไรก็ดี เมื่อเราปล่อยวางใจ
ภาพที่เห็นจะเปลี่ยนไปเป็นความเบิกบานและความอัศจรรย์ใจอย่างไม่สิ้นสุด
เมื่อเราบรรลุธรรมจะเหลือเราอยู่โดดเดี่ยว
เราไม่ต้องการสิ่งค้ำจุนใดๆเพราะไม่มีอะไรให้ค้ำจุน
อัตตาตัวตนที่แปลกแยกจากสิ่งอื่นนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไป
เราตระหนักทันทีว่าประสบการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นขณะยังมีอัตตาตัวตนนั้น
เป็นเพียงภาพมายาอันเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะ
เราอยู่โดดเดี่ยวแต่จะไม่รู้สึกว่าเหงาเพราะทุกหนแห่งที่เรามองไปคือธรรมชาติเดิม
และเราก็คือธรรมชาติเดิมด้วยเช่นกัน
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
การไม่ยึดติด คือคุณลักษณะหนึ่งของธรรมชาติเดิมแท้
ในธรรมชาติเดิมแท้ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นการไขว่คว้าแสวงหาด้วยความชอบ หรือการผลักไสด้วยความไม่ชอบเป็นสภาวะที่เป็นกลางอย่างแท้จริง
ในความไม่ยึดติดและความเป็นกลางที่แท้จริงนี้
ความรักและความเมตตาไม่มีประมาณจะเผยตัวออกมา
การฝึกปฎิบัติส่วนมากมีเป้าหมายที่การปราศจากความยึดติดนี้
แต่ให้สังเกตให้ดี
การปราศจากความยึดติดแบบวางเฉยไม่ยุ่งเกี่ยวไม่มีความรักและความเมตตาเป็นองค์ประกอบ
อาจเป็นการตบตาของอัตตาตัวตนที่กำลังพยายามปกป้องตัวเอง
ความไม่ยึดติดที่แท้ต้องแสดงออกมาในรูปของความเมตตาและปัญญาจากภายใน
การระลึกรู้อยู่กับความเงียบภายในที่เฝ้ามองทุกปรากฎการณ์ ทุกความคิด ทุกอารมณ์ความรู้สึก
นั่นคือการไม่ยึดติดอาการของใจ
เมื่ออยู่กับความเงียบการมีความคิดหรือไม่มีความคิด ไม่ส่งผลต่อเธอแม้แต่น้อย
และประตูแห่งการตระหนักรู้ถึงความเป็นเธอที่แท้จริงจะเปิดกว้างออก
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
อย่ามองที่ใจ อย่าคิด แค่รู้
รู้อยู่กับความนิ่งเงียบ และรู้ว่าเราที่แท้คือความนิ่งเงียบนี้
ความว่างนี้มีอยู่ก่อนการกระเพื่อมสั่นไหวของใจ
ความว่างนี้คือประตูสู่ปัญญาจากภายใน
ปัญญาที่เกิดเอง เป็นปัญญาญาณที่เกิดจากธรรมชาติเดิม
หรือที่พระพุทธองค์เรียกว่า วิมุติ
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ไม่มีความเห็น